29 มิ.ย. 2020 เวลา 09:55 • กีฬา
อัลฟองโซ เดวีส์ : จากเด็กที่เกิดในค่ายผู้ลี้ภัย สู่ว่าที่แบ็คซ้ายเบอร์หนึ่งของโลก
ดาวรุ่งที่ได้รับการจับตามองมากที่สุดในเวลานี้ หนึ่งในนั้นเห็นจะต้องมีชื่อของแบ็คซ้ายจากทัพเสือใต้ บาเยิร์น มิวนิค รวมอยู่อย่างปฏิเสธไม่ได้ ด้วยฟอร์มการเล่นที่แจ้งเกิดในฤดูกาลนี้นั้นร้อนแรงอย่างฉุดไม่อยู่ จนได้รับการจับตามองว่า เขาจะก้าวขึ้นไปเป็นแบ็คซ้ายเบอร์หนึ่งของโลกได้ในอนาคตอันใกล้นี้
แต่กว่าที่เขาจะมาถึงตรงนี้ได้นั้นมันไม่ง่าย เมื่อเส้นทางชีวิตของเขานั้น ต้องพบกับความยากลำบากในวัยเด็ก ทั้งการหนีจากสงครามกลางเมืองในไลบีเลียของพ่อและแม่ของเขา การที่เขาต้องเกิดในค่ายผู้ลี้ภัย และย้ายไปสร้างชีวิตใหม่ที่แคนนาดา มีเรื่องราวมากมายได้เกิดขึ้น ซึ่งไม่ใช่เรื่องง่ายสำหรับชีวิตครอบครัวหนึ่ง เราจะพาทุกท่านไปพบกับเส้นทางที่ไม่ได้สวยงาม สู่การเป็นยอดดาวรุ่งของ อัลฟองโซ เดวีส์ ติดตามได้ที่นี่ครับ
เพียงแค่การหาเงินมาเลี้ยงปากท้องในแต่ละวัน ของคนในประเทศที่ยากไร้อย่างไลบีเรียก็ว่ายากแล้ว การเกิดสงครามกลางเมืองนั้นยิ่งทวีคูณความยากลำบากของผู้คนในประเทศ ทางออกของผู้คนนั้นมีให้เลือกไม่มากนัก จะอยู่สู้ต่อโดยไม่อาจรู้ได้ว่ามันจะจบลงเมื่อไหร่ หรือจะยอมทิ้งทุกสิ่งเพื่อออกไปเสี่ยงโชคหาสิ่งใหม่ที่ดีกว่า
ทว่าเป็นอย่างหลังที่พ่อและแม่ของเดวีส์ได้เลือกทางเดินนั้น เพื่อลูกของพวกเขาที่กำลังจะลืมตาดูโลกในไม่ช้า การหนีจากสงความกลางเมืองครั้งนั้นไปเสียคงเป็นทางออกที่ดีที่สุด
“มันเป็นเรื่องยากที่จะอยู่ในไลบีเรียในช่วงสงคราม เพราะการจะอยู่รอดหมายความว่า คุณจะต้องพกปืนอยู่ตลอดเวลา และเราไม่เลือกแบบนั้น” คำพูดของผู้เป็นพ่อของเดวีส์ ถึงเหตุที่ทำให้พวกเขาต้องอพยบออกจากบ้านเกิด
พ่อและแม่ของเดวีส์ตัดสินใจหนีความวุ่นวายในไลบีเรีย ออกเดินทางไปหลายร้อยไมล์ข้ามแอฟริกาตะวันตก ในที่สุดพวกเขาก็ได้ที่พักพิงในค่ายผู้ลี้ภัยที่บูดูบูราม ประเทศกาน่า และที่นั่นได้กลายเป็นบ้านเกิดของเดวีส์ ที่เกิดมาในปี 2000 เขาเกิดและมีช่วงวัยเด็กที่นั่นเป็นเวลานานถึงห้าปี
ชีวิตในค่ายผู้ลี้ภัยนั้นถึงแม้จะปลอยภัยจากสงคราม แต่ทว่าชีวิตความเป็นอยู่นั้นล้วนมีแต่ความยากลำบาก บ้านที่เรียกว่าบ้านได้ไม่เต็มปาก เพราะมันแทบจะไม่สามารถกันแดดกันฝนได้สักเท่าไหร่ หลังคาที่มุงด้วยสักกะสีเก่าๆ ที่เต็มไปด้วยสนิมและรูรั่ว ผนังที่ถูกขึงไว้ด้วยลวดตาข่ายคอกไก่ และมันไว้ด้วยผ้าเพื่อใช้กันแดดและฝน ที่ก็คงจะช่วยกันอะไรได้ไม่มากสักเท่าไหร่
