26 มิ.ย. 2020 เวลา 06:58 • กีฬา
สิ้นสุดการรอคอยเสียที กับแชมป์พรีเมียร์ลีกที่ลิเวอร์พลูรอมานานถึง 30 ปี ทว่าช่วงเวลาที่ยาวนานขนาดนั้น พวกเขาผ่านอะไรมาบ้าง เชิญติดตามได้ที่นี่ครับ
1989-90 เป็นฤดูกาลสุดท้ายที่ลิเวอร์พูลคว้าแชมป์ลีกสูงสุดของอังกฤษ หรือดิวิชัน 1 เดิม จากฝีมือการคุมทีมของ เคนนี่ ดัลกลิช
1990-91 เป็นแชมป์คอมมิวนิตี้ ชิลด์ ร่วมกับแมนฯ ยู และจบด้วยอันดับที่ 2 ของลีก ภายใต้การคุมทีมของ เคนนี่ ดัลกลิช และ รอนนี มอแรน
1991-92 คว้าแชมป์ FA Cup และจบด้วยอันดับที่ 6 ของลีก ภายใต้การคุมทีมของ แกรม ซูเนสส์
1992-93 ฟุตบอลอังกฤษเปลี่ยนจากดิวิชั่น 1 เดิม มาเป็นพรีเมียร์ลีก ลิเวอร์พูลจบด้วยอันดับที่ 6 ภายใต้การคุมทีมของ แกรม ซูเนสส์
1993-94 ลิเวอร์พูลจบด้วยอันดับที่ 8 ภายใต้การคุมทีมของ แกรม ซูเนสส์ และรอย อีแวนส์ ที่เข้ามารับช่วงต่อในเดือนมกราคม 1994
1994-95 คว้าแชมป์ลีกคัพ และจบด้วยอันดับที่ 4 ภายใต้การคุมทีมของ รอย อีแวนส์
1995-96 จบด้วยอันดับที่ 3 ภายใต้การคุมทีมของ รอย อีแวนส์
1996-97 จบด้วยอันดับที่ 4 ภายใต้การคุมทีมของ รอย อีแวนส์
1997-98 จบด้วยอันดับที่ 3 ภายใต้การคุมทีมของ รอย อีแวนส์ และไมเคิล โอเวน คว้าดาวซัลโวร่วม จากการทำ 18 ประตูในลีก
1998-99 ลิเวอร์พูลเริ่มฤดูกาลจากการใช้โค้ชคนคู่อย่างรอย อีแวนส์ และเชราร์ อุลลิเย่ร์ ก่อนที่อีแวนส์จะถูกปลดออกไป สุดท้ายลิเวอร์พูลจบด้วยอันดับที่ 7 และไมเคิล โอเวน คว้าดาวซัลโวร่วมเป็นครั้งที่สองจากการทำ 18 ประตูในลีก
1999-20 จบด้วยอันดับที่ 4 ภายใต้การคุมทีมของเชราร์ อุลลิเย่ร์
2000-01 ลิเวอร์พูลคว้าทริปเปิ้ลแชมป์บอลถ้วยอย่าง เอฟเอ คัพ , ลีก คัพ และ ยูฟ่า คัพ (ยูโรป่า ลีก) ส่วนผลงานในลีกพวกเขาจบด้วยอันดับที่ 3 ภายใต้การคุมทีมของเชราร์ อุลลิเย่ร์
2001-02 ลิเวอร์พูลชนะถ้วย ยูฟ่า ซูเปอร์คัพ และคอมมิวนิตี้ ชิลด์ ก่อนจะจบด้วยอันดับที่ 2 ของลีก ภายใต้การคุมทีมของเชราร์ อุลลิเย่ร์
2002-03 ลิเวอร์พูลคว้าแชมป์ ลีก คัพ และจบด้วยอันดับที่ 5 ภายใต้การคุมทีมของเชราร์ อุลลิเย่ร์
2003-04 ลิเวอร์พูลจบด้วยอันดับที่ 4 ของลีก ภายใต้การคุมทีมของเชราร์ อุลลิเย่ร์
2004-05 ราฟาเอล เบนิเตซ เข้ามารับงานที่ลิเวอร์พูล และพาทีมสร้างปาฏิหาริย์ที่อิสตันบูลคว้าแชมป์ ยูฟ่า แชมป์เปียนลีก ส่วนอันดับในลีกพวกเขาจบที่ 5
2005-06 ลิเวอร์พูลเริ่มต้นด้วยการคว้าแชมป์ยูฟ่าซูเปอร์ คัพ และจบด้วยการคว้าแชมป์เอฟเอ คัพ ส่วนอันดับในลีกพวกเขาจบด้วยอันดับที่ 3 ภายใต้การคุมทีมของราฟาเอล เบนิเตซ
2006-07 ลิเวอร์พูลเริ่มต้นด้วยการคว้าถาดแชมป์คอมมิวนิตี้ ชิลด์ ก่อนจะจบฤดูกาลด้วยอันดับที่ 3 ภายใต้การคุมทีมของราฟาเอล เบนิเตซ
2007-08 จบด้วยอันดับที่ 4 ภายใต้การคุมทีมของราฟาเอล เบนิเตซ
2008-09 จบด้วยอันดับที่ 2 ภายใต้การคุมทีมของราฟาเอล เบนิเตซ
2009-10 จบด้วยอันดับที่ 7 และเป็นฤดูกาลสุดท้ายของราฟาเอล เบนิเตซ กับลิเวอร์พูล
