23 มิ.ย. 2020 เวลา 04:47 • กีฬา
คาร์ลอส ไกเซอร์ : นักเตะจอมลวงโลก ที่กุเรื่องโกหกจนได้เซ็นสัญญา
ร่วมทีมฟุตบอล ระดับแถวหน้าหลายต่อหลายทีม ทั้งที่ไม่เคยลงเล่น
คุณลองจินตนาการภาพนักฟุตบอลฝีเท้าดาดๆคนหนึ่ง ที่กุเรื่องโกหกจนได้เข้าร่วมทีมฟุตบอลระดับแถวหน้าของประเทศหลายต่อหลายทีม มันจะเป็นไปได้อย่างไร ในเมื่อฟุตบอลนั้นต้องใช้ความสามารถของฝีเท้า ในการพิสูจน์ตัวเองและไปยืนในจุดนั้นได้
แต่สำหรับคาร์ลอส ไกเซอร์ คือข้อยกเว้น เขาผู้นี้นั้นสามารถอุปโลกน์ตัวเองให้เป็นยอดนักเตะ จนได้เซ็นสัญญากับหลายสโมสรในบราซิลและต่างประเทศ ซึ่งทีมที่เชื่อว่าเขาเป็นนักเตะฝีเท้าดี จนเซ็นสัญญาเข้าสู่ทีม นั้นล้วนแต่เป็นสโมสรชั้นนำในบราซิลอย่าง โบตาโฟโก้ ฟลาเมงโก้ ฟูมิเนนเซ่ วาสโกดากามา
สโมสรทั้งหมดที่กล่าวมานั้น ต่างเคยเซ็นสัญญาเขาไปร่วมทีม ทั้งที่บางทีมเขาแทบจะไม่เคยลงเล่นให้กับทีมนั้นเลยแม้แต่เกมเดียว เขาสามารถทำเช่นนี้ได้อย่างไร ร่วมติดตามเรื่องราวของ คาร์ลอส ไกเซอร์ ยอดนักเตะที่ไม่เคยลงสนามได้ที่ยิงตรงได้เลยครับ
ไกเซอร์เริ่มต้นเส้นทางฟุตบอลในวัย 16 ปี กับสโมสรในลีกเม็กซิโก แต่ก็ไม่ได้ประสบความสำเร็จใดๆ และไม่ได้ลงเล่นแม้แต่เกมเดียว ทำให้เขาต้องกลับมาที่บราซิลบ้านเกิดของเขา
ทว่าการกลับมาที่บราซิลนั้น หนทางในการไปสู่เส้นทางนักเตะอาชีพของเขาได้เปลี่ยนไป เขาไม่ได้ใช้ฝีเท้าของตัวเองเพื่อไปสู่จุดหมายนั้น แต่สิ่งที่เขาใช้นั่นเป็นเพียงคำพูด และการไปเที่ยวไนท์คลับในทุกค่ำคืน เพียงสองสิ่งนี้ก็เพียงพอให้เขาได้เซ็นสัญญาอาชีพกับยอดทีมในบราซิล
คำถามคือการไปเที่ยวกลางคืนของเขานั้น จะทำให้เขาเป็นนักเตะอาชีพได้อย่างไร และคำตอบก็คือ ในที่ที่เขาไปนั้นล้วนเต็มไปด้วยบรรดานักเตะบราซิลระดับสตาร์ ที่นั่นทำให้เขาได้รู้จักกับคาร์ลอส โรเบอร์โต , ริคาร์โด้ โรช่า , เรนาโต้ เกาโช่ และนักเตะทีมชาติบราซิลคนอื่นๆ
เขาพยายามตีสนิทแข้งดาวดังเหล่านั้น และสาธยายถึงความสามารถในฝีเท้าของเขาเอง เขาพูดกรอกหูนักเตะเหล่านั้นทุกวันๆ ในทุกครั้งที่เจอกัน เพื่อโน้มน้าวให้พวกเขาแนะนำให้ทีมที่แต่ละคนสังกัดอยู่ ดึงเขาเข้าร่วมทีม
“วิธีพูดของเขานั้นมันวิเศษมากถ้าคุณปล่อยให้เขาอ้าปากพูด เขาจะดึงดูดคุณ ซึ่งคุณไม่สามารถปฏิเสธได้” เบเบโต้เล่าถึงความวิเศษของคำพูดที่ออกจากปากไกเซอร์
