19 มิ.ย. 2020 เวลา 10:56 • การศึกษา
ยาวชีวํ อุปฏฺฐาตพฺโพ วุฏฺฐานสฺส อาคเมตพฺพํ
พึงพยาบาลจนตลอดชีวิตหรือจนกว่าจะหาย
จะคิดสั้นเพียงขอแค่เป็นข่าว
หรือจะคิดยาวไปถึงเป็นเกียรติในพระศาสนา
ผมเขียนเรื่องกองทุนพระภิกษุสามเณรอาพาธไป ๒ ตอน คิดว่าคงจะจบแค่นั้น แต่เมื่อได้อ่านความคิดเห็นของญาติมิตร ประกอบกับได้สนทนาธรรมกับบางท่าน ก็ได้ความคิดเพิ่มเติมขึ้นอีกบางแง่
เรื่องแรก การอุปถัมภ์บำรุงพระภิกษุสามเณรอาพาธเป็นส่วนตัว มีผู้ทำกันอยู่ทั่วไป อันนี้ผมได้พูดไว้เอง และที่ทำกันเป็นสำนักเป็นหลักฐานก็เคยได้ยินว่ามี คือเปิดเป็นศูนย์รับดูแลพระภิกษุสามเณรอาพาธอย่างเอาจริงเอาจัง อันนี้ก็มีท่านผู้แสดงความคิดเห็นปรากฏตัวออกมาว่ามีทำกันจริง
การอุปถัมภ์ก็ดี การเปิดเป็นศูนย์ตั้งเป็นสำนักขึ้นมาก็ดี เป็นกิจที่ควรแก่การอนุโมทนาอย่างยิ่ง
ผมขอเชิญชวนให้ชาวเราช่วยกันสนับสนุนกันให้เต็มกำลัง เพื่อให้ทำได้อยู่ได้ต่อไป
แต่แนวคิดของผมไม่ได้มุ่งไปที่ตรงนั้น เหตุผลก็คือ-ถ้ามองกันเป็นกรอบเอกชนกับทางราชการแล้ว การอุปถัมภ์หรือเปิดศูนย์ตั้งสำนักนั่นคืองานของเอกชน
ธรรมชาติของงานเอกชนก็คือขึ้นอยู่กับตัวบุคคล และตัวบุคคลนั้นไม่ยั่งยืน ตัวบุคคลเปลี่ยน งานก็เปลี่ยน ส่วนมากก็เลิกไป เป็นอย่างนี้ทั้งนั้น
นอกจากไม่ยั่งยืนแล้ว ก็ยังไม่ครอบคลุมทั่วถึง ทำได้ในวงจำกัดอย่างยิ่ง
ไม่ใช่ไม่ดีนะครับ ดีอย่างยิ่ง แต่ไม่ยั่งยืน โปรดแยกประเด็นให้ออก
งานดูแลพระภิกษุสามเณรอาพาธควรเป็นงานระดับราชการ คือเป็นงานของคณะสงฆ์โดยตรง แบบนั้นจะเป็นงานที่ยั่งยืนและครอบคลุม
ใครจะมาเป็นสมเด็จพระสังฆราช งานก็ยังคงอยู่เหมือนเดิม
จะเปลี่ยนกรรมการมหาเถรสมาคมกันสักกี่ชุด ใครจะมาเป็นเจ้าคณะอะไร งานก็ยังคงอยู่เหมือนเดิม
จะเปลี่ยนตัว ผอ.สำนักพุทธฯ สักกี่คน
ต่อให้เปลี่ยนรัฐบาลสักกี่คณะ
งานก็ยังคงอยู่เหมือนเดิม-ถ้าไม่มีใครไปล้มระบบแบบถอนรากถอนโคน
นี่คือความยั่งยืน ครอบคลุม ทั่วถึง
ถามว่า งานแบบนี้คณะสงฆ์ทำได้หรือไม่
ก็ถ้าระดับเอกชนซึ่งมีขีดจำกัดอย่างยิ่งยังทำได้ ก็แล้วคณะสงฆ์ซึ่งมีศักยภาพยิ่งใหญ่กว้างขวางกว่าเป็นร้อยพันเท่า ทำไมเล่าจะทำไม่ได้
เหตุผลที่ทำไม่ได้มีข้อเดียวเท่านั้น-ข้อเดียวแท้ๆ
นั่นก็คือ-ไม่มีความคิดที่จะทำ
อุปมาเหมือนคนที่ร่างกายปกติ แข็งแรง เคลื่อนไหวได้ทุกอิริยาบถ ไม่เจ็บไม่ป่วย สามารถลุกขึ้นยืน เดิน วิ่ง ทำกิจต่างๆ ได้สารพัด
แต่เขากลับนอนนิ่งอยู่กับที่ ทั้งๆ ที่สามารถสปริงตัวลุกขึ้นวิ่งได้อย่างสบาย
เหตุผลที่ไม่ลุกขึ้นมีข้อเดียวเท่านั้น-ข้อเดียวแท้ๆ
นั่นก็คือ-ไม่มีความคิดที่จะลุก
อีกแง่หนึ่งที่มีผู้เสนอก็คือ ท่านบอกว่า อยากให้คณะสงฆ์ช่วยใคร ต้องตีข่าวจึงจะสำเร็จ
