23 มิ.ย. 2020 เวลา 14:38
ว่าความครั้งแรก โดย รถชนกัน
pixabay.com
ประมาณยี่สิบปีก่อน ช่วงที่เริ่มเป็นทนายความใหม่ ๆ เป็นช่วงเวลาหลังจากประเทศไทยเจอวิกฤตต้มยำกุ้ง (วิกฤตเศรษฐกิจครั้งใหญ่เมื่อปี 2540 สถาบันการเงินล้มกันระนาว)
ตอนนั้นเพิ่งเรียนจบมาใหม่ ๆ พอได้ตั๋วทนายปั๊บ(ใบอนุญาตว่าความ) ผมก็ได้เข้าไปทำงานเป็นทนายความของบริษัทกฎหมายแห่งหนึ่ง
คดีที่ว่าความส่วนมากในช่วงนั้นคือคดีจากบริษัทฝรั่งที่ซื้อหนี้เสียมาจากไฟแนนซ์ที่ล้ม แล้วถูกบังคับขายหนี้ให้ต่างชาติ
ลูกหนี้ของบริษัทพวกนี้มีอยู่ทั่วประเทศ ผมเลยมีโอกาสเดินทางไปต่างจังหวัดบ่อยมาก ส่วนใหญ่ก็เดินทางโดยเครื่องบิน เว้นแต่จังหวัดที่ไม่มีสนามบิน หรือจองตั๋วเครื่องบินไม่ทัน ก็นั่งรถไฟ หรือรถทัวร์แล้วแต่สะดวก
คดีพวกนี้ส่วนมากฟ้องไปลูกหนี้ก็ไม่มาศาลครับ เพราะบาดเจ็บจากพิษเศรษฐกิจช่วงนั้น ไม่มีเงินจ่าย ทรัพย์สินก็ไม่เหลือแล้ว ประกอบกับความท้อแท้ ก็ไม่รู้จะไปศาลทำไม
ช่วงแรก ๆ ก็เตรียมถามคำถามไปอย่างดี แต่เมื่อจำเลยไม่มาศาล ก็จะเป็นการพิจารณาคดีฝ่ายเดียว ศาลก็ให้ส่งเอกสารแทนการสืบพยาน เลยไม่ได้ออกเสต็ปว่าความกับเค้าซักที
ผ่านไปเป็นปีก็เป็นแบบนี้ หลัง ๆ ชักจะย่ามใจ ไม่ค่อยซักซ้อมเตรียมว่าความเท่าไหร่ เตรียมแค่เอกสารให้พร้อมก็พอ
ทีนี้มีคดีนึง บินไปฟ้องที่ศาลจังหวัดเชียงใหม่ จากนั้นศาลก็นัดพิจารณาอีกสองเดือนให้หลัง
แต่เกิดแอ็คซิเดนท์อะไรไม่รู้ จองตั๋วเครื่องบินไม่ได้ เลยต้องไปรถไฟแทน
เดินทางคืนก่อนวันนัด ไปพร้อมกับพยานที่เป็นผู้รับมอบอำนาจ กำหนดการในตั๋วบอกจะไปถึงเจ็ดโมงเช้า ศาลนัดเก้าโมง เวลาเหลือ ๆ
นอนหลับสบายเลยครับ ตื่นเช้ามามีพนักงานมาเก็บเตียง แล้วปรับให้เป็นที่นั่ง เหลือบดูนาฬิกาเจ็ดโมงกว่าแล้ว
ด้วยความที่สมัยนั้นรถไฟไทยมีชื่อเสียงด้านความตรงต่อเวลาอยู่บ้าง ผมก็คิดว่าอาจจะช้าไปหน่อย แต่คงใกล้ถึงแล้ว
ที่ไหนได้ รถไฟเสียอยู่แถวถ้ำขุนตาน
สอบถามพนักงานรถไฟได้ความว่า รถเสียไม่มาก กำลังซ่อมกันอยู่ น่าจะเลทไปสองสามชั่วโมง
พอล้างหน้าแปรงฟัน เปลี่ยนเสื้อผ้าเสร็จ ก็นั่งรอด้วยใจตุ๊ม ๆ ต่อม ๆ กลัวจะไปศาลไม่ทันนัด
ในใจก็คิดไปต่าง ๆ นานา เพราะถ้าไปไม่ทัน ถือว่าโจทก์ขาดนัดพิจารณา ศาลอาจมีคำสั่งจำหน่ายคดี (หมายความว่า พอไม่ไปศาลก็สั่งโละคดีนี้ทิ้งไป) ฟ้องใหม่ได้ แต่ค่าขึ้นศาลที่จ่ายไปแล้วเก็บเข้าหลวง
ค่าขึ้นศาลไม่มากมายครับ สองแสนบาทถ้วน
เมื่อเปรียบเทียบเงินในบัญชีอันน้อยนิดแล้ว ก็ได้แต่นั่งกลุ้มใจต่อครับ
พอเก้าโมง รถไฟก็ซ่อมเสร็จ เป็นเวลาเดียวกันกับที่ผมหยิบเจ้าโนเกีย 3310 ขึ้นมาโทรหาเจ้าหน้าที่หน้าบัลลังก์ศาล แจ้งเหตุขัดข้องที่เกิดขึ้น
เจ้าหน้าที่บอก เดี๋ยวจะเรียนท่านผู้พิพากษาให้
สิบโมงครึ่ง พนักงานรถไฟบอกใกล้จะถึงแล้ว ลุ้นทุกนาทีครับ
พอถึงสถานีรีบวิ่งกระหืดกระหอบมองหารถรับจ้าง เหมาไปศาลทันที
