30 มิ.ย. 2020 เวลา 09:53 • ประวัติศาสตร์
10 ความเชื่อพิสดารเรื่องเซ็กส์ของชาววิคตอเรียน
ทำไมผู้หญิงถึงต้องรักษาพรหมจรรย์? ทำไมโสเภณีถึงเป็นสิ่งไม่ดี? อังกฤษยุควิคตอเรียน มีความเชื่อเรื่องเซ็กส์ที่แตกต่างจากคนทุกวันนี้มาก และความเชื่อบางอย่างก็ส่งผลมาถึงปัจจุบัน บทความนี้จะพูดถึง 10 ความเชื่อพิสดารเรื่องเซ็กส์ของชาววิคตอเรียน รวมถึงเรื่องที่น่าสยดสยองที่สุด (เรื่องที่ 2) เรื่องที่ย้อนแย้งที่สุด (เรื่องที่ 3) เรื่องที่มโนหนักที่สุด (เรื่องที่ 7) และเรื่องที่น่ากดดันที่สุด (เรื่องที่ 10)
1
ยุควิคตอเรียน (1837-1901) เป็นยุคที่จักรวรรดิอังกฤษรุ่งเรืองถึงขีดสุด ชาวอังกฤษใต้การปกครองของพระนางเจ้าวิคตอเรีย ได้แผ่ขยายอิทธิพลไปทั่วโลก สร้างอาณาจักรอันกว้างใหญ่กว่าอาณาจักรใดๆ ในอดีต ความสำเร็จดังกล่าวทำให้พวกเราทุกวันนี้แต่งตัวแบบอังกฤษ กินอาหารด้วยมารยาทอังกฤษ และใช้ภาษาอังกฤษเป็นภาษากลาง
ยุคนั้นกำลังเปลี่ยนผ่านจากยุคสมัยเก่าเป็นยุคสมัยใหม่ มีการค้นพบเทคโนโลยีล้ำหน้ามากมาย เช่นการถ่ายรูป รถไฟ ไฟฟ้า โทรเลข โทรศัพท์
ในขณะเดียวกันสังคมก็ยังมีความเชื่อเก่าๆ แบบฝรั่งโบราณแฝงอยู่ พวกอังกฤษได้นำความเชื่อเหล่านี้แผ่กระจายไปทั่วโลก
ถ้าท่านอ่านวรรณคดีไทยสมัยก่อนจะพบว่านางเอกไม่ได้รักนวลสงวนตัวขนาดนั้น นางวันทองได้เสียกับขุนแผนตั้งแต่อายุสิบหก ขณะยังไม่แต่งงาน
แท้จริงไทยไม่เคยมีความเชื่อเรื่องการรักษาพรหมจารีย์ของผู้หญิงมาก่อน ความเชื่อดังกล่าวเป็นความเชื่อวิคตอเรียนที่เข้ามาในสมัยรัชกาลที่สี่ ก่อนหน้านั้นคนไทยชิลล์ๆ กับเรื่องเพศ มีแค่แนะนำว่าอย่าท้องก่อนแต่งมันจะลำบากนะ
ส่วนคำว่าพรหมจารีย์นั้นสมัยก่อน ใช้ในความหมายการสละโลกีย์วิสัยไปถือเพศพรหมจรรย์อันบริสุทธิ์ ผู้ชายผู้หญิงก็ถือเพศพรหมจรรย์ได้
2
ชาววิคตอเรียนมีความเชื่อแบบฝรั่งโบราณว่าการหมกหมุ่นเรื่องเพศเป็นบาปราคะ หรือหนึ่งในบาปเจ็ดประการที่ทำให้ห่างไกลจากพระเจ้า ดังนั้นสาธุชนจึงควรกดดันความต้องการทางต่ำเอาไว้
และนั่นนำมาสู่ความเชื่อประหลาดเรื่องที่ 1 ที่ว่า "ผู้หญิงมีสองแบบ ถ้าไม่ใช่ผู้หญิงบริสุทธิ์ที่ควรนับถือ ก็คือผู้หญิงเลวๆ บ้าเซ็กส์ไปเลย"
ถ้าผู้หญิงทำอะไรผิดผีผิดเช่นท้องก่อนแต่ง เธอจะถูกมองว่าเป็นคนชั่วช้ามัวเมาในกิเลศ และถูกลดสถานะทