27 มิ.ย. 2020 เวลา 14:37 • ความคิดเห็น
บีอิ้งฌอนมาโควิด วิกฤตการณ์ของฌอน
กับหนังเรื่อง Being John Malkovich
ฌอน คือ นักสร้างแรงบันดาลใจผู้เป็นอินฟลูเอนเซอร์ (Influencer) ที่มีคนติดตามมากกว่า 4 ล้านคน เขาคือหนึ่งในผู้มีอิทธิพลบนโลกออนไลน์ เจ้าของรางวัลนักสื่อสารมวลชนดีเด่นจากจากมหาวิทยาลัยรังสิตในปี 2562
นี่คือสิ่งที่เกิดขึ้นและมันได้เปลี่ยนไปในทันทีที่เขาลงคลิปที่มีชื่อว่า " เมื่อผมได้ปลูกต้นไม้กับท่านประวิตรครับ "
ในคลิปนี้เป็นภาพครั้งที่ฌอนได้ร่วมปลูกต้นไม้ในโครงการหนึ่งร่วมกับพลเอกประวิตร
เขาได้บอกกับผู้ชมว่าภาพของพลเอกประวิตรที่เราเห็นในสื่อกับตัวจริงมีความแตกต่างกัน พร้อมทั้งเตือนว่าอย่าเพิ่งเชื่อสื่อร้อยเปอร์เซนต์
ทันทีที่คลิปถูกเผยแพร่ออกไปก็ตามมาด้วยเสียงวิจารณ์ในเชิงลบ ด้วยภาพลักษณ์ของพลเอกประวิตรที่สังคมยังคาใจอยู่หลายเรื่อง
แม้ในคลิปจะมีเนื้อหาส่วนใหญ่พูดถึงเรื่องของการเผาป่าและเชิญชวนให้คนรุ่นใหม่หันมาสนใจปัญหาสิ่งแวดล้อม แต่เรื่องเหล่านี้ก็ถูกบดบังด้วยเรื่องที่เขาชมพลเอกประวิตรไปหมด ส่งผลให้ยอดผู้ถูกใจเพจของฌอนลดลงจาก 3 ล้านกว่าเหลือเพียง 2.9 ล้านในเวลาไม่กี่วัน(ยอดผู้ติดตามเพจลดลงเล็กน้อยจาก 4 ล้าน เหลือ 3.8 ล้าน)
ไม่เพียงเท่านั้น นอกจากการโจมตีที่มีอย่างต่อเนื่องแล้ว ยังมีการออกมาแฉข้อมูลต่างๆอีกมากมาย ไม่ว่าจะเป็นการออกมาขอคืนค่าคอร์สจากคนที่เคยเรียนออนไลน์กับเขา
การออกมาจับผิดในเรื่องที่เขาเคยพูดไว้ รวมถึงคำถามเรื่องเงินบริจาคไฟป่าที่เชียงใหม่ ทั้งหมดล้วนเป็นข้อกล่าวหาที่ถาโถมเข้ามา
นี่คือวิกฤตในชีวิตครั้งหนึ่งที่ฌอนต้องเผชิญ
นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่เขาเจอกับกระแสกดดัน ก่อนหน้านี้เคยมีประเด็นดราม่ามาแล้วครั้งหนึ่งในตอนที่เขาถอดรองเท้าให้ชายแปลกหน้า คนก็วิพากษ์วิจารณ์ฌอนอย่างเต็มที่ ลามไปถึงเรื่องการมองโลกในแง่ดีเกินไปของเขาไม่ว่าจะเป็นการยิ้มเมื่อมีรถตัดหน้าเพราะคิดในแง่ดีว่าคนที่ขับรถตัดหน้าอาจจะรีบไปทำงานเพื่อหาเงินให้ลูก ซึ่งเป็นการกระทำที่เกิดจากความรัก แต่ไม่ว่าจะดราม่าหนักแค่ไหนเขาก็ผ่านมาได้ เพราะโดยพื้นฐานของสิ่งที่เขาพูดและทำมันไม่ได้เลวร้ายอะไร ?