เริ่มต้นเส้นทางลวงโลก
แล้วสิ่งที่เขาทำมันก็ได้ผลตามที่หวัง ไกเซอร์ได้เซ็นสัญญาอาชีพกับโบตาโฟโก้ แท้จริงแล้วกว่าจะได้เซ็นสัญญา เขาควรจะต้องได้รับการทดสอบฝีเท้าเสียก่อน แต่เขาฉลาดพอที่จะหลีกเลี่ยงขั้นตอนนั้น เขาแกล้งทำเป็นเจ็บเพื่อที่จะไม่ต้องทดสอบฝีเท้า แล้วให้แข้งดาวดังที่เป็นเพื่องของเขาช่วยยืนยืน เพื่อให้สโมสรยอมเซ็นสัญญาเขาเข้าร่วมทีม
ไกเซอร์มักจะเจรจาสัญญาระยะสั้นกับสโมสรเสมอ เขาจะบอกกับทีมว่ามีอาการบาดเจ็บ ยังอยู่ไม่สามารถซ้อมร่วมกับทีมได้ และต้องใช้เวลาสองถึงสามสัปดาห์ในการแยกซ้อมกับโค้ชฟิตเนส เขาพยายามทำทุกวิถีทางเพื่อไม่ให้ตัวเองจะต้องซ้อมร่วมกับทีม เพราะไม่เช่นนั้นเขาจะไม่สามารถปกปิดฝีเท้าที่แท้จริงของเขาได้
ซึ่งแน่นอนว่าเขาไม่สามารถหลีกหนีการซ้อมร่วมกับทีมไปได้ตลอด แต่เมื่อถึงเวลานั้นจริงๆ เขาจะหาจังหวะล้มลงไปนอนกองกับพื้น แล้วเริ่มร้องโอดโอยอ้างว่าได้รับบาดเจ็บซ้อมต่อไม่ไหว
“นักฟุตบอลส่วนใหญ่จะมุ่งมั่นในการได้ลงสนามในเกมที่กำลังจะมาถึง เพื่อชนะเกมนั้นๆ แต่ผมกลับตรงกันข้าม ผมใช้เวลาคิดหาวิธีเพื่อหลีกเลี่ยงการลงเล่นตลอดเวลา" ไกเซอร์เล่าถึงความพยายามของเขา ที่เลี่ยงการลงสนาม
วิธีการของเขาไม่เพียงแค่ตีสนิทนักฟุตบอลเท่านั้น แต่เขายังพยายามตีสนิทนักข่าวหลายต่อหลายคน เพื่อให้นักข่าวเหล่านั้นเสนอข่าวของเขาในแง่ดี ผ่านคำบอกเล่าจากปากของเขาเอง ซึ่งข่าวพวกนั้นก็ล้วนแต่เป็นโปรไฟล์ชั้นดีที่เขาจะมีติดตัว อีกทั้งข่าวเหล่านั้นยังเป็นหลักฐานยืนยันความสามารถของเขา ให้ทีมต่างๆ เชื่ออย่างสนิทใจว่าเขาคือยอดนักเตะ ซึ่งในยุคสมัยนั้นไม่สามารถหาข้อมูลกันได้ง่ายๆ จึงไม่มีใครตรวจสอบได้ว่า ข่าวในหน้าหนังสือพิมที่เขาใช้อวดอ้างนั้นจริงเท็จเพียงใด
ลวงโลกข้ามทวีป
ไม่ใช่แค่ในบราซิลเท่านั้นที่ไกเซอร์ได้โลดแล่นในเส้นทางฟุตบอล แต่จับพลัดจับผลูเขาได้ไปค้าแข้งไกลถึงฝรั่งเศษกับทีม กาเซเล็ค อฌักซิโอ้ ทีมในดิวิชันสองของลีกแดนน้ำหอม ซึ่งแน่นอนว่าไม่ได้เป็นเพราะทีมจากฝรั่งเศษไปเตะตาฟอร์มในสนามของเขา เพราะเขายังไม่เคยลงเล่นในลีกบราซิลเลยซักนาทีเดียว
