"มันขึ้นอยู่กับรูปแบบและราคา แต่การพูดคุยอย่างกว้างขวางเช่นนี้ก็เปรียบเสมือนสัญญาณไฟเขียวที่ธนาคารกลางจะเข้าควบคุมเศรษฐกิจด้วยการทำ QE Trade หรือก็คือการซื้อทุกอย่างโดยไม่คำนึงถึงมูลค่าของมัน"
(1.) ตั้งแต่เริ่มเกิดการระบาดขึ้น ค่า V หรือความเร็วในการเปลี่ยนมือของเงินนั้นทรุดตัวลงอยางรุนแรง กล่าวคือเมื่อคนได้เงินมา พวกเขาก็เลือกที่จะเก็บมากกว่าใช้จ่ายนั่นเอง
(2.) เมื่อค่า V ลดลงอย่างรุนแรง รัฐบาลจึงจำเป็นต้องเพิ่มจำนวนเงินหรือ M เข้ามาในระบบเป็นจำนวนมากผ่านมาตรการ Q.E. เพื่อรักษา P และ Q ให้คงเดิม
(3.) นั่นหมายความว่าการเพิ่ม M ตอนที่ V ลด คือวิธีแก้ไขปัญหาของรัฐบาล
(4.) เมื่อเปรียบเทียบค่า V ของพันธบัตรระยะสั้นและพันธบัตรระยะยาวแล้วนั้น แน่นอนว่าพันธบัตรระยะสั้นมีค่า V สูงกว่า เนื่องจากการครบกำหนดชำระเร็วกว่า ก็หมายถึงเงินจะสามารถเปลี่ยนมือได้ไวกว่า ซึ่งทำให้เกิดสภาพคล่องในตลาดมากกว่า
(6.) แต่ปัญหาใหญ่ในตอนนี้ก็คือ เมื่อรัฐบาลเพิ่ม M เข้ามาในระบบแล้ว กลับกลายเป็นว่า V ไม่ยอมเพิ่มขึ้นตาม เพราะผู้คนไม่ยอมจ่ายเงิน แต่นำเงินไปฝากธนาคารแทน และนั่นทำให้ค่า V ยิ่งลดลงไปอีก
(7.) เมื่อเป็นเช่นนี้แล้ว ไม่มีทางเป็นไปได้เลยที่รัฐบาลจะสามารถผ่อนคลายมาตรการ Q.E. และถอนเงินที่พิมพ์มาอุดตลาดออกไป เพราะจะยิ่งทำให้ราคาสินค้า (P) และปริมาณการผลิต (Q) ลดลงไปอีก (M และ V ลดลงทำให้ P และ Q ไม่อาจคงเดิมได้)
(8.) คิดภาพต่อไปอีกนิดว่า หากค่า V เริ่มฟื้นตัวกลับมาเมื่อไหร่ รัฐบาลและ FED จะต้องรีบถอนเงินออกจากตลาดโดยเร็วที่สุด ไม่อย่างนั้นค่า M ที่เพิ่มขึ้นอย่างมหาศาลนี้ จะทำให้มูลค่าของสกุลเงินลดลงอย่างรุนแรง
Gita Gopinath หัวหน้านักเศรษฐศาสตร์ของ IMF ได้อัพเดทบันทึกของเขาเมื่อสัปดาห์ที่แล้ว ซึ่งมีใจความสำคัญว่า
"ทั้งประเทศที่พัฒนาแล้ว และประเทศตลาดเกิดใหม่จะต้องพบเจอกับภาวะเศรษฐกิจถดถอยในปีนี้ และจะเป็นครั้งแรกที่ทั้งคู่ประสบปัญหาเศรษฐกิจอย่างรุนแรงที่สุดพร้อมกัน นับตั้งแต่ The Great Depression เมื่อช่วงปี 1930"