25 มิ.ย. 2020 เวลา 12:30 • ธุรกิจ
DENTISTE' ยาสีฟันแบรนด์อินเตอร์ จากคนไทย
เวลาเราดูแผงยาสีฟันตามซูเปอร์มาร์เก็ต
ถ้าไม่มีแบรนด์ และสูตรยาสีฟันชื่นชอบ
เราก็คงรู้สึกว่าแต่ละแบรนด์ แต่ละสูตร ก็แทบไม่ต่างกันเท่าไร
และนี่คือภาพรวมการแข่งขันในธุรกิจยาสีฟัน
ที่แต่ละแบรนด์จะสร้างความแตกต่างจากคู่แข่งได้ยาก
อย่างไรก็ตาม มีอยู่แบรนด์หนี่ง ที่มีภาพลักษณ์โดดเด่นสุดๆ ในด้านหนึ่ง
ก็คือ DENTISTE' ยาสีฟันสำหรับก่อนนอน
ที่ใช้การตลาดสื่อว่า เมื่อใช้แล้ว จะไร้กลิ่นปากเมื่อตอนตื่นนอน
และพูดกับคนข้างๆ ได้อย่างมั่นใจ แม้ยังไม่ได้ลุกไปแปรงฟัน..
DENTISTE' เป็นแบรนด์ผลิตภัณฑ์ดูแลช่องปากระดับพรีเมียมของคนไทย
โดยผู้ให้กำเนิดคือ ดร.แสงสุข พิทยานุกุล
1
ซึ่งหลายคนอาจคิดและรู้สึกว่า DENTISTE' น่าจะเป็นแบรนด์นอก
เพราะภาพลักษณ์ บรรจุภัณฑ์ และราคาที่ค่อนข้างอินเตอร์
นอกจากนี้ ก่อนจะมาทำยาสีฟัน DENTISTE' ดร.แสงสุข ได้สร้างแบรนด์ Smooth E มาก่อน
หรือก็คือ DENTISTE' และ Smooth E มีผู้ให้กำเนิดและเจ้าของเดียวกันนั่นเอง
บริษัท สยามเฮลท์ กรุ๊ป จำกัด
ผู้ผลิตและจัดจำหน่ายผลิตภัณฑ์ดูแลช่องปาก DENTISTE' และผลิตภัณฑ์ดูแลผิว Smooth E
ปี 2560 มีรายได้ 2,600 ล้านบาท กำไร 118 ล้านบาท
ปี 2561 มีรายได้ 2,377 ล้านบาท กำไร 118 ล้านบาท
ดร.แสงสุข เกิดในครอบครัวชาวจีน ที่ทำธุรกิจนำเข้าและส่งออกยาสมุนไพรจีน
ด้วยความคลุกคลีกับวงการยามาตั้งแต่เด็กๆ
เขาเลยตัดสินใจเลือกเรียนที่คณะเภสัชศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่
เมื่อเรียนจบ ดร.แสงสุข ก็เริ่มทำงานเป็นเซลล์ขายยารักษาโรคในภาคตะวันออกและภาคอีสาน
และหลังจากนั้น เขาก็ไปเรียนต่อที่สหรัฐฯ ก่อนจะกลับไทย มาทำงานที่บริษัทยาข้ามชาติสักพักใหญ่ๆ
ในปี พ.ศ. 2532 ดร.แสงสุข ตัดสินใจลาออกจากบริษัทยา ทิ้งเงินเดือน 50,000 บาท
เพื่อไปเปิดร้านขายยาของตัวเอง ในย่านศูนย์การค้าสยาม บนพื้นที่ขนาดเพียง 6 ตารางเมตร
โดยตั้งเป้าจับลูกค้ากลุ่มชาวต่างชาติ ซึ่งมีศักยภาพในการจ่ายค่าบริการสูงๆ
ธุรกิจร้านขายยาของเขาไปได้สวย และมีรายได้ค่อนข้างดี
ซึ่งสมัยนั้น ร้านของเขาสร้างรายได้ประมาณ 200,000 บาท/เดือน
อย่างไรก็ตาม ต่อมาเขาก็ถูกทางห้างขอพื้นที่เช่าคืน
ซึ่งตอนนั้น ดร.แสงสุข รู้สึกเครียด และกังวลอย่างมาก
เพราะนอกจากต้องเสียธุรกิจแรกไปแล้ว ยังมีภาระทางครอบครัวมากมายที่ต้องดูแล
แต่ภรรยาของ ดร.แสงสุข กลับพูดให้กำลังใจเขาว่า
“ไม่ต้องเครียด เขาแค่อยากให้เราไปรวยที่อื่นมากกว่า” และมองว่านี่คือโอกาส
ด้วยคำพูดของภรรยา ดร.แสงสุข เลยเปลี่ยนมุมมองใหม่ ตั้งสติ
และเริ่มหันมาจับธุรกิจใหม่ โดยตั้งบริษัทนำเข้าสินค้าเวชภัณฑ์ มาขายในเมืองไทย
ซึ่งธุรกิจนี้ มันทำให้เขารู้จักกับผลิตภัณฑ์ที่ไม่เคยรู้จักมาก่อนมากมาย
และเป็นจุดเริ่มต้นให้เขาค้นพบผลิตภัณฑ์วิตามิน E ธรรมชาติ
และเป็นตัวจุดประกายให้เขาผลิตสินค้าเวชสำอางของตัวเองภายใต้แบรนด์ Smooth E
โดย Smooth E ปล่อยสู่ตลาดในปี พ.ศ. 2538 ในฐานะโฟมล้างหน้าที่ไม่มีฟอง
ซึ่งเมื่อ Smooth E ประสบความสำเร็จได้ในระดับหนึ่งแล้ว
ดร.แสงสุข ก็คิดถึงลู่ทางขยายธุรกิจไปยังสินค้าอื่นๆ
เพราะเห็นว่า บริษัทผลิตภัณฑ์ดูแลผิวหน้าทั่วโลก มีเป็นนับหมื่นบริษัท
แต่บริษัทยักษ์ใหญ่ด้านผลิตสินค้าดูแลช่องปากทั่วโลก มีเพียงไม่กี่บริษัทเท่านั้น
ตลาดนี้จึงเป็นโอกาสให้เขาสามารถลงสนามแข่งได้
แต่เมื่อเขาเข้ามาลุยตลาดนี้ ร่วมกับบริษัทจากฝรั่งเศสแห่งหนึ่ง ผลิตยาสีฟันหลายหมื่นหลอดขาย
ปรากฏว่า ขายไม่ออก ไม่มีคนยอมซื้อเลย..
ทั้งนี้ ดร.แสงสุข ก็ยังไม่ยอมแพ้ และมองว่ายังมีโอกาสที่เป็นไปได้อยู่
จึงแจกยาสีฟันส่วนหนึ่งให้ทันตแพทย์ทั่วประเทศกว่า 8,000 คน ทดลองใช้
พร้อมอธิบายส่วนประกอบอย่างละเอียด และขอคำแนะนำในการพัฒนายาสีฟัน
ซึ่งหลังจากที่ทันตแพทย์บางส่วนตอบกลับมา
ข้อมูลเหล่านั้นมันทำให้เขาเข้าใจพฤติกรรมการใช้ยาสีฟันของคนไทย และปัญหาสุขภาพช่องปากมากขึ้น
รวมถึงพบว่า จากความเห็นของทันตแพทย์ 30 กว่าคน จะพูดคล้ายๆ กันประมาณว่า
ยาสีฟันที่ส่งมาให้ทดลองใช้ เหมาะทำเป็นยาสีฟันก่อนนอน เพราะมีคุณสมบัติลดกลิ่นปากในตอนเช้า
เมื่อ ดร.แสงสุข ได้คำแนะนำตรงนี้ จึงนำเอาข้อมูลไปพัฒนาต่อยอดผลิตภัณฑ์
และตั้งชื่อแบรนด์ยาสีฟันใหม่ว่า DENTISTE' ที่มีความหมายในภาษาฝรั่งเศสว่า ทันตแพทย์
เพื่อเป็นการให้เครดิตทันตแพทย์นั่นเอง
และ DENTISTE' ก็ได้เข้าสู่ตลาดเมื่อปี พ.ศ. 2548
โดยวางตำแหน่งเป็นยาสีฟันพรีเมียม ที่เจาะกลุ่มวัย 30-40 ปี ซึ่งมีกำลังซื้อสูง
และทำการตลาดแบบ “Emotional Marketing” ที่เน้นอารมณ์ความรู้สึกของผู้บริโภค
1
ปัจจุบัน ตลาดผลิตภัณฑ์สำหรับดูแลช่องปากในไทย มีมูลค่าประมาณ 18,900 ล้านบาท
โดยยาสีฟันเป็นตลาดที่ใหญ่สุด มีมูลค่าประมาณ 10,000 ล้านบาท
ในส่วนของต่างประเทศ DENTISTE' มีการส่งออกไปมากกว่า 25 ประเทศ ใน 6 ทวีปทั่วโลก
เช่น สหรัฐฯ, สหราชอาณาจักร, สวิตเซอร์แลนด์, ออสเตรเลีย, จีน, เกาหลีใต้, ญี่ปุ่น และประเทศกลุ่มอาเซียน
ซึ่งนอกจากแบรนด์ DENTISTE' และ Smooth E แล้ว
ล่าสุด ดร.แสงสุข ก็ได้เข้าซื้อธุรกิจร้านขายยา P&F
ทั้งนี้ การกลับเข้ามาดำเนินธุรกิจร้านขายยาในครั้งนี้
ดร.แสงสุข บอกว่าไม่ใช่เพื่อผลกำไรอย่างเดียว
แต่เป็น Passion ของตัวเองที่อยากทำธุรกิจที่ตนชื่นชอบและมีความสุข
รวมถึงเป็นการสานต่อธุรกิจแรกของชีวิต อย่างร้านขายยาเล็กๆ ในอดีตที่ต้องปิดตัวลง ให้กลับมายิ่งใหญ่กว่าเดิม..
สำหรับแผนธุรกิจในปี 2563
บริษัทจะตั้งเป้าหมายจะขยายช่องทางจำหน่ายใหม่ๆ
โดยเฉพาะร้านขายยา P&F ทั้ง 71 สาขา และร้านโมเดิร์นเทรด ควบคู่ไปกับช่องทางออนไลน์
เพื่อขยายฐานลูกค้าทุกกลุ่มเป้าหมาย
อีกทั้งได้มีการจ้างเอเจนซีแบรนด์ระดับโลกทำตลาดให้สินค้ากลุ่ม DENTISTE' เพื่อเจาะตลาดใน 25 ประเทศ ซึ่งคาดว่าจะทำรายได้เติบโตกว่า 20%
และใช้การตลาดแบบผสมผสาน ทั้งแบบ Emotional Marketing
และ Planet Marketing เพื่อกระตุ้นการรับรู้เกี่ยวกับประเด็นในสังคม และคืนกำไรสู่สังคม ส่งเสริมภาพลักษณ์ของแบรนด์โดยรวม
โฆษณา