แน่ละ… กลยุทธ์การลงทุนของเขาย่อมมาจาก “วิถีแห่งดันโด” นั่นเอง
สรุปกลยุทธ์การลงทุนแบบดันโด
โมนิช พาไบร สรุปแนวคิดแบบดันโดเอาไว้ดังนี้
· ลงทุนในธุรกิจที่มีการดำเนินงานอยู่แล้ว
· ลงทุนในธุรกิจที่เรียบง่าย
· ลงทุนในธุรกิจที่มีปัญหาในอุตสาหกรรมซึ่งกำลังอยู่ในภาวะความยากลำบาก
· ลงทุนในธุรกิจที่มีความได้เปรียบเชิงแข่งขันอันยั่งยืน
· เดิมพันน้อยอย่าง เดิมพันหนักๆ ไม่เดิมพันบ่อย
· มองหาโอกาสทำอาร์บิทราจ (ซื้อถูก ขายแพง)
· มีส่วนเผื่อเพื่อความปลอดภัยเสมอ
· ลงทุนในธุรกิจที่มีความเสี่ยงต่ำ แต่มีความไม่แน่นอนสูง
· ลงทุนในพวกเลียนแบบ ไม่ใช่พวกสร้างสรรค์สิ่งใหม่ๆ
· ลงทุนในธุรกิจซึ่งมีการดำเนินงานอยู่แล้ว
หุ้นสามัญของบริษัทจดทะเบียนมีจำนวนมากมายให้เลือก ทุกบริษัทก็มีการดำเนินงานอยู่แล้ว แต่การลงทุนแบบดันโดตีความเอาไว้ว่า... เราควรเลือกหุ้นที่บริษัทมีโมเดลทางธุรกิจที่ชัดเจน มีประวัติการดำเนินงานยาวนาน จนเราสามารถวิเคราะห์ปัจจัยที่แวดล้อมทั้งภายในและภายนอกธุรกิจได้ เช่นเดียวกับที่ ปาปา พาเทล เริ่มต้นเข้าซื้อโรงแรมที่เปิดดำเนินงานอยู่แล้ว
· ลงทุนในธุรกิจที่เรียบง่าย
วิถีแห่งดันโดแนะนำให้เราเลือกหุ้นของบริษัทที่มีลักษณะเรียบง่าย มีการเปลี่ยนแปลงในระยะยาวน้อย มีประวัติการสร้างรายได้ กระแสเงินสด ผลกำไร มายาวนาน จนเราวิเคราะห์ได้และคาดการณ์กระแสเงินสดในอนาคตได้ง่าย ปาปา พาเทล มองเห็นความเรียบง่ายของธุรกิจโมเต็ล เพราะตราบใดที่ผู้คนยังคงเดินทางไกลและต้องการพักผ่อน ธุรกิจโรงแรมก็จะไม่มีวันตาย Transtech ของพาไบร แม้จะอยู่ในอุตสาหกรรม IT ที่ดูเหมือนเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว แต่ความเป็นธุรกิจบริการของ Transtech มันจึงเป็นความเรียบง่ายท่ามกลางความวุ่นวาย
· ลงทุนในธุรกิจที่มีปัญหาในอุตสาหกรรมที่กำลังอยู่ในภาวะความยากลำบาก
ในสถานการณ์วิกฤตที่เกี่ยวข้องกับเศรษฐกิจ เช่น ราคาน้ำมันสูง เศรษฐกิจถดถอย ผู้คนลดรายจ่ายที่ไม่จำเป็น จะส่งผลกระทบต่ออุตสาหกรรมหลายชนิดด้วยความรุนแรงต่างกัน แต่สิ่งที่เหมือนกัน คือ การตื่นกลัวของนักลงทุน ทำให้เทขายหุ้นของบริษัทต่างๆ ออกมาในราคาถูก ซึ่งในนี้มี “ของดี ราคาถูก” อยู่ด้วยเสมอ เช่น ปาปา พาเทล เข้าซื้อธุรกิจโมเต็ลในช่วง Oil Shock หรือมณีลาล ชอธุรี เข้าสู่ธุรกิจโรงแรมหลังเหตุการณ์ 911 หรือลักษมี มิตทาล เข้าซื้อธุรกิจเหล็กในภาวะอุตสาหกรรมที่กำลังแย่