20 มิ.ย. 2020 เวลา 05:57 • วิทยาศาสตร์ & เทคโนโลยี
วันที่ 21 มิถุนายน 2563 นักวิทยาศาสตร์คาดการว่าจะเป็น "วันสิ้นโลก"
แต่สิ่งที่น่าสนใจคือ ความเชื่อเหล่านี้เกิดขึ้นมาได้อย่างไร ทำไมหลายคนถึงปักใจเชื่อ?
แล้ววันสิ้นโลกจะมีจริงหรือไม่ บทความนี้มีคำตอบ
ที่ต่างประเทศ ณ ขณะนี้ ผู้คนหลายกลุ่มรวมไปถึงสำนักข่าวท้องที่หลายแห่ง กำลังเล่นข่าวเรื่องวันสิ้นโลกที่จะเกิดขึ้นในวันที่ 21 มิถุนายน 2563 กันอย่างอุ่นหนาฝาคั่ง
ข่าวนี้สร้างความตื่นตระหนกให้กับผู้คนบางส่วน ที่มีความเชื่อว่าจุดจบของโลกกำลังจะมาถึงในไม่ช้า
โดยจุดเริ่มต้น เกิดจากนายเปาโล ตากาโลกวิน นักชีววิทยาทุนฟูลไบรต์ ได้ทวีตข้อความส่วนตัวว่า
"ความจริงแล้วนักวิทยาศาสตร์คำนวณวันสิ้นโลกจากปฏิทินมายาผิด ที่จริงวันสิ้นโลกไม่ได้ตรงกับวันที่ 21 ธ.ค. 2012 อย่างที่นักวิทยาศาสตร์ในอดีตบอก แต่มันตรงกับวันที่ 21 มิ.ย. 2020 ที่กำลังจะถึงนี้ต่างหาก"
การทวีตข้อความจากนักวิทยาศาสตร์ที่ดูน่าเชื่อถือแบบนี้ สร้างความตกใจและความกังวลให้คนหลายกลุ่มอยู่ไม่น้อย
ถึงแม้ว่าโลกกำลังเผชิญปัญหาไวรัสโควิด-19 แต่ข่าวเรื่องวันสิ้นโลกกลับสร้างอิมแพคขนาดใหญ่ให้กับผู้คนภายในระยะเวลาอันรวดเร็ว
ซึ่งไม่ว่าจะกี่ยุคกี่สมัย เหตุการณ์วันสิ้นโลกมักได้รับการพูดถึงอยู่เสมอ ทั้งๆ ที่มันไม่เคยเกิดขึ้นจริงเลยแม้แต่ครั้งเดียว
คำถามที่น่าสนใจคือ เพราะเหตุใดผู้คนถึงเชื่อเรื่องเหล่านี้ได้?
จริงๆ คำตอบของคำถามนี้ มีความซับซ้อนในตัวมันเองอยู่พอสมควร
แต่หนึ่งในคำตอบที่เป็นไปได้ คงหนีไม่พ้นเรื่องของ "ความเชื่อ" และ "อิทธิพลทางศาสนา"
ความเชื่อ คือ ทัศนคติหรือความคิดของมนุษย์ ที่ยอมรับว่าสิ่งใดสิ่งหนึ่งเป็นความจริง โดยที่ข้อเท็จจริงของสิ่งนั้นอาจเป็นเรื่องจริงหรือเรื่องลวงก็ได้
เช่น ความเชื่อเรื่องผี บางคนเชื่อว่าผีมีจริง โลกของวิญญาณไม่ใช่เรื่องหลอกลวง ในขณะที่บางคนกลับมองว่าเป็นเรื่องไร้สาระ
ซึ่งเหตุผลที่เราเชื่อไม่เหมือนกันแบบนี้ นั่นเป็นเพราะการรับรู้ของแต่ละคนต่างกัน ความเชื่อจึงแตกต่างตามกันไปด้วย
เช่นเดียวกับอิทธิพลทางศาสนา (รวมไปถึงลัทธิอื่น)
หลายๆ ศาสนาต่างระบุว่าวันสิ้นโลกมีจริง บ้างก็ว่าวันที่พระเจ้าจะมาตัดสินมนุษย์ กำลังจะเกิดขึ้นในไม่ช้า หรือแม้แต่คำสอนในบางศาสนา ที่พูดเรื่องการเกิดใหม่ของโลกและมนุษย์ ว่าเป็นความจริง
