19 มิ.ย. 2020 เวลา 12:00 • บันเทิง
ลืมเรื่องความถูกผิดไปก่อน มาดูความสุดโต่งของไลฟ์สไตล์ที่ทุกคนใฝ่ฝัน
The Wolf of Wall Street (2013)
ปกติลุงมาร์ติน สกอร์เซซี่ของเรามักจะทำหนังโทนดาร์ค เนื้อหาหนัก แต่ในปี2013ลุงได้ปล่อยหนังที่ทำให้คนดูและนักวิจารณ์ถกเถียงกันว่ามัน“เกินไปรึเปล่า” กับความบ้าบอคอแตกของจอร์แดน เบลฟอร์ตและเพื่อนร่วมงานของเขาใน The Wolf of Wall Street
ตัวผมเองนับว่าเรื่องนี้เป็นผลงานที่สร้างความสุขให้กับผู้ชมมากที่สุดของสกอร์เซซี่ แน่นอนว่างานเทคนิคต่างๆที่เป็นเอกลักษณ์ของลุงยังอยู่ครบ ไม่ว่าจะเป็น สโลโมชั่นขยี้อารมณ์ Long Take ที่ไหลลื่นและผสานเข้ากับตัวหนังเป็นเนื้อเดียวจนผู้ชมไม่ทันสังเกต แต่สิ่งที่น่าประทับใจที่สุดคือ”ความกล้าที่จะโชว์”ของเรื่องนี้ เป็นที่รู้กันว่าผู้ชมชาวอเมริกันมีความอ่อนไหวต่อเรื่องที่หมิ่นเหม่ทางศีลธรรมและความถูกต้องทางการเมืองเป็นอย่างมาก ซึ่งตัวมาร์ตินที่คร่ำหวอดในวงการภาพยนตร์มาอย่างยาวนานย่อมรู้ถึงความเสี่ยงนี้เป็นอย่างดี แต่ทำไงได้ ก็ในเมื่อจอร์แดน เบลฟอร์ตตัวจริงเขาทำสิ่งที่หลุดโลกเหล่านี้ลงไปจริงๆและทำมากกว่าที่เราเห็นในหนังด้วยซ้ำ(ยืนยันโดยเจ้าตัวเอง ฮ่าๆ) มาร์ตินจึงอยากนำเสนอเรื่องราวด้วยความซื่อสัตย์และเถรตรง ซึ่งผลงานชิ้นนี้ก็ถูกใจแฟนๆขาโหดเรทRสุดๆ จนถูกนับเป็นหนังตลกคลาสสิคอีกเรื่องนึงไปเป็นที่เรียบร้อย
ประเด็นที่มาร์ตินต้องการสื่อ ไม่ใช่แค่กับหนังเรื่องนี้แต่รวมถึงหนังทุกเรื่องที่ลุงเคยทำมาก็คือ Everyone pays the price แปลในทางพุธจะได้ประมาณ “ทุกคนต้องใช้กรรม” คุณจะเป็นมาเฟียขาใหญ่ เจ้าพ่อผู้มีอำนาจมากล้น โบรกเกอร์หุ้นที่กินค่าคอมมิชชั่นถึง50% สุดท้ายสิ่งที่เราทำไว้ก็จะส่งผลตามมาโดยไม่อาจหลีกเลี่ยงได้
แต่พูดกันตรงๆนะครับ ไลฟ์สไตล์ของคนเหล่านี้ มันช่างดึงดูดเราเหลือเกิน ในยุควัตถุนิยมที่เงินซื้อได้ทุกอย่าง ผมอดคิดไม่ได้ว่า ศีลธรรมของคนเราจะยืนหยัดต่อความเย้ายวนของอำนาจเงินตราได้นานแค่ใหนกัน และเมื่อเราได้เงินทองมามากพอ เราจะหยุดทำธุรกิจสีเทาแล้วกลับตัว หรือจะถลำลึกแบบจอร์แดน เบลฟอร์ต ซึ่งอย่างที่เรารู้กัน หลังจากที่เขาออกมาจากคุกก็ได้เริ่มทำธุรกิจสีขาวเต็มตัว และเขาก็กลับมามั่งคั่งได้อีกครั้ง เพราะงั้น เราเป็นสายขาวไปตั้งแต่แรกไม่ดีกว่าหรอ ว่าไหมครับ :)
ช่องยูทูปของผมครับ วิเคราะห์เทคนิคผู้กำกับและทุกประเด็นเกี่ยวกับภาพยนตร์
โฆษณา