3 ก.ค. 2020 เวลา 11:30 • ครอบครัว & เด็ก
#RECallxalonInRELATIONSHIP : The REC.
🤰 แม่เลี้ยงเดี่ยว - สถาบันครอบครัวที่เปลี่ยนแปลงไป
.
.
.
(Digi-Full)
ปฏิเสธไม่ได้ว่าโครงสร้างของครอบครัวของไทยในปัจจุบัน "เปลี่ยนไป" จากครอบครัวขยายสู่ครอบครัวเดี่ยว ขณะเดียวกันครอบครัวแบบแม่เลี้ยงเดี่ยวก็มีการขยายตัวเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง
.
ดร.พิมลพรรณ อิศรภักดี นักวิจัยของสถาบันวิจัยประชากรและสังคม มหาวิทยาลัยมหิดล ได้ให้สัมภาษณ์กับหนังสือพิมพ์ไทยรัฐว่า "ครอบครัวพ่อแม่เลี้ยงเดี่ยว เพิ่มจำนวนขึ้นอย่างมาก จากเดิม 9.7 แสนครัวเรือน เป็น 1.37 ล้านครัวเรือน ในจำนวนนี้ประมาณ 80% เป็นครอบครัวแม่เลี้ยงเดี่ยว มากกว่าพ่อเลี้ยงเดี่ยว" สาเหตุหลักเกิดจากอัตราการหย่าร้างที่สูงขึ้นนั่นเอง
.
การหย่าร้างที่เพิ่มขึ้นในสังคมสะท้อนให้เห็นความเข้าใจในโครงสร้างของครอบครัวมากขึ้น เพราะการอยู่ร่วมกันอย่างไร้ความเข้าใจซึ่งกันและกัน เป็นการบ่มเพาะเมล็ดพันธุ์แห่งปัญหา ไม่ว่าจะเป็นเรื่องความรุนแรง หรือความเครียด ที่ซึ่งจะส่งทอดผ่านพฤติกรรมสู่บุตรหลาน ก่อให้เกิดพฤติกรรมเลียนแบบ และนำไปสู่ปัญหาสังคมอื่น ๆ
.
อีกเหตุผลหนึ่งของการเป็นแม่เลี้ยงเดี่ยวคือความเชื่อเกี่ยวกับการพึ่งพาตัวเอง ผู้หญิงมีทางเลือกในการใช้ชีวิตมากกว่าแต่ก่อน สามารถหาเงินเลี้ยงลูกได้ด้วยตัวเอง ประกอบกับความเชื่อที่วิวัฒนาการไป เรื่องการหย่าร้าง ซึ่งมิได้เป็นเรื่องอับอายอย่างที่เคยเป็น ซึ่งแสดงให้เห็นถึงสิทธิสตรีที่มีบทบาทเปลี่ยนไปในสังคม
.
อย่างไรก็ตาม การเป็นแม่เลี้ยงเดี่ยวก็ส่งผลเสียบางประการต่อคุณแม่ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องความเครียด สภาวะจิต และการดำเนินชีวิตที่เปลี่ยนไป
.
พญ.อัมพร เบญจพลพิทักษ์ ผอ. สถาบันราชานุกูล กรมสุขภาพจิต กระทรวงสาธารณสุข กล่าวว่า พ่อหรือแม่เลี้ยงเดี่ยวพบมากขึ้นเรื่อย ๆ ทั้งในสังคมไทยและสังคมทั่วโลก ในประเทศไทยอาจจะยังไม่มีฐานข้อมูลชัดเจน แต่ในอดีตเมื่อประมาณ 10 ปีที่แล้ว พบว่าการจดทะเบียนสมรสทุก 5 คู่จะมีคนมาหย่าร้างกัน 1 คู่ แต่ปัจจุบันพบว่าอัตราการหย่าร้างอยู่ที่ประมาณ 1 ใน 3 ในหลายพื้นที่สะท้อนให้เห็นว่าความไม่ลงตัวในชีวิตคู่เพิ่มมากขึ้น ทำให้มีพ่อหรือแม่เลี้ยงเดี่ยวเพิ่มขึ้น แต่ก็มีเด็กเป็นจำนวนมากที่เกิดจากพ่อแม่ที่ไม่ได้สมรสกัน คือ เกิดจากพ่อแม่วัยใสที่ไม่มีความพร้อมในการใช้ชีวิตคู่
.