ไปถึงศาลสิบเอ็ดโมงนิด ๆ ผมกับพยานรีบวิ่งไปที่บัลลังก์ พบท่านผู้พิพากษาเป็นผู้หญิงอยู่บนบัลลังก์
ผมรีบสวมชุดครุยในขณะที่พูดขอโทษท่านไม่หยุดปาก กลัวท่านตำหนิ กลัวท่านจดรายงานกระบวนพิจารณาและมีคำสั่งไปแล้ว ด้วยความเป็นมือใหม่ ก็กลัวไปสารพัดที่นึกออกล่ะครับ
แต่ท่านกลับพูดว่า
“ทนายใจเย็น ๆ คดีมันเยอะ ศาลก็พิจารณาไปเรื่อย ๆ ไม่ได้เดือดร้อนอะไร อย่างว่าแหละนะ รถไฟไทยก็มีช้ากันบ้าง เอ้ามาแล้วก็ดูเอกสารเตรียมให้พร้อม จำเลยเค้าแต่งทนายมาสู้คดี ยื่นคำให้การมาแล้ว ทนายค่อย ๆ ดู พร้อมสืบพยานเมื่อไหร่ก็บอกศาล”
พอได้ยินคำพูดอย่างนี้ ในใจตอนนั้นคิดหลายอย่างครับ
ทั้งดีใจที่เจอผู้พิพากษาใจดี รู้สึกขอบคุณท่านที่มีเมตตากับทนายใหม่ ๆ อย่างผม ทั้งกังวลเรื่องการสืบพยาน สารพัด
พยายามสูดลมหายใจลึก ๆ ระงับความกังวล ความตื่นเต้น แล้วหันไปจัดเตรียมเอกสาร ดูคำให้การ แล้วพูดคุยกับพยานอีกเล็กน้อย
หลังจากนั้นประมาณสิบนาทีก็แจ้งท่าน
“ผมพร้อมแล้วครับ”
“เอ้า! พร้อมแล้วก็ให้พยานเข้าคอกพยานแล้วสาบานตัว”
อารมณ์ตอนนั้นมันตื่นเต้นมาก คนที่อยู่ในบัลลังก์ประมาณสิบกว่าคน ทั้งคู่ความและทนายความในคดีอื่น
ทำไมเราตื่นเต้นจังวะ?
คุณผู้อ่านหลายคนคงสงสัยว่า เป็นทนายความมาแล้วเป็นปี คนในบัลลังก์ก็มีอยู่ไม่กี่คน ทำไมตื่นเต้นมากจัง
ผมก็ไม่รู้เหมือนกันว่าทำไม คงเป็นอารมณ์มือใหม่ ตื่นเวที เหมือนเวลาไปงานเลี้ยงแล้วโดนเชิญขึ้นไปร้องเพลงต่อหน้าคนเยอะ ๆ อย่างนั้นแหละครับ
พอพยานสาบานตัวเสร็จปั๊บ ศาลก็สอบถามชื่อที่อยู่ อายุ อาชีพ ฯลฯ แล้วก็ถึงคิวผม
“เชิญทนายโจทก์”
“ขะ ขะ ครับ” เฮ้ย! ติดอ่างขึ้นมาซะงั้น
มือถือโพยคำถามที่เตรียมมาด้วยความสั่นเทา แล้วเดินไปที่คอกพยาน
“พยานเกี่ยวข้องยังไงในคดีนี้ครับ” เสียงผมสั่นไม่พอ มือที่ถือโพยดันสั่นตามไปด้วย ท่ามกลางสายตาของทนายความรุ่นพี่ที่เป็นทนายความในคดีอื่น และคู่ความที่อยู่ในบัลลังก์
ผมมองไปทางท่านผู้พิพากษา เห็นรอยยิ้มเล็กน้อย
ไม่เว้นแม้แต่เจ้าหน้าที่สาวหน้าบัลลังก์ ที่แอบอมยิ้ม
คำถามถัดมาอาการก็ยังไม่ดีขึ้น ผมทั้งโมโหตัวเอง ทั้งอายคนอื่นที่อยู่ในบัลลังก์ มือก็ยังสั่นไม่ยอมหยุด
ผมเลยเอาทั้งสองมือไปจับคอกพยานไว้ ในใจคิด “ถามมันอย่างงี้ล่ะวะ”
ท่าทางที่ปรากฏต่อสายตาคนอื่นคงแปลก ๆ หน่อย
แต่ได้ผลครับ มือไม่สั่นแล้วครับ แต่คอกพยานสั่น! 555
พอผ่านไปซักห้าคำถาม อาการก็เริ่มเบาลง เหมือนสมาธิมันโฟกัสอยู่กับการถามและการตอบของพยาน
แล้วก็ถามจบจนได้
พอกลับมานั่งที่โต๊ะ ทนายจำเลยลุกขึ้นถามคำถามค้านอีกสองสามคำถาม
ผมก็ลุกขึ้นถามคำถามติง และแถลงหมดพยาน
ทนายจำเลยแถลงไม่สืบพยาน
ระหว่างที่รอผู้พิพากษาจดรายงานกระบวนพิจารณา ผมก็ทบทวนดูคำถามและเอกสารว่าถามไปครบถ้วนหรือยัง
เฮ้ย! ลืมถามเรื่องประกาศกระทรวงการคลัง
ตายละวา เอาไงดี
เหลือบไปมองผูพิพากษา เอาวะ
ผมยกมือขึ้น ท่านผู้พิพากษามองมาแบบแปลกใจ
“คุณทนาย มีอะไร?”