เมื่ออิทธิพลความเชื่อทางศาสนาเหล่านี้ เข้าสู่การรับรู้ของมนุษย์แล้ว สิ่งที่ตามมาคือ ผู้คนจะให้ความสำคัญกับเรื่องวันสิ้นโลกมากขึ้น จนบางคนถึงกับเตรียมตัวให้พร้อมก่อนที่วันนั้นจะมาถึง
แต่แน่นอน ในปัจจุบันศาสนาอาจไม่ได้มีอิทธิพลต่อความเชื่อของผู้คนมากมายแบบในอดีตขนาดนั้นแล้ว
แต่สิ่งหนึ่งที่โน้มเอียงความคิดของคนรุ่นปัจจุบันได้ คือการนำเสนอเหตุการณ์ทางวิทยาศาสตร์ที่ควบคู่ไปกับความเชื่อทางศาสนาด้วย เช่น
เหตุการณ์ภัยพิบัติทางธรรมชาติที่รุนแรงมากขึ้น การก่อร้าย การเกิดโรคระบาด ฯลฯ
จนดูเหมือนว่าโลกกำลังมีสัญญาณถึงจุดอวสานในไม่ช้าแน่
ซึ่งเมื่อสิ่งเหล่านี้ถูกนำเสนอบ่อยเข้า มนุษย์ก็จะค่อยๆ ปรับความเชื่อของตนเข้าหาสิ่งนั้น
จนในที่สุด เรื่องวันสิ้นโลก ก็กลายมาอยู่ในจิตใต้สำนึกของใครบางคนไปเป็นที่เรียบร้อยแล้ว
ดังนั้น นี่จึงเป็นหนึ่งเหตุผลที่ยังทำให้คนเชื่อว่า วันสิ้นโลกอาจเกิดขึ้นจริงก็ได้
อย่างไรก็ตาม จากเหตุการณ์ในอดีตที่ผ่านมา มีการทำนายไว้ว่าโลกจะพังพินาศมาหลายครั้ง แต่ทุกครั้งก็ไม่เคยเกิดขึ้นจริงเลย
ดังนั้น เราจะมาลองดูกันว่า ที่ผ่านมามีการทำนายอะไรไว้บ้าง
เริ่มจากปี 1806 โลกจะสูญสิ้นจากสัญญาณแม่ไก่ เหตุการณ์นี้เกิดขึ้นในเมืองลีดส์ ประเทศอังกฤษ
ผู้คนเชื่อว่าวาระสุดท้ายของโลกกำลังมาถึง โดยจะมีแม่ไก่ตัวหนึ่งออกมาเรียงไข่เป็นคำว่า “พระคริสต์กำลังจะปรากฏ”
แต่ท้ายที่สุดเหตุการณ์ดังกล่าวก็ไม่เกิดขึ้นจริง แถมไข่ที่เรียงเป็นคำว่า “พระคริสต์กำลังจะปรากฏ” ก็เป็นฝีมือมนุษย์ดีๆ นี่เอง
เหตุการณ์ต่อมาคือ วันที่ 28 เมษายน 1843 เกิดจากความเชื่อของชาวนานิวอิงแลนด์ผู้หนึ่งชื่อว่า วิลเลียม มิลเลอร์
วิลเลียม มิลเลอร์ ใช้เวลาศึกษาคัมภีร์ไบเบิลอย่างยาวนาน จนค้นพบว่า จะเกิดวันสิ้นโลกระหว่างวันที่ 21 มีนาคม 1843 - 31 มีนาคม 1844
หลังจากการค้นพบของเขาในครั้งนั้น ก็ได้นำไปสู่การตีพิมพ์ในหนังสือไว้มากมาย และเกิดกลุ่มคนที่เรียกว่า มิลเลอไรต์ส (Millerites)
กลุ่มมิลเลอไรต์สรวมตัวกันเพื่อหาข้อสรุปว่า วันสิ้นโลกจะเกิดในวันที่เท่าไหร่กันแน่
จนในที่สุด พวกเขาก็ได้ข้อสรุปออกมาว่า วันที่ 23 เมษายน คือวันที่โลกจะถูกทำลายล้าง