..
การที่คนคนหนึ่งจะมอบรองเท้าให้คนแปลกหน้าที่เพิ่งเจอกัน หรือ ยิ้มให้กับเรื่องร้ายๆที่เกิดขึ้น ทั้งหมดล้วนเป็นเรื่องที่ดี แต่ไม่ใช่กับดราม่าทางการเมือง
ความขัดแย้งทางความคิดและการเมืองมันลึกไปมากกว่านั้นมาก พี่น้องทะเลาะกัน พ่อลูกโกรธกัน หรือบางคนฆ่ากันเพราะเรื่องการเมืองก็เคยมีมาแล้ว
กระแสความไม่พอใจไม่ใช่เรื่องนี้เพียงอย่างเดียว เมื่อเกิดปรากฏการณ์ " ทัวร์ลง " ฌอนได้ตอบคอมเม้นต์ในทางติดตลกและโยงเรื่องการเมืองกับการเมียจนคนที่ไม่พอใจอยู่แล้วยิ่งเห็นว่าเรื่องนี้มันไม่ตลกและไม่ควรตอบแบบนี้จนนำไปสู่กระแสที่เพิ่มมากขึ้น
ในมุมนึงนี่คือวิกฤตที่เขาต้องเผชิญแต่อีกมุมหนึ่งก็เป็นโอกาสที่เราจะได้เห็นวิธีการรับมือกับปัญหาของผู้ที่ได้ชื่อว่าเป็นผู้ชี้ทางแก้ปัญหาให้กับคนอื่น
ซึ่งก่อนหน้านี้ก็มีไลฟ์โค้ชหลายคนที่เผชิญกับวิกฤตแบบนี้
เมื่อคุณมาถึงจุดที่แสงไฟส่องสว่าง คุณได้ฉายแววอันโดดเด่นและเป็นที่สนใจของผู้คน ทุกคำพูดและความคิดของคุณย่อมส่งผลกับคนหมู่มาก
ซึ่งผลสะท้อนของมันก็ตอบกลับมารุนแรงเช่นกัน
สิ่งที่เกิดขึ้นนี้ยังไม่รู้ว่าจะจบแบบไหน แต่คำถามที่น่าคิดก็คือ ฌอนจะจัดการกับเรื่องนี้ยังไง ?
และถ้าเป็นฌอน คุณจะทำยังไง ?
การมีชื่อเสียงและเป็นที่สนใจของผู้คนเป็นสิ่งที่หลายคนใฝ่ฝัน แต่การจะได้สิ่งนี้มาต้องแลกด้วยต้นทุนมากมาย ต้องพร้อมที่จะถูกวิพากษ์วิจารณ์ พร้อมที่จะรับกับกระแสสังคมที่มีทั้งแง่บวก แง่ลบ ผมคงตัดสินไม่ได้ว่าใครถูกใครผิด แต่สิ่งที่ผมตั้งคำถามได้ก็คือ เราสามารถกล่าวคำขอโทษได้ไหม ไม่ว่าเราจะคิดว่าตนเองถูกหรือผิด ?
สังคมไทยมีความแปลกอยู่อย่างหนึ่งคือ " วัฒนธรรมไม่ผิด " ต่อให้คุณเป็นคนใหญ่คนโตที่มีตำแหน่งสูง คุณก็ผิดพลาดได้ เมื่อผิดพลาดแล้วการกล่าวคำขอโทษคือความกล้าหาญอย่างยิ่งของผู้นำ ผมไม่ค่อยเห็นกรณีนี้ในประเทศไทย
แต่ขอยกความกล้าหาญในกรณีที่เพิ่งเกิดขึ้นไม่นาน คือ กรณีของคุณวรรณสิงห์ ประเสริฐกุล เขาถูกสังคมวิจารณ์เรื่องที่เคยไปร่วมกิจกรรม Big Cleaning Day ซึ่งคนในโลกออนไลน์มองว่ากิจกรรมนี้คือการทำลายหลักฐานของการสูญเสียครั้งยิ่งใหญ่ของคนเสื้อแดง
..