ปัญหาสุขภาพจิตที่เกิดขึ้นกับพ่อหรือแม่เลี้ยงเดี่ยว ส่วนใหญ่ที่เห็นได้ชัดเจนคือ ความรู้สึกหวาดกลัว ขาดความเชื่อมั่นกับอนาคตที่จะก้าวเดินต่อไป เช่น เงินที่ต้องนำมาเลี้ยงดูบุตร การบริหารจัดการเวลาในการดูแลบุตร ทำให้พ่อหรือแม่เลี้ยงเดี่ยว เกิดความเครียด ซึมเศร้า เกิดสารพัดรูปแบบอารมณ์ด้านลบ รวมถึงบุตรที่เกิดมา ก็อาจจะมีความเสี่ยงด้านสุขภาพจิตในหลายด้าน เช่น อาจรู้สึกด้อยที่มีไม่เท่าเพื่อน ไม่ภาคภูมิใจในตัวเอง รู้สึกน้อยเนื้อต่ำใจ ที่ไม่ได้รับการดูแลจากพ่อแม่เท่าที่ควร
.
ในขณะเดียวกัน ที่ประเทศเดนมาร์กกำลังมีเทรนด์ใหม่ที่มาแรงมาก ๆ นั่นคือผู้หญิงจำนวนมากเลือกที่จะเป็นคุณแม่เลี้ยงเดี่ยว คำว่า “คุณแม่เลี้ยงเดี่ยว” ในที่นี้ไม่ได้หมายถึงผู้หญิงที่หย่าขาดกับสามีแล้วต้องเลี้ยงดูลูก ๆ คนเดียว แต่คุณแม่เลี้ยงเดี่ยวในที่นี้ หมายถึงผู้หญิงที่ต้องการมีลูกแต่ไม่มีสามี พวกเธอตั้งท้องโดยซื้อสเปิร์มจากธนาคารสเปิร์มที่มีคนบริจาคให้
.
ตั้งแต่เดนมาร์กอนุญาตให้ผู้หญิงใช้สเปิร์มของผู้บริจาคมาใช้ในทางการแพทย์เพื่อตั้งครรภ์ได้ในปี 2550 เดนมาร์กก็เป็นประเทศที่มีผู้หญิงตั้งท้องจากการขอสเปิร์มจากธนาคารสเปิร์มมากที่สุดในโลก เรียกว่าถ้ามีเด็กทารกเกิดมา 10 คน จะต้องมีอย่างน้อย 1 คนที่เกิดจากการใช้สเปิร์มของผู้บริจาค และผู้หญิงชาวเดนมาร์กส่วนใหญ่มีคนรู้จักและญาติที่ตั้งครรภ์ด้วยวิธีนี้อย่างน้อย 1 คน
.
Cryos International เป็นธนาคารสเปิร์มที่ใหญ่ที่สุดในโลก ได้เปิดเผยว่า ครึ่งหนึ่งของผู้หญิงที่เข้ามาใช้บริการเป็นโสด และ 85% จะมีอายุระหว่าง 31– 45 ปี มีวุฒิการศึกษาในระดับปริญญาโทหรือสูงกว่า และบริษัทยังได้ให้ข้อมูลเพิ่มเติมว่า บริษัทได้คาดการณ์ว่า ใน 8 ปีข้างหน้าผู้หญิงที่มาใช้บริการมากกว่า 70% จะเป็นผู้หญิงที่ยังไม่แต่งงาน เพราะตอนนี้มีจำนวนผู้หญิงโสดที่สนใจติดต่อขอซื้อสเปิร์มจำนวนมาก
.
สำหรับผู้หญิงเดนมาร์กการเป็นคุณแม่เลี้ยงเดี่ยวคงไม่แย่อย่างที่ทุกคนคิด เพราะพวกเธอสามารถเลี้ยงลูก ๆ ของเธอได้ดี และไม่ลำบากในการเป็นคุณแม่เลี้ยงเดี่ยวเหมือนกับในประเทศอื่น ๆ เนื่องจากสวัสดิการสำหรับการลาคลอดในประเทศเดนมาร์กนั้นดีมาก จึงไม่น่าแปลกใจเลยว่าทำไมการซื้อสเปิร์มมาเพื่อตั้งครรภ์ถึงได้กลายเป็นเทรนด์ใหม่ของประเทศเดนมาร์ก
.
เป็นที่น่าสนใจว่าเดนมาร์กสามารถจัดการกับความหลากหลายของสถาบันครอบครัวอันเป็นหน่วยย่อยที่สุดของสถาบันชาติได้อย่างมีประสิทธิภาพ กลับมาที่บ้านเราที่ซึ่งยังต้องทำความเข้าใจกับเรื่องนี้อีกสักหน่อย ทั้งในประเด็นเรื่องสวัสดิการการลาคลอดที่ต้องมีการจัดการอย่างยุติธรรม ประกอบกับการให้ความรู้เรื่องการใางแผนครอบครัวทั้งการเป็นครอบครัวแบบพ่อแม่ลูก หรือการเป็นครอบครัวแบบคุณแม่ หรือพ่อเลี้ยงเดี่ยวด้วย
.
อย่างไรก็ตามสิ่งหนึ่งที่ยังเป็นอุปสรรคต่อการพัฒนาสถาบันครอบครัวคือทัศนคติอนุรักษ์นิยม ที่ให้คุณค่ากับครอบครัวขยายมากกว่าการเป็นคุณแม่เลี้ยงเดี่ยว รวมถึงการให้ความหมายกับผู้หญิงว่ามีความจำเป็นต้องพึ่งพิงสามีคู่สมรส ทั้งนี้ภาครัฐของไทยยังต้องทำการบ้านเกี่ยวกับเรื่องนี้อีกหนักหนาและต่อเนื่อง เพื่อให้เกิดการพัฒนาอย่างเข้าใจของชาติในอนาคต
.
เมื่อสมัยนิยมเริ่มเปลี่ยนแปลงไป ความเป็นอยู่ที่แตกต่างจากเดิม การยอมรับคุณแม่เลี้ยงเดี่ยวเริ่มมีมากขึ้น แม้จะไม่ได้ถูกต้องหรือหลักทางจริยธรรม ซึ่งไม่มีพื้นฐานของปัญญาที่แท้จริง แต่การยอมรับและให้โอกาสเริ่มมีมากขึ้น
.
การพร่ำบ่นถึงอดีต และไม่พัฒนา จึงไม่ใช่การแก่ปัญหาที่ถูกต้อง การยอมรับถือเป็นขั้นต้นของการแก้ปัญหาของคุณแม่เลี้ยงเดี่ยว แต่ถึงยังไงก็ตาม "คุณแม่เลี้ยงเดี่ยว" ไม่ใช่เรื่องที่ผิดหากไม่กระทบผลต่อแวดล้อม และทำความเดือดร้อนให้ใครมากเท่าที่ควร และคุณแม่เลี้ยงเดี่ยวก็ยังสามารถเลี้ยงลูกตัวเอง ให้เป็นกำลังสำคัญในการพัฒนาประเทศได้อีกด้วย
.
.
.
P. Saitong : Write
N. Wongarun : illustration
.
.
.
INFO
.
.
.
📌 ติดตามช่องทางของ The REC. เพื่อรับข้อมูลข่าวสารให้ครบถ้วน และให้กำลังใจพวกเราได้ที่
➖Spotify : (-)
➖Apple Podcasts : (-)
➖SoundCloud : (-)
@Therecmeme
#TheREC. - records meme idea direct to you
โฆษณา