เช่นเณรจ่อย วัดแจ้ง อำเภอโขงเจียม อาพาธติดเตียง ต้องให้สื่อไปทำข่าว ไปสัมภาษณ์ ไปถ่ายรูปกำลังนอนซมไม่มีใครดูแลเอามาเผยแพร่ เอามาประโคม
รับรองว่าไม่ทันข้ามคืน ความช่วยเหลือจากคณะสงฆ์จะหลั่งไหลไปท่วมท้น
เขาชี้ตัวอย่างที่ปรากฏอยู่เนืองๆ ในสังคม คือใครตกทุกข์ได้ยาก ขาดที่พึ่ง ไฟไหม้บ้าน พ่อแม่ถูกรถชนตาย เหลือแต่ลูกที่ยังเล็กอยู่ ขาดผู้ดูแล ฯลฯ ถ้าสื่อเอาข่าวมาประโคม จะมีผู้คนหลั่งไหลไปช่วยเหลือทันที
พระเณรอาพาธติดเตียงอยู่วัดไหน สื่อเล่นข่าวพักเดียว รับรองสำเร็จ คณะสงฆ์ช่วยตรึม
ฟังแล้วน่าคิด
แต่ผมอาจไม่คิดเหมือนที่เขาคิดกัน
คือลองคิดดูอีกมุมหนึ่ง คนในบ้านเจ็บป่วยเดือดร้อน ต้องให้คนนอกบ้านมาตะโกนบอก ผู้ปกครองดูแลบ้านจึงจะรู้และจึงจะเหลียวแล
มันเป็นภาพที่น่าชื่นชมนักหรือ?
ผมว่า-แทนที่จะหวังเพียงแค่ได้ออกข่าวว่าท่านผู้นั้นผู้โน้นมีเมตตาช่วยดูแลหรือสั่งให้ที่นั่นที่โน่นไปดูแลพระเณรอาพาธติดเตียงที่วัดนั้นวัดโน้นตามที่เป็นข่าวเรียบร้อยแล้ว และผู้คนก็ชื่นชมยินดีอนุโมนาสรรเสริญในเมตตาธรรมกันเซ็งแซ่ --
ทำไมไม่หวังให้ไกลไปกว่านั้น คือไกลไปถึงขั้นที่-คณะสงฆ์ตั้งกองทุนดูแลรับผิดชอบพระภิกษุสามเณรอาพาธติดเตียงทั่วสังฆมณฑล
ไม่ต้องรอให้เป็นข่าว
ไม่ต้องคอยให้สื่อประโคม
เพียงเจ้าคณะผู้ปกครองรายงานหรือเจ้าหน้าที่ของทางคณะสงฆ์สำรวจพบ คณะสงฆ์-โดยกองทุนนี้ก็จะเข้าไปดูแลรับผิดชอบเต็มตัว ตามหลักในพระวินัยที่ว่า -
“ยาวชีวํ อุปฏฺฐาตพฺโพ วุฏฺฐานสฺส อาคเมตพฺพํ
พึงพยาบาลจนตลอดชีวิตหรือจนกว่าจะหาย”
การกระทำดังกล่าวนี้ นอกจากจะเป็น -
(๑) การดูแลช่วยเหลือเอื้อเกื้อกูลกันตามหลักของสังคมที่อยู่ร่วมกันเป็นหมู่คณะแล้ว ยังเป็น -
(๒) การรักษาพระธรรมวินัยอันเป็นตัวพระศาสนาอีกด้วย ทั้งเป็น -
(๓) การประกาศพุทธคารวตา-ความเป็นผู้เคารพในพระพุทธองค์โดยเหตุผลที่ว่า-การที่สงฆ์ดูแลภิกษุอาพาธนั้นเป็นไปตามพระพุทธบัญญัติหรือ “พระพุทธดำรัสตรัสสั่ง” พูดภาษาชาวบ้านว่า พ่อสั่งไว้ให้ดูแลกัน ทำตามคำสั่งพ่อ-อีกสถานหนึ่งด้วย
เมื่อกองทุนนี้คณะสงฆ์ตั้งขึ้นสำเร็จ ถึงตอนนั้น ท่านผู้ใดจะพูดจะคุยจะบอกแก่ใครๆ ก็สามารถพูดได้อย่างเต็มปากและภาคภูมิว่า กองทุน (หรือจะเรียกว่ามูลนิธิ หรือชื่อหน่วยงานอะไรก็แล้วแต่) นี้ตั้งสำเร็จในสมัยที่อาตมาเป็น...กรรมการมหาเถรสมาคม ...
แบบนี้จะไม่ใช่แค่เป็นข่าว แต่จะเป็นเกียรติยศที่จารึกไว้ในประวัติศาสตร์พุทธศาสนาในประเทศไทย ปรากฏให้โลกได้ชื่นชมไปชั่วกาลนาน
มองให้ไกล ไปให้ถึงจุดนี้-แบบนี้ จะไม่ประเสริฐกว่าหรือ?
นาวาเอก ทองย้อย แสงสินชัย
๑๙ มิถุนายน ๒๕๖๓
๑๔:๑๔
โฆษณา