กระแสนี้ดังมากในทวิตเตอร์แต่ในที่สุดก็เงียบลงไปเพราะวรรณสิงห์ได้ออกมาขอโทษกับการกระทำนี้ และเขาก็คือหนึ่งในคนที่ทำงานภาคสังคมที่ต่อสู้เรื่องไฟป่าเชียงใหม่จนคนส่วนใหญ่ยอมรับและให้อภัย
2
ถึงแม้ว่าคุณจะไม่ผิดคุณก็ขอโทษได้ถ้ามันทำให้สถาณการณ์ความโกรธของผู้คนเบาบางลง นี่คือความคิดของผม
แน่นอน...ผมไม่ใช่ฌอนและความคิดผมก็ไม่ถูกเสมอไป
3
คงไม่เหมือนกับหนังเรื่อง Being John Malkovich ที่ผมจะเข้าไปอยู่ในหัวใครและควบคุมคนนั้นได้
หนังเรื่องนี้เล่าถึงเคิร์ก ชายคนหนึ่งซึ่งมีอาชีพเป็นคนเชิดหุ่น เขาคือนักเชิดหุ่นที่มีพรสวรรค์อย่างมาก แม้จะทำได้ดีในการเชิดและบังคับสิ่งที่ควบคุมได้อย่างสมบูรณ์ แต่ในชีวิตจริงเขากลับล้มเหลวในการควบคุมมันอย่างสิ้นเชิง
เคิร์กได้ไปสมัครงานเป็นคนจัดเรียงเอกสารที่บริษัทแห่งหนึ่ง ความประหลาดของที่นี่ก็คือมันตั้งอยู่ที่ชั้นเจ็ดครึ่ง คือแบ่งครึ่งชั้นมาเป็นสำนักงานทำให้ความสูงของชั้นมีน้อยมาก ผู้คนที่ทำงานที่นี่ทุกคนล้วนต้องก้มตนเองให้ต่ำลงเพราะเพดานเตี้ย
จริงๆมันคือสัญลักษณ์ที่บอกว่าพวกเขาไม่ภูมิใจในตนเองเพราะถูกกดขี่จากบางสิ่ง ไม่ว่าจะเป็นการแข่งขันในสังคมหรือแม้กระทั่งมุมมองที่เขามีต่อตนเอง
ปมตรงนี้เด่นชัดขึ้นเมื่อวันหนึ่ง เคิร์กได้พบกับช่องทางลับในบริษัทซึ่งได้นำพาเขาให้เข้าไปอยู่ในหัวของจอห์น มาโควิช นักแสดงชื่อดังของฮอลลีวูด
เขาจึงเริ่มธุรกิจใหม่ด้วยการให้เช่าเวลาในการเป็นจอห์น มาโควิช ซึ่งมีคนสนใจมากมาย
นอกจากให้เช่าประตูลับเพื่อไปเป็นจอห์น มาโควิชแล้ว ตัวเขากับคนใกล้ชิดก็ชอบเข้าไปในหัวจอห์นบ่อยๆ
ในใจลึกๆแล้วพวกเขากระหายความสำเร็จ
แม้จะทำไม่ได้ด้วยตนเองก็ขอชื่นชมผ่านคนอื่นเพียงเล็กน้อยก็ยังดี ยิ่งทำนานวันเข้าเขาก็ยิ่งถลำลึก จากการไปเพียงชั่วคราวและเฝ้ามองชีวิตของจอห์น
เคิร์กได้ใช้ทักษะของนักเชิดหุ่นทำให้เขาสามารถบังคับความคิดและการกระทำของจอห์นได้ ซึ่งจอห์นเองก็รู้ถึงความผิดปกตินี้และเขาต้องหาทางสืบให้ได้ว่าเกิดอะไรขึ้นเพื่อหยุดยั้งเรื่องนี้
หนังเรื่องนี้ก็ไม่ต่างอะไรกับผู้คนในสังคมทุกวันนี้เลย
เราไม่เคยพอใจกับชีวิตของตนเอง เราอยากประสบความสำเร็จเช่นคนอื่น และอวดความสำเร็จนั้นได้ผ่านโลกโซเชี่ยล
บางครั้งความอยากนั้นได้ปิดกั้นความจริงที่เป็นธรรมชาติของตัวเรา เราเลือกเสพเนื้อหาที่จะพัฒนาตัวเองโดยลืมไปว่ามันเป็นตัวตนที่แท้จริงของเราหรือเปล่า?