แต่ที่เขาได้ไปฝรั่งเศษ ก็เพราะคำแนะนำของเพื่อนชาวบราซิล ที่ไปค้าแข้งอยู่ก่อนแล้วนั่นเอง และการไปฝรั่งเศษนั้นเขาก็ยังใช้ลูกไม้เดิมๆ ในการพยายามที่จะไม่ลงเล่น และพยายามจะไม่โชว์ฝีเท้าที่แท้จริงให้ใครได้เห็น
ไม่เว้นแม้แต่ในวันเปิดตัว ที่มีแฟนบอลมารอชมยอดนักเตะจากบราซิลอย่างเขา ไกเซอร์ต้องพบกับปัญหาเมื่อบอลที่วางอยู่บนพื้นสนาม ที่รอให้เขามาโชว์สกิลในสไตล์แซมบ้าต่อหน้าแฟนบอล มันได้กลายเป็นเรื่องใหญ่สำหรับเขา หากต้องโชว์ต่อหน้าแฟนบอลเหล่านั้น เขาอาจจะปล่อยไก่ให้แฟนบอลได้เห็นฝีเท้าที่แท้จริงของเขา ซึ่งมันอาจจะทำให้ชีวิตเขาพังได้
แต่เพียงชั่วขณะและแล้วเขาก็คิดวิธีแก้ปัญหานั้นจนได้ เขาเตะลูกบอลพวกนั้นขึ้นไปบนอัฒจรรย์ที่มีแฟนบอลอยู่ พร้อมกับจูบไปที่ตราสโมสร แล้วบอกว่านั่นคือของขวัญสำหรับแฟนๆ กลายเป็นการเอาตัวรอดไปแบบได้ใจแฟนบอลไปซะอย่างนั้น
เช่นเคยเขาอยู่ที่ฝรั่งเศษได้ไม่นาน เพราะเขาเอาแต่อ้างว่าเจ็บอยู่ตลอด และต้องย้ายกลับบราซิลไปในที่สุด แต่ทว่าก่อนกลับนั้นเขาได้โน้มน้าวให้นักข่าวคนสนิท เขียนข่าวว่าเขานั้นเป็นนักเตะระดับสตาร์ของทีมตลอดระยะเวลา 8 ปีที่ค้าแข้งอยู่ที่นั่น อีกทั้งยังเป็นดาวยิงสูงสุด และเป็นขวัญใจแฟนบอลอีกเสียด้วย
เอาตัวรอดจากเจ้าพ่อ
ไกร์เซอร์กลับมาที่บราซิลพร้อมกับโปรไฟล์สุดหรูในฝรั่งเศษ และมันทำให้เขาได้สโมสรใหม่กับทีม บังกู อัตเลติโก้ ที่นี่เขาต้องพบเหตุการณ์ที่เกือบจะเอาตัวมารอด เมื่อเขาต้องเป็นนักเตะในทีมของ คาสตอร์ เด อันดราเด เจ้าของสโมสรที่ไม่ใช่เศรษฐีธรรมดาๆ เพราะเขาผู้นี้คือหนึ่งในหัวหน้าแก๊งค์มาเฟียที่น่ากลัวที่สุดในบราซิล
อุบายเดิมๆ ที่ไกร์เซอร์ใช้มันมาตลอด ที่แกล้งทำเป็นว่ามีอาการบาดเจ็บ เพื่อที่จะไม่ต้องลงแข่ง ที่นี่เขาไม่อาจใช้มันไปได้ตลอด เมื่อเจ้าของทีมนั้นเริ่มที่จะรอคอยเวลา ในการได้ชมฟอร์มยอดกองหน้าคนใหม่ของเขาไม่ไหวอีกต่อไป จึงสั่งให้โค้ชใส่ชื่อเขาไปในทีม เพื่อให้เขาลงแข่งเสียที
ไกร์เซอร์ได้รับโทรศัพท์จากโค้ช และเขาต้องพบว่าตัวเองกำลังจะงานเข้าเสียแล้ว เขาพยายามที่จะปฏิเสธพร้อมกับยืนยันว่าร่างกายของเขายังไม่พร้อม “ผมได้รับบาดเจ็บเป็นเวลาสามเดือน และผมใช้เวลาช่วงกลางคืนในงานปาร์ตี้ ผมจะลงเล่นอย่างไร” ไกเซอร์พยายามหาข้ออ้างในการไม่ลงแข่ง แต่ครั้งนี้เขาไม่อาจขัดคำสั่งเจ้าของทีมได้
