23 มิ.ย. 2020 เวลา 08:15 • ธุรกิจ
อย่ารีบร้อนลงทุนหากยังไม่มี 'Cash Flow'
กระแสเงินสด (Cash Flow) กล่าวให้เข้าใจอย่างง่ายก็คือยอดเงินคงเหลือของเราเอง เมื่อนำรายได้มาหักลบกับรายจ่ายแล้วครับ
เช่น เมื่อถึงสิ้นเดือนหากนำรายได้มาหักลบกับรายจ่ายทั้งหมดแล้วยังมีเงินเหลือเราจะเรียกว่า 'กระแสเงินสดเป็นบวก' แต่ถ้าติดลบจะเรียกว่า 'กระแสเงินสดติดลบ'
ก่อนที่เราจะออมเงิน หรือลงทุนก็ตามสิ่งที่สำคัญมากคือการมี 'กระแสเงินสดเป็นบวก' ครับ เหตุผลก็คือเพื่อเป็นการป้องกันความเสี่ยงเมื่อเกิดรายจ่ายแบบไม่คาดฝันนั่นเอง
ยกตัวอย่างเช่น ถ้าวันนี้เราตั้งใจจะออมเงินในหุ้นรายตัวเป็นประจำทุกเดือน เดือนละ 5,000 บาท เราจะเอาเงินจากไหนมาลงทุนครับ?
หากเราเป็นคนที่จัดการรายรับ-รายจ่ายได้ดี ทำให้กระแสเงินสดเป็นบวกได้ทุกเดือนเราก็สามารถนำเงินส่วนที่เหลือตรงนี้ไปใช้ลงทุนได้เลย
แต่ในทางกลับกันหากกระแสเงินสดเราติดลบ แต่เราดึงดันที่จะรีบลงทุนเลย เมื่อเราเริ่มนำเงินมาลงทุนโดยรบกวนเงินค่าใช้จ่ายในปัจจุบัน จุดจบของเราอาจไปตกอยู่ที่การสร้างหนี้ครับ
ยิ่งกว่านั้น หากลองคิดถึงเหตุการณ์ที่ไม่คาดฝัน เช่นหากเราเกิดเจ็บป่วยครั้งใหญ่ หรือคนในครอบครัวมีเรื่องเดือดร้อนต้องใช้เงิน
ในขณะที่เราเพิ่งเก็บออมเงินได้จำนวนหนึ่ง เราก็อาจจะต้องนำเงินที่ใช้ออมหรือลงทุนอยู่ออกมาใช้ ซึ่งจะทำให้แผนการณ์ของเราเสียไป และทำให้ไปไม่ถึงเป้าหมายในที่สุด
นอกจากกระแสเงินสดที่เป็นบวกแล้ว ถ้าจะให้ดีเราควรมีเงินที่เป็นถังสำรองไปเลยครับ อาจเป็นเงินสักก้อนหนึ่งที่เก็บไว้เฉยๆ ไม่ต้องนำไปลงทุนอะไรเพื่อให้มีสภาพคล่องสูงสุด
หากเกิดเหตุการณ์ไม่คาดฝัน หรือขาดกระแสเงินสดชั่วคราว เงินตรงนี้ก็จะสามารถช่วยแบ่งเบาภาระเราได้โดยที่ไม่ต้องไปกู้หนี้ยืมสินนั่นเอง
ช่วงนี้กระแสนักลงทุนหุ้นร้อนแรงพอสมควร ทำให้ผมเห็นการตั้งคำถามประเภท "กู้มาลงทุนดีไหม?" หรือ "ขายทรัพย์สินมาลงทุนดีไหม?" อยู่มาก
ถ้าถามผมผมว่า "อย่าทำแบบนั้นเลยครับ" นักลงทุนในหุ้นที่เจ๊งส่วนใหญ่มักเกิดจากการกระทำที่มาจาก ความโลภ และความกลัว กันทั้งนั้น
การเริ่มสนใจการลงทุนแล้วถือเป็นเรื่องที่ดีครับ แต่เราควรเริ่มจากการศึกษาพื้นฐาน รวมถึงการป้องกันความเสี่ยงจนเข้าใจ แล้วถึงเข้าลงทุนอย่างมีสติจึงจะเหมาะสมที่สุดครับ ด้วยความห่วงใย
#พ่อบ้านลงทุน
References
➡️ หนังสือ Money 101

ดูเพิ่มเติมในซีรีส์

โฆษณา