เราอ่านสิ่งที่คนอื่นโพสต์บอกเราทุกวันว่า ต้องพัฒนาตนเอง ต้องอย่างนั้น ต้องอย่างนี้ โดยไม่ได้คิดว่าสิ่งเหล่านี้เหมาะกับเราหรือไม่ ?
จริงๆเราจะเสพเนื้อหาหรือพัฒนาตนเองแค่ไหนก็ได้แต่ต้องไม่ลืมคิดถึงตัวตนที่แท้จริง อย่าละทิ้งตัวตนเดิมเพียงเพราะความอยากมีอยากเป็น
แต่จงละทิ้งเพื่อพัฒนาให้ตนเองดีขึ้น การทำโดยสักแต่ว่าทำโดยที่การเปลี่ยนแปลงนั้นไม่ได้เกิดขึ้นจากภายในจริงๆถึงวันหนึ่งมันก็จะกลับไปเป็นเหมือนเดิม
..
ตอนนี้คุณอาจจะถูกเชิดผ่านบุคคลอื่น คนที่เข้ามาชี้แนะคุณ คนที่บอกว่าคุณต้องทำอย่างนั้นทำอย่างนี้ แต่จริงๆแล้วคนที่จะบอกเรื่องนี้ได้ดีที่สุดคือตัวคุณเอง
" คุณคือไลฟ์โค้ชที่ดีที่สุดของตัวเอง "
ใครก็เป็นไลฟ์โค้ชได้แม้กระทั่งคนที่ล้มเหลวที่สุดในชีวิต อย่างน้อยความผิดพลาดของเขาก็เป็นบทเรียนให้ผู้อื่นและที่สำคัญที่สุดมันคือบทเรียนให้กับตัวเขาเอง
ถ้าเคยดูรายการคนค้นคนเมื่อหลายปีก่อน เราจะพบว่าคนที่รายการนำมาเสนอล้วนเป็นคนธรรมดาที่ไม่ได้มีชื่อเสียง ? แต่การดำเนินชีวิตของพวกเขาก็ให้บทเรียนกับเรา ซึ่งผมอยากจะบอกว่า " คุณก็คือคนๆนั้น "
จะอยากเป็นคนอื่นไปทำไม ? ในเมื่อคุณก็วิเศษอยู่แล้ว
หาแนวทางของคุณให้พบและสนุกไปกับมัน ไม่มีไลฟ์โค้ชคนไหนช่วยหาสิ่งนี้ให้คุณได้
สุดท้ายนี้ผมอยากจะให้ทุกเหตุการณ์ที่เราเสพผ่านข่าวสารบนโลกออนไลน์ได้เป็นบทเรียนเพื่อศึกษาชีวิต ไม่ว่าจะเรื่องของฌอนที่มาช่วงโควิด เรื่องของจอห์นที่วิพากษ์วิจารณ์ฌอน ล้วนแต่เป็นบทเรียนที่ให้มุมคิดกับเราได้ทั้งนั้น
ส่วนถ้าใครอยากดูหนังที่กวนโอ้ยเมากาวและแฝงข้อคิดดีๆแล้วล่ะก็ห้ามพลาดหนังเรื่อง " Being John Malkovich " อย่างเด็ดขาด
ภาพประกอบจาก : https://www.imdb.com
โฆษณา