2010-11 รอย ฮอดจ์สัน เข้ามารับงานที่ลิเวอร์พูล แต่ผลงานไม่ได้ตามที่หวัง ก่อนจะเป็นคิงเคนนี่ที่กลับมาอีกครั้งในช่วงต้นปี 2011 แต่สุดท้ายลิเวอร์พูลก็ทำได้เพียงจบอันดับที่ 6
2011-12 ลิเวอร์พูลภายใต้การคุมทีมของเคนนี่ ดัลกลิช คว้าแชมป์ลีกคัพ และจบด้วยอันดับที่ 8
2012-13 แบรนดอน ร็อดเจอร์ส เข้ามารับงานที่ลิเวอร์พูล แต่ก็พาทีมจบได้เพียงอันดับที่ 7 เท่านั้น
2013-14 เป็นฤดูกาลที่ลิเวอร์พูลเข้าใกล้ตำแหน่งแชมป์มากที่สุดฤดูกาลหนึ่ง ด้วยฟอร์มอันร้อนแรงของหลุยส์ ซัวเรซ และเจอร์ราร์ด แต่ท้ายที่สุดแชมป์ก็หลุดรอยไปจากการลื่นของเจอร์ราร์ด ในเกมกับเชลซี และจบด้วยอันดับที่ 2 พร้อมกับตำแหน่งดาวซัลโวของซัวเรซ ที่ 31 ประตู
2014-15 ลิเวอร์พูลไม่อาจรักษาฟอร์มเก่งอย่างในฤดูกาลที่ผ่านมาไว้ได้ ก่อนจะจบด้วยอันดับที่ 6 และเป็นฤดูการสุดท้ายของเจอร์ราร์ดกับลิเวอร์พูล
2015-16 ลิเวอร์พูลของร็อดเจอร์ส เริ่มต้นฤดูกาลด้วยผลงานที่ไม่เป็นไปตามที่หวัง ทำให้ร็อดเจอร์สถูกปลดจากตำแหน่งไป และเป็น เจอร์เก้น คล็อปป์ ที่เข้ามาเป็นความหวังของเหล่าเดอะค็อปให้กับมามีฝันอีกครั้ง แต่ท้ายที่สุดในฤดูกาลนั้นลิเวอร์พูลก็ทำได้เพียงจบอันดับที่ 8
2016-17 เจอร์เก้น คล็อปป์ เริ่มสร้างทีมของเขาเองก่อนจะพาลิเวอร์พูลจบด้วยอันดับที่ 4
2017-18 คล็อปป์พาทีมของเขาไปไกลถึงรอบชิง UCL แต่น่าเสียดายที่พวกเขาไปไม่ถึงฝั่งฝัน แพ้ให้กับเรอัล มาดริด ไปในเกมนัดชิง ส่วนผลงานในลีกพวกเขายังสามารถจบด้วยอันดับที่ 4 อีกครั้ง พร้อมด้วยตำแหน่งดาวซัลโวของโมฮาเหม็ด ซาลาห์ ที่ 32 ประตู
2018-19 ลิเวอร์พูลของคล็อปป์มีทีมที่สมบูรณ์มากขึ้น พวกเขามีขุมกำลังที่แข็งแกร่งในทุกตำแหน่ง และพร้อมที่จะลุ้นแชมป์อย่างเต็มตัว พวกเขาเก็บแต้มได้ถึง 97 คะแนน แต่กลับไม่เพียงพอที่จะคว้าแชมป์ในฤดูกาลนั้น แต่อย่างไรเสียพวกเขาก็คว้าแชมป์ ยูฟ่า แชมป์เปียนลีก ได้สำเร็จ อีกทั้งสองแข้งคนสำคัญอย่างโมฮาเหม็ด ซาลาห์ และซาดิโอ มาเน่ ยังคว้าดาววัลโวร่วมของลีก จากการยิงไปคนละ 22 ประตู
2019-20 สิ้นสุดการรอคอย ที่เหล่าเดอะค็อปรอกันมานานถึง 30 ปี ลิเวอร์พูลคว้าแชมป์พรีเมียร์ลีกได้สำเร็จ จากฟอร์มที่ร้อนแรงตั้งแต่ต้นฤดูกาลอย่างไม่มีแผ่ว ทำแต้มทิ้งห่างทีมอันดับสองอย่างแมนฯ ซิตี้ ไปแบบไม่เห็นฝุ่น และพร้อมรอฉลองแชมป์ตั้งแต่เดือนมีนาคม แต่กลับมีโควิด 19 มาเบรคไปเสียก่อน
แต่ท้ายที่สุดเมื่อกลับมาแข่งต่อได้ ก็ไม่มีอะไรหยุดพวกเขาได้อีกต่อไป สิ้นสุดการรอคอยเสียทีกับ30 ปี ที่เฝ้ารอมานาน วันนี้พวกเขาเป็นแชมป์แบบที่เรียกได้ว่าเพอร์เฟคที่สุดครั้งหนึ่ง ในประวัติศาสตร์ฟุตบอลอังกฤษ เป็นแชมป์โดยที่เหลือเกมให้เล่นอีกถึง 7 เกม แม้จะเสียสถิติแชมป์ไร้พ่ายไป แต่ถึงตรงนี้พวกเขาแสดงให้เห็นแล้วว่า พวกเขาเป็นแชมป์ที่สมบูรณ์แบบ และยากที่จะทำได้อย่างพวกเขา
Writer : ฐกฤต กล่ำพันธ์ดี
โฆษณา