และคงไม่ต้องคิดถึงเรื่องอาหารการกิน เพราะเงินเพียงน้อยนิดที่จะสามารถแปลเปลี่ยนเป็นอาหารมาประทังชีวิต ของคนในครอบครัวให้อยู่รอดในแต่ละวันนั้น ล้วนหามาได้อย่างยากลำบาก ไม่มีภาพอนาคตใดให้พวกเขาได้ฝันถึง เพียงการเอาชีวิตให้รอดในแต่ละวันก็เป็นเรื่องยากแล้ว
"เรากำลังกังวลเพราะความหิวสามารถฆ่าคุณได้ในค่ายผู้ลี้ภัย" พ่อของ เดวีส์กล่าว “มันไม่เพียงแต่ในเขตสงคราม แต่ในค่ายถ้าไม่มีอาหารเราก็อาจจะตายได้ ดังนั้นในทุกวันเราต้องแน่ใจว่าเราจะมีอะไรให้เขาได้กิน”
พ่อและแม่ของเดวีส์พวกเขาไม่อาจให้ลูกของเขาเติบโต จากสภาพแวดล้อมเช่นนั้นไปตลอด พวกเขาพยายามทำทุกวิถีทางเพื่อโอกาสจะได้ไปสู่โลกใบใหม่ที่ดีกว่า และในที่สุดปาฏิหาริย์ก็เกิดขึ้น พวกเขาก็ผ่านการสัมภาษณ์ สำหรับโครงการตั้งถิ่นฐานใหม่ ทำให้พวกเขาได้ย้ายไปอยู่ที่ประเทศแคนาดา ในขณะที่เดวีส์อายุได้ห้าขวบ
แม้ว่าช่วงเวลาที่ยากลำบากนั้นเดวีส์จะยังเด็กมาก ทำให้เขาจำช่วงเวลานั้นได้ไม่มากนัก ซึ่งพ่อและแม่ของเขาก็พยายามที่จะไม่พูดถึงช่วงเวลานั้นสักเท่าไหร่ เพราะต้องการให้ลูกของเขาได้มีแต่ความทรงจำในเรื่องที่ดีๆ
“เมื่อเราไปถึงแคนาดา เราไม่ต้องการให้อดีตของเรามีผลกับอนาคตของเขา ดังนั้นเราจึงไม่ได้พูดถึงเรื่องในค่ายมากนัก เขาจะได้ไม่ต้องรับรู้ถึงความทรมานที่เราผ่านมา” พ่อของเดวีส์เล่าถึงเหตุผลที่ไม่ได้เล่าเรื่องในอดีตให้เขาฟังมากนัก
แต่ถึงอย่างนั้นเดวีส์ก็รู้ดีว่าพ่อและแม่ของเขานั้น ต้องผ่านความยากลำบากมามากขนาดไหน “ ผมเป็นหนี้ครอบครัวของผมมากมาย ที่พวกเขาต้องจากประเทศอย่างไลบีเรีย และพาครอบครัวไปอยู่ในสภาพแวดล้อมที่ปลอดภัยอย่างแคนาดา” เดวีส์กล่าว
ที่แคนาดาได้เปลี่ยนชีวิตของเดวีส์และครอบครัวของเขาให้มีชีวิตที่ดีขึ้น ไม่ต้องทนอยู่อย่างอดๆ อยากๆ อย่างที่ผ่านมา โลกใบใหม่ใบนี้ได้มอบโอกาสหลายอย่างให้กับเขา ทั้งชีวิตใหม่ การได้เรียนหนังสือ และที่สำคัญคือ โอกาสที่ให้เขาได้รู้จักกับโลกอีกใบที่ชื่อว่าฟุตบอล
เดวีส์เข้าร่วมโครงการที่มีชื่อว่า Free Footie โครงการที่สนับสนุนให้เด็กๆ ในเมืองที่เขาอยู่ ได้เล่นฟุตบอลโดยที่ผู้ปกครองไม่ต้องเสียคาใช้จ่ายใดๆ ทั้งสิ้น โครงการนี้ให้โอกาสอันล้ำค่ากับเขา เพราะหากไม่มีโครงการนี้เกิดขึ้น ครอบครัวของเขาคงไม่อาจจะมีกำลังทรัพย์มากพอ ที่จะส่งเสียให้เขาได้ฝึกวิชาฟุตบอลในอคาเดมี่ ที่จะต้องมีค่าใช้จ่ายในการรเรียนเหล่านั้น
โครงการนี้ช่วยให้เขาได้สนุกกับฟุตบอล โดยที่ครอบครัวของเขาไม่ต้องมีความกังวลใดๆ ค่าใช้จ่ายทุกอย่าง เสื้อผ้า รองเท้า ถุงเท้า โครงการนี้ได้มอบให้กับเด็กๆ ที่ด่อยโอกาสอย่างเดวีส์ และเด็กคนอื่นๆ ในเมือง
“เราอยู่ในโครงการที่เรียกว่า Free Footie ผมรู้สึกว่า 'นั่นเป็นอะไรที่เจ๋งมาก!' ตอนนั้นผมไม่ได้รู้อะไรมากนัก ผมคิดว่ามันเป็นแค่การแข่งฟุตบอลของโรงเรียน แต่มันช่วยให้เด็กๆ อย่างผมได้เล่นกับคนเก่งๆ” เดวีส์เล่าถึงการได้เข้าร่วโครงการ free Footie
ไม่เพียงแค่ฟุตบอลเท่านั้นที่เขาหลงไหล แต่เขายังเล่นกีฬาอีกหลายชนิด ไม่ว่าจะเป็นบาสเก็ตบอล หรือแม้แต่กรีฑา เขาสนุกกับทุกสิ่ง และสามารถทำมันได้ดีถึงขั้นเป็นนักกีฬาของโรงเรียนในทุกกีฬาที่เขาเล่น ทักษะในกีฬาแต่ละชนิดที่เขาเล่น ล้วนแต่ส่งเสริมให้เขานำไปปรับใช้ในอีกชนิดกีฬาหนึ่ง ทำให้เขามีความสามารถที่พิเศษกว่าใครในกีฬานั้นๆ
“ความสามารถในการเล่นกีฬาหลายประเภท นั้นดีต่อนักกีฬาเสมอ” เดวีส์กล่าว “โดยเฉพาะอย่างยิ่งบาสเก็ตบอล กีฬาประเภทลู่และลาน หรือแม้แต่ฟุตบอล ความสามารถในการวิ่ง ช่วยให้ผมนำความเร็วที่มีไปใช้ในสนามกับเกมฟุตบอล และบาสเก็ตบอลก็ใช้ในการเล่นเกมรับ ทุกสิ่งล้วนใช้ทักษะเหล่านั้นทั้งหมด”
ถึงแม้เขาจะมีความสามารถในกีฬาหลายประเภท แต่เป้าหมายของเขามีเพียงฟุตบอล เป็นสิ่งเดียวเท่านั้นที่เขาใฝ่ฝัน เดวีส์เข้าสู่อคาเดมี่ของทีม Edmonton Strikers ทีมในเมืองที่เขาอยู่ ที่นั่นทำให้เขาได้รับโอกาสครั้งสำคัญในชีวิต เมื่อช่วงเวลาที่เขาอายุได้ 14 ปี ทีมของเขาได้เข้าร่วมการแข่งขันฟุตบอลในระดับเยาวชนที่อเมริกา
ในทัวร์นาเมนต์นั้นทีมของเขาในชุดอายุต่ำกว่า 15 ปี สามารถเอาชนะทีมอายุต่ำกว่า 17 ปี ของ Whitecaps ได้ ซึ่งเขาทำผลงานได้อย่างยอดเยี้ยม ทำให้ทีมอย่าง Vancouver Whitecaps สนใจในตัวเขา และติดต่อไปที่ครอบครัวของเขาถึงความต้องการ ให้เขาย้ายไปเริ่มเส้นทางฟุตบอลที่อเมริกา
ตัวของเดวีส์นั้นต้องการคว้าโอกาสสำคัญนั้นไว้เพื่อความฝันของเขา แต่ในมุมพ่อและแม่ของเขานั้น การจะปล่อยให้ลูกชายวัย 14 ที่อยู่ในช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อของชีวิต ไปอยู่ในที่ที่ไกลจากความดูแลของพวกเขา เป็นเรื่องที่ตัดสินใจไม่ง่ายนัก แต่ถึงอย่างนั้นเดวีส์ที่แสดงถึงความมุ่งมั่นแน่วแน่ในฝันของตัวเอง ได้ให้สัญญากับพ่อแม่ของเขาว่าจะไม่ทำให้พวกเขาเสียใจ ทำให้ทั้งคู่ยอมปล่อยให้เดวีส์ได้ออกไปตามฝันของเขา
 
“เธอกลัวเป็นเรื่องปกติสำหรับคนเป็นแม่ เธออาจจะเห็นเด็กที่หลงผิด และต้องเลิกเรียนในวัยมัธยม พ่อขอให้ผมสัญญาว่าจะต้องคบแต่เพื่อนที่ดี” เดวีส์เล่าถึงความห่วงใยของพ่อแม่ของเขา
ที่ Vancouver Whitecaps เขาเริ่มต้นด้วยการเล่นให้กับทีมระดับเยาวชน แต่ไม่นานด้วยฝีเท้าที่เก่งเกินวัย ทำให้เขาได้ขยับขึ้นมาเล่นให้กับทีมสำรอง และก้าวขึ้นสู่ทีมชุดใหญ่ด้วยวัยเพียง 15 ปี
“เมื่อเขาเข้ามาสู่ทีม เรารู้ว่าเขาเป็นคนที่คาดหวังได้อย่างแน่นอน” บ็อบ เลนาร์ดุยซี่ ผู้จัดการทีม Whitecaps กล่าว "เขาเป็นสิ่งที่พิเศษจริงๆ สำหรับผมเขาไม่เหมือนเด็กทั่วไป เมื่อเขาเข้ามาเป็นส่วนหนึ่งของทีม U16 และภายในไม่กี่เดือน เขาก็ขยับจากทีม U16 ไปสู่ทีม U18 จากนั้นก็ไปสู่ทีมสำรอง และขึ้นไปเล่นให้กับทีมชุดใหญ่ สิ่งที่เกิดขึ้นมันหาได้ยากมาก"
ด้วยฝีเท้าของเขานั้นโดดเด่นเกินกว่าเด็กในรุ่นเดียวกัน เขาติดทีมชาติแคนาดาในชุด U17 และชุด U20 ในวัยเพียง 15 ปี เท่านั้นยังไม่พอเขายังสามารถก้าวไปติดทีมชาติชุดใหญ่ของแคนาดาได้ในวัยเพียง 16ปี หลังจากเพิ่งได้รับสัญชาติแคนาดาได้ไม่นาน ซึ่งเป็นสิ่งที่เขาภูมิใจมากที่สุด ที่ได้รับใช้ชาติที่ให้ชีวิตใหม่แก่เขาและครอบครัว
“นั่นเป็นช่วงเวลาที่ดีที่สุดสำหรับครอบครัวเรา” เดวีส์กล่าว “ผมดีใจที่ได้มันมา มันมีความหมายมาก กับการได้เป็นตัวแทนของประเทศที่ผมอาศัยอยู่ตลอดชีวิต ตราบนหน้าอกเสื้อที่ผมใส่ลงเล่นให้กับพวกเขา มันมีความหมายมากสำหรับผม" ทุกคำพูดของเดวีส์แสดงให้เห็นถึงความภูมิใจของเขาและครอบครัว ที่เขาได้รับสัญชาติแคนาดา และได้เป็นส่วนหนึ่งของทีมชาติแคนาดา
และด้วยฝีเท้าอันโดดเด่นของเดวีส์ ที่มาพร้อมกับความมุ่งมั่นที่ฝังรากลึกอยู่ในตัวเขา ทำให้เขาไปเตะตาหลายทีมยักใหญ่ในยุโรป ที่ต่างสนใจในตัวเขาและต้องการได้เขาไปร่วมทีม ด้วยเชื่อมั่นว่าเด็กจากแคนาดาคนนี้ จะสามารถพัฒนาต่อยอดไปได้อีกไกล
ก่อนท้ายที่สุดจะเป็นข้อเสนอจากบาเยิร์น มิวนิค ที่ยอมทุ่มค่าตัวสูงถึง 17 ล้านปอนด์ เพื่อดึงเด็กวัยเพียง 18 ปีอย่างเขาไปร่วมทีม ซึ่งค่าตัวขนาดนั้นมันเป็นราคาที่สูงมากสำหรับแข้งดาวรุ่ง ที่ไม่ได้เล่นอยู่ในห้าลีกใหญ่ในยุโรป แต่บาเยิร์น มิวนิค กลับมั่นใจในตัวเขา ว่าเดวีส์จะสามารถเล่นได้คุ้มค่าตัวที่พวกเขาจ่ายไป
ซึ่ง ณ วันนี้เดวีส์แสดงให้เห็นแล้วว่า เขาเล่นได้คุ้มค่าตัวที่บาเยิร์นเสียไป และเขายังสามารถเพิ่มมูลค่าในตัวเขาได้อีกมากจากผลงานในสนามของเขา
และทั้งหมดคือเรื่องราวของอัลฟองโซ เดวีส์ กับการเดินทางสู่เส้นทางฟุตบอล ซึ่งเขาแสดงให้เห็นแล้วว่า แม้จะมีภูมิหลังของชีวิตที่เลวร้ายเพียงใด แต่หากเลือกเดินในทางที่ถูกและมีความพยายาม ก็สามารถนำพาชีวิตไปสู่โลกใบใหม่ที่ดีกว่า และประสบความสำเร็จได้
“เรามาแคนาดาในฐานะผู้ลี้ภัยจากแอฟริกา และทำงานอย่างหนักเพื่อทุกสิ่งที่เรามี ผมคิดว่าชีวิตของผมสามารถแสดงให้ผู้คนเห็นมันว่าเป็นไปได้ ถ้าคุณยังคงแน่วแน่ต่อตัวเอง และอย่าปล่อยให้ตัวเองหลงทาง” อัลฟองโซ เดวีส์
บทความโดย : ฐกฤต กล่ำพันธ์ดี
โฆษณา