โค้ชใส่ชื่อของเขาเป็นตัวสำรอง เพื่อที่อย่างน้อยก็ให้เจ้านายของเขาจะได้ใจชื้นขึ้นมาบ้าง แต่เกมวันนั้นทีมของเขาถูกนำไปก่อน 2-0 และมันก็ทำให้เจ้านายของเขาไม่สบอารมณ์เสียเท่าไหร่ โค้ชของเขาได้รับคำสั่งจากเจ้านายที่ดูเกมอยู่บนอัฒจรรย์ พร้อมกับคำสั่งให้ส่งดาวยิงคนใหม่ของเขาลงสนามเสียที
คำสั่งจากเบื้องบนที่ไม่อาจขัดใจได้ โค้ชสั่งให้ไกเซอร์ไปวอมร่างกายเพื่อเตรียมตัวลงสนาม เขาพบว่าชีวิตเขากำลังจะแย่แน่ๆ หากต้องลงสนามไปพร้อมกับฝีเท้าอันห่วยๆแตกของเขา
ทว่าขณะที่เขากำลังวิ่งวอมอยู่ข้างสนาม เขาต้องพบกับเสียงตะโกนด่าของแฟนบอลฝ่ายตรงข้าม เสียงด่าเหล่านั้นกลับกลายเป็นดั่งพรจากสวรรค์ ให้เขาคิดหนทางในการเอาตัวรอดจากเกมวันนั้นจนได้ ทันใดนั้นเขากระโดดข้ามรั้วแล้วตรงไปที่แฟนบอลพวกนั้น ไกเซอร์พยายามเข้าไปมีเรื่องกับแฟนบอลที่ด่าเขา จนท้ายที่สุดทำให้กรรมการต้องหยุดเกม แล้วให้ใบแดงแก่เขาทั้งที่ยังไม่ได้ลงสนามเสียด้วยซ้ำ ทุกสิ่งเป็นไปตามที่เขาคิด เพียงเท่านี้เขาก็ไม่ต้องลงสนามแล้ว
“เริ่มเกมห้านาทีกูริตีบานำเรา 1-0 และ 2-0 หลังจากนั้นแปดนาทีคาสตอร์ก็สั่งลงไปที่โค้ช แล้วบอกให้เขาส่งผมลงสนาม” ไกเซอร์กล่าว
"ผมกำลังจะตาย เมื่อเริ่มวอมร่างกายตามแนวรั้วของแฟนๆ พวกเขาก็เริ่มตะโกนด่าผมว่า f ***** และ h ***”
"จากนั้นผมก็กระโดดข้ามรั้วไปมีเรื่องกับแฟนทีมตรงข้าม และหลังจากนั้นผมก็ถูกส่งกลับเข้าห้องแต่งตัว"ไกเซอร์เล่าถึงเหตุการณ์วันนั้น
หลังจากจบเกมเจ้านายของเขาเข้ามาที่ห้องแต่งตัว แล้วถามว่าเขาทำอะไรบ้าๆ พวกนั้นไปทำไม แต่ทว่าไกเซอร์นั้นฉลาดที่จะตอบคำถามนั้น และมันทำให้เขาเอาตัวรอดไปอีกจนได้
"คาสตอร์เข้ามาในห้องแต่งตัว เมื่อเขาเข้ามาหาผม ผมจึงพูดว่า 'พระเจ้าได้แย่งชิงทั้งพ่อและแม่ของผมไป พ่อของผมถูกกล่าวหาว่าเป็นพวกขี้โกง ผมจึงโมโหและเข้าไปหาพวกเขา”
“แต่คุณไม่ต้องกังวลเพราะสัญญาของผมจะจบภายในหนึ่งสัปดาห์ และผมจะออกจากทีมไป”
เขาพยายามพูดแสดงการยอมรับในความผิด และขอรับผิดชอบต่อเรื่องที่เกิดขึ้น ทว่าคำแก้ตัวของเขานั้นกลับกลายไปทำให้เป็นที่เห็นใจของเจ้านายของเขา และได้ต่อสัญญาออกไปอีกซะอย่างนั้น
“จากนั้นเขาก็โทรหาโค้ชของผมและพูดว่า 'สัญญาของไกเซอร์จะขยายออกไปอีก 6 เดือน' " ไกเซอร์กล่าว
ไม่ใช่ตัวจริง ก็ต้องจากไป
ไกเซอร์ใช้ชีวิตด้วยการหลอกลวงแบบนี้อยู่เลื่อยมา ถึงเขาจะย้ายไปหลายต่อหลายสโมสร แต่ก็ใช่ว่าเรื่องโกหกทั้งปวงที่เขากุขึ้นมานั้นจะไม่เคยถูกจับได้ ครั้งหนึ่งเขาเคยโป๊ะแตกเมื่อทำทีว่ากำลังคุยกับทีมต่างประเทศที่ติดต่อเขามา ทว่าภาษาอังกฤษที่เขาพูดนั้นดันมั่ว และเขาไม่คิดว่าจะมีใครฟังออก ทว่าเขาไม่ทราบว่าแพทย์ในทีมนั้นเก่งภาษาอังกฤษ จึงทำให้เขาถูกจับได้ในครั้งนั้น
เหตุที่เขาสามารถทำเรื่องเหล่านั้นได้นานสองนาน ก็เพราะว่าช่วงเวลาที่เขาค้าแข้งอยู่นั้นเป็นช่วงยุค 80 ที่ยังไม่ได้มีเทคโนโลยีที่ทันสมัยพอที่จะตรวจได้ว่าเขาเจ็บจริงหรือไม่ และข่าวสารในยุคสมัยนั้นก็ยังไม่ได้ติดต่อกันง่ายอย่างในสมันนี้ เขาอาจจะมีเพียงเอกสารที่ยืนยันว่าเขาเคยเป็นนักฟุตบอลของทีมโน้นทีมนี้ อีกทั้งยังมีข่าวที่เขียนถึงเรื่องราวของเขา เท่านั้นก็เพียงพอที่จะเป็นโปรไฟล์ ให้เขาสามารถย้ายไปหลายๆ ทีมได้
แต่จนแล้วจนรอดการไม่ใช่ตัวจริง ก็ทำให้เขานั้นไม่สามารถอยู่ในเส้นทางฟุตบอลได้นาน เขาอาจจะได้ลงสนามอยู่บ้างกับบางทีม แต่ฝีเท้าที่แท้จริงของเขามันไม่ถึงครึ่งฝีปากที่เขาเที่ยวพูดโอ้อวดให้ใครต่อใครฟัง ท้ายที่สุดเขาต้องเลิกเล่นฟุตบอล (หรือเลิกเล่นละคร) ในวัยเพียง 26 ปี
และในปัจจุบันไกเซอร์ในวัย 57 ปี เขาทำงานเป็นโค้ชในฟิตเนสให้กับลูกค้าสาวๆ ที่มาเรียนกับเขา ซึ่งก็เหมาะกับเขาไม่น้อย ที่เมื่อช่วงเวลาที่เป็นนักฟุตบอล เขาได้แต่แยกซ้อมกับโค้ชฟิตเนสอยู่เสมอ
ไกเซอร์อาจจะถูกมองว่าเป็นจอมลวงโลก เป็นนักต้มตุ๋น หรืออะไรก็ตามแต่ ทว่าสิ่งที่เขาทำนั้นก็มีอีกมุมหนึ่ง ที่เขาสร้างสิ่งดีๆ สร้างความสุขให้กับคนรอบตัวของเขา
“เขามักสร้างความสนุกสนาน สร้างความสุขให้กับทีม เขามักจะเล่าเรื่องและทำให้นักเตะในทีมเรามีฝัน ผมคิดว่านั่นเป็นเหตุผลที่ทุกคนชอบเขามากๆ” อเล็กซานเดอร์ ตอร์เรส อดีตเพื่อนร่วมทีมของเขาเล่าถึงสิ่งที่ไกเซอร์ทำ และมันเป็นประโยชน์ต่อเพื่อนร่วมทีมของเขา
และนี่คือเรื่องราวทั้งหมดของ คาร์ลอส ไกเซอร์ หากถูกใจโปรดกดไลค์ กดแชร์ กดติดตามยิงตรง เพื่อเป็นกำลังใจให้เราด้วยนะครับ
Writer : ฐกฤต กล่ำพันธ์ดี
#ฟุตบอล
โฆษณา