แต่จนแล้วจนรอด พอถึงวันนั้น เหตุการณ์ทุกอย่างก็ดูปกติดี ไม่มีอะไรเกิดขึ้น โลกไม่ได้แตกตามที่พวกเขาคาดไว้
สุดท้าย กลายเป็นว่าคนกลุ่มนี้เองนี่แหละ ที่แตกกระจัดกระจายกันเอง และค่อยๆ หายไปในที่สุด
เหตุการณ์ "ปี 1910 ดาวหางฮัลเลย์พุ่งชนโลก"
เหตุการณ์ในครั้งนั้น เกิดจากกลุ่มนักวิทยาศาสตร์ปี 1881 ได้เคยคาดการณ์ไว้ว่า ปี 1910 โลกจะถูกพุ่งชนด้วยดาวหางฮัลเลย์ และมนุษย์จะตายด้วยสารพิษที่ชื่อว่า ไซยาโนเจน (cyanogen)
ข่าวนี้ถูกตีพิมพ์บนหนังสือนิวยอร์ก ไทมส์ ก่อนที่สุดท้ายนักวิทยาศาสตร์จากสถาบันชั้นนำของโลก ได้ออกมาประกาศว่า "ไม่มีอะไรต้องกังวล" เพราะโลกของเราไม่เคยได้รับอันตรายใดๆ จากดาวหางฮัลเลย์เลย
ปี 1982 คำทำนายของแพต โรเบิร์ตสัน (Pat Robertson)
แพต โรเบิร์ตสัน เป็นผู้สอนศาสนาคริสต์ที่ให้บริการทางสถานีโทรทัศน์และเป็นผู้ก่อตั้งพันธมิตรคริสเตียน (Christian Coalition) ในประเทศสหรัฐอเมริกา
ในขณะนั้น เขาสร้างความตระหนกให้กับผู้คนทั่วโลกผ่านรายการ 700 Club ว่า วาระสุดท้ายของมนุษย์จะสิ้นสุดลงในปี 1982 และพระเจ้าจะออกมาตัดสินมนุษย์โลก
อย่างไรก็ตาม มีผู้ออกมาโต้แย้งโดยอ้างจากคำสอนของพระคัมภีร์ไบเบิลว่า ไม่มีผู้ใดรู้ได้แน่ชัดว่าโลกจะสิ้นสุดลงเมื่อไหร่
สุดท้ายพอถึงปี 1982 โลกก็ไม่ได้แตกตามที่เขาคาดคิดอีกเช่นเคย
ปี 2012 ปฏิทินวันสิ้นโลกแห่งชนเผ่ามายา
เหตุการณ์ในคำทำนายนี้ ถือเป็นปรากฏการณ์ที่สร้างอิมแพคได้มากที่สุดของโลก นับตั้งแต่เคยมีการทำนายวันสิ้นโลกมา
เพราะที่ผ่านมา ปฏิทินของชาวมายาทำนายเหตุการณ์ต่างๆ บนโลกได้แม่นยำอย่างน่าเหลือเชื่อ โดยเฉพาะการเปลี่ยนเข้าสู่ยุคต่างๆ
ผู้เชี่ยวชาญ ณ เวลานั้น ออกมายืนยันว่า ปฏิทินมายาได้ระบุว่ายุคสุดท้ายที่มนุษย์จะถึงจุดจบ คือวันที่ 21 เดือน 12 ปี 2012
พอถึงปีดังกล่าว จึงมีการทำหนัง สารคดี และการรวมกลุ่มกันของผู้คนทั่วโลก เพื่อเตรียมตัวรับมือหากโลกกำลังจะแตก
มีรายงานว่า เศรษฐีบางคนเตรียมซื้อเรือขนาดยักษ์ไว้แล้ว เพราะเชื่อว่าน้ำกำลังจะท่วมโลก
แต่ท้ายที่สุด นาฬิกาโลกเดินผ่านเที่ยงคืนของวันที่ 21 เดือน 12 ปี 2012 ไปอย่างปกติ ไม่มีเหตุการณ์ใดเกิดขึ้น วันสิ้นโลกไม่ได้เกิดขึ้นจริง
มาถึงตรงนี้ จะเห็นได้ว่ามนุษย์ผ่านคำทำนายเรื่องวันสิ้นโลกมานักต่อนักแล้ว โดยทั้งหมดนี้ เป็นเพียงแค่ส่วนหนึ่งเท่านั้น ความจริงยังมีอีกเยอะมากๆ แต่เอาเป็นว่ามันไม่เคยมีคำทำนายใดเกิดขึ้นจริงเลย
