อย่างไรก็ตาม ตามพระราชบัญญัติโบราณสถาน โบราณวัตถุฯ โบราณสถานไม่ว่าจะได้รับการประกาศขึ้นทะเบียนหรือไม่ก็ตาม กฎหมายล้วนให้ความคุ้มครองทั้งสิ้น โดยในมาตรา ๓๒ วรรคแรก บัญญัติว่า “ผู้ใดบุกรุกโบราณสถาน หรือทำให้เสียหาย ทำลาย ทำให้เสื่อมค่า หรือทำให้ไร้ประโยชน์ซึ่งโบราณสถาน ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินเจ็ดปี หรือปรับไม่เกินเจ็ดแสนบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ” และในมาตรา ๓๒ วรรคสอง บัญญัติว่า “ถ้าการกระทำความผิดตามวรรคหนึ่งเป็นการกระทำต่อโบราณสถานที่ได้ขึ้นทะเบียนแล้ว ผู้กระทำต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินสิบปี หรือปรับไม่เกินหนึ่งล้านบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ”
โดยสรุปเรื่องโบราณสถานนั้น ตามกฎหมายไม่ว่าอาคารนั้นจะเป็นของรัฐหรือเอกชน ผู้คนโดยมากหรือแม้กระทั่งผู้ใช้กฎหมายก็ยังมีความเข้าใจที่คลาดเคลื่อนเกี่ยวกับโบราณสถานว่า ต้องได้รับการประกาศขึ้นทะเบียนจึงจะถือว่าเป็นโบราณสถานที่ได้รับการคุ้มครอง ซึ่งเป็นความเข้าใจที่ผิด การรื้อทำลายแม้เพียงวันเดียวก็สามารถทำลายสิ่งที่สั่งสมมาเป็นร้อยปีได้ในพริบตา
ข้อห่วงใย
แม้ในเรื่องนี้ผู้ที่เกี่ยวข้องจะออกมายืนยันว่าจะก่อสร้างและซ่อมแซมอาคารบอมเบย์ เบอร์มาให้มีสภาพสมบูรณ์สวยงามดังเดิม แต่ตามหลักวิชาการที่ได้ศึกษามาจากผู้ที่ประกอบวิชาชีพสถาปนิกแล้ว ต่างพูดเป็นเสียงเดียวกันว่า การที่เราจะรื้อถอนอาคารหรือปรับปรุงโครงสร้างอะไรสักอย่าง เราจะประกอบเข้ากันเหมือนเดิมได้ต้องมีการทำเครื่องหมาย หรือบอกว่าชิ้นส่วนที่รื้อออกมานั้นอยู่ตรงส่วนไหนของอาคาร และที่สำคัญที่สุดอาคารบอมเบย์ เบอร์มาหลังที่ถูกรื้อถอนนี้ เป็นสถาปัตยกรรมที่ทรงคุณค่า การก่อสร้างใช้ช่างฝีมือในอดีตที่ผสมผสานระหว่างฝีมือช่างพื้นบ้านกับช่างจากตะวันตก เราจึงเรียกอาคารนี้ที่ได้ยินเสมอว่า “อาคารลักษณะอาณานิคม” คือการผสมผสานระหว่างตะวันตกและช่างพื้นบ้านของเรา จุดเด่นของการสร้างอาคารลักษณะนี้ คือการเข้ารอยต่อระหว่างหัวเสา ที่เรียกว่าการเข้าแบบ “หัวเทียน” คือการต่อไม้แบบให้เข้าล็อคยึดด้วยตัวเอง ไม่มีตะปูตอก และหาดูได้ยาก สำหรับเทคนิคการเข้าเสาแบบหัวเทียนที่ว่า ในปัจจุบันไม่ค่อยมีให้เห็น อีกทั้งอาคารดังกล่าวเป็นการก่อสร้างแบบผสมผสานระหว่างตะวันตกที่มีอากาศค่อนข้างเย็น และตะวันออกบ้านเมืองเราที่มีอากาศร้อน จึงทำให้เห็นการก่อสร้างอาคารที่มีระเบียงสวยงามและช่องลมที่แปลกตา เพราะฉะนั้นจึงมีความห่วงใยว่าจะสามารถประกอบให้เหมือนเดิมได้จริงหรือไม่ และถึงแม้ว่าจะสร้างใหม่ให้ดีเหมือนเดิมได้ แต่เชื่อว่าความรู้สึกของประชาชนก็คงเรียกคืนกลับมาไม่ได้ โบราณสถานเหล่านี้สร้างมา ๑๐๐ กว่าปี ถ้าสร้างตอนนี้ต้องรอเวลาอีกกี่ร้อยปีถึงจะกลับมามีคุณค่าได้เหมือนเดิม นอกจากนี้ดังที่ได้กล่าวมาแล้วข้างต้น เมื่อพิจารณาจากบทบัญญัติของกฎหมาย จะเห็นได้ว่าสิ่งที่กระทำลงไปเกิดเป็นความผิดสำเร็จขึ้นมาแล้ว จะมีหน่วยงานใดหรือบุคคลใดออกมารับผิดชอบต่อการกระทำดังกล่าว
ในอดีตที่ผ่านมา การรื้อถอนโบราณสถานแบบรู้เท่าไม่ถึงการแบบนี้ก็เช่น ที่วัดกัลยาณมิตรวรมหาวิหาร ตั้งอยู่ริมแม่น้ำเจ้าพระยา ฝั่งธนบุรี บริเวณปากคลองบางกอกใหญ่ฝั่งใต้ โดยมีการรื้อถอน ปลูกสร้างและบูรณะโดยไม่ได้รับอนุญาตไปถึง ๒๒ รายการ อาทิ หอระฆัง, อาคารเสวิกุล, ศาลาทรงปั้นหยา, หอกลอง, หอสวดมนต์กัลยาณาลัย, ศาลาปากสระ, กุฏิเก่าคณะ 7, ก่อสร้างอาคาร คสล.3 ชั้นทางทิศใต้ของวัด, บูรณะพระอุโบสถวัดกัลยาณมิตร, หอพระธรรมมณเฑียรเฉลิมพระเกียรติ, วิหารหลวงพ่อพระพุทธไตรรัตนนายก(วิหารหลวง), พระวิหารน้อย, รื้อราวระเบียงหิน พื้นหิน ตุ๊กตาหินอับเฉา และจัดสร้างหลังคาโครงเหล็ก
ด้านหน้าพระวิหาร, รื้อกุฏิสงฆ์คณะ 4, ถมสระน้ำภายในกุฏิสงฆ์คณะ 2, ถมสระน้ำภายในกุฏิสงฆ์คณะ 4, รื้อกุฏิพระโบราณ เป็นต้น ปัจจุบันอยู่ระหว่างการพิจารณาดำเนินคดีในชั้นศาล