“ท่านครับ คือท่านจะว่าอะไรมั้ย ถ้าผมจะขอถามเพิ่มอีกหน่อย พอดีลืมครับ”
ท่านอมยิ้ม
“มา จะถามอะไรเพิ่มก็เอา ถือว่ามือใหม่ ทนายจำเลยคงไม่คัดค้านอะไรนะ ทนายด้วยกัน”
“ไม่ค้านครับ”
ผมก็ให้พยานเข้าคอกพยาน และถามอีกสองคำถาม ส่งเอกสารเพิ่มอีกสองฉบับ เป็นอันเสร็จพิธี
พอผู้พิพากษาจดรายงานกระบวนพิจารณาเสร็จ ผมและคนอื่น ๆ ก็ยืนขึ้นเพื่อฟังรายงานก่อนลงชื่อ
ท่านอ่านรายงานจบปั๊บ ก็ส่งรายงานให้ผมลงชื่อ พร้อมกับสัพยอกว่า
“ลืมอะไรอีกรึเปล่าทนายโจทก์ จะได้จัดการให้เสร็จ ๆ ไป เดี๋ยวศาลจะไปทานข้าวแล้ว”
“ไม่กล้ามีแล้วครับท่าน ให้ท่านไปทานข้าวดีกว่า เดี๋ยวท่านเป็นโรคกระเพาะ ขอบคุณท่านมากครับ” ผมยิ้มแก้เก้อ
หลังจากนั้นผมหันไปไหว้ขอบคุณทนายจำเลยที่น่าจะเป็นทนายรุ่นพี่ผมหลายปี
เวลาผ่านไปหลายปี หลังจากคดีนั้นก็ได้ว่าความมาอีกหลายร้อยคดี จนลืมความรู้สึกตื่นเต้นแบบนั้นไปแล้ว
แต่พอนึกมองย้อนกลับไปก็อดอมยิ้มกับความเปิ่นของตัวเองไม่ได้
เคยแต่เล่าเรื่องหนัก ๆ ถือว่าพักเล่าเรื่องสบาย ๆ ซักโพสต์นะครับ
ไว้ตอนต่อไปจะเล่าเรื่องเจอทนายรุ่นคุณปู่ขู่ซะฝ่อเลยครับ
ขอให้ทุกคนโชคดีไม่มีเรื่องครับ❤️
ฝากกดไลค์ กดแชร์ กดติดตามเป็นกำลังใจให้กันด้วยนะครับ👍👍👍
มุมน่ารู้ ไว้เล่าให้เพื่อนฟัง
- ฝ่ายที่เริ่มต้นฟ้องคดี เราจะเรียกว่าฝ่ายโจทก์ ฝ่ายที่ถูกฟ้องจะเรียกว่าฝ่ายจำเลย
- จริง ๆ การดำเนินกระบวนพิจารณาในบัลลังก์ อย่างเช่น การแถลงต่อศาล หรือการส่งเอกสารแทนการสืบพยาน ก็ถือเป็นการว่าความนะครับ แต่ที่เล่าให้ฟังในโพสต์นี้ผมหมายถึงการได้สืบพยานโดยการถามพยานครับ
- การว่าความโดยการสืบพยาน จะเริ่มต้นจากการให้ทนายฝั่งที่นำพยานเข้าสืบถามคำถามก่อน แล้วให้อีกฝ่ายถามคำถามค้าน แล้วให้ทนายฝั่งที่นำพยานเข้าสืบถามคำถามติง เป็นอันจบกระบวนการถามพยานปากนั้น ๆ
#รถชนกัน #ว่าความ
โฆษณา