อย่างไรก็ตาม มีคำทำนายของหมอดูอีกหลายคนที่กล่าวว่า วันสิ้นโลกยังไม่ใช่ในเร็ววันนี้แน่
แต่พวกเขาบอกว่ามันจะเกิดขึ้นในอนาคตอีกยาวไกล อย่างคำทำนายของหมอดูตาบอด "บาบา วานกา" ผู้ที่มีสูญเสียดวงตาจากอุบัติเหตุ จนทำให้เธอไม่สามารถมองเห็นสิ่งใดได้ ยกเว้น "อนาคต" ที่คนทั่วไปมองไม่เห็น
บาบา วานกา เคยทำนายไว้ว่า ตึกแฝดของอเมริกา จะถูกนกเหล็กยักษ์พุ่งเข้าทำลาย และมหาอำนาจโลกทางเศรษฐกิจจะไม่ใช่สหรัฐอีกต่อไป
ซึ่งจากคำทำนายดังกล่าว ก็มีเค้าลางที่เกิดขึ้นจริงซะด้วย เนื่องจากในเวลาต่อมาสหรัฐถูกผู้ก่อการร้ายใช้เครื่องบินถล่มตึกเวิรล์ดเทรด ในเหตุการณ์ 9/11 สร้างความเสียหายทั้งทรัพย์สินและประชาชนชาวสหรัฐไปทั่วประเทศ
ขณะที่ตอนนี้ การแข่งขันทางเศรษฐกิจระหว่างจีนและสหรัฐ ก็กำลังดุเดือดมากๆ เช่นกัน
โดยมีความเป็นไปได้ว่า มหาอำนาจของโลกอาจเปลี่ยนมือไปเป็นประเทศจีนก็ได้ หากอ้างอิงตามคำทำนายของบาบา วานกา
นอกจากนี้ บาบา วานกา ยังบอกไว้อีกว่า โลกของเราจะพบกับจุดจบในคริสต์ศตวรรษที่ 51 แน่นอน
แต่ก็อย่างที่ว่าไว้ละครับ คำทำนายก็คือคำทำนาย เราไม่อาจรู้ได้เลยว่ามันจะจริงหรือไม่ จนกว่าจะถึงเวลาของมันเอง
เช่นเดียวกับนักวิทยาศาสตร์ทั่วโลกต่างออกมายืนยันว่า วันสิ้นโลกยังไม่เกิดขึ้นในตอนนี้แน่นอน เพราะโลกเราจะแตกก็ต่อเมื่อพระอาทิตย์ขยายตัวเป็น "ดาวยักษ์แดง" ในอีก 4,500 ล้านปีข้างหน้านู้นเลย
หรือไม่ ก็เกิดเหตุการณ์อุกกาบาตพุ่งชนโลก จนโลกอยู่ไม่ได้ (ซึ่งที่ผ่านมา นักวิทยาศาสตร์ก็ยังไม่เห็นวี่แววว่าจะเป็นอย่างงั้นเลย)
แต่สิ่งที่น่ากังวลมากกว่า คือวันที่แหล่งพลังงานของโลกกำลังจะหมดไป
เพราะเมื่อไหร่ก็ตามที่แหล่งพลังงานของโลกหมดไป วันนั้นแหละครับจะเป็นวันที่ไม่ต่างอะไรกับเหตุการณ์โลกแตกแบบในหนัง
ดังนั้น ในเวลานี้จึงเป็นเวลาที่เราควรหันมาใส่ใจโลกมากกว่าการวิตกกังวลว่าโลกของเราจะแตกตอนไหน เพราะท้ายที่สุดแล้ว มนุษย์จะยังคงอยู่คู่โลกใบนี้ต่อไปอีกนาน
ส่วนวันที่ 21 มิถุนายน 2563 จะเกิดอะไรขึ้นกับโลกเราบ้าง แล้วโลกจะแตกตามคำที่นักวิทยาศาสตร์บอกหรือไม่มารอดูกันครับ
ใครมีความคิดเห็นอย่างไร สามารถแสดงความคิดได้อย่างอิสระเลยเด้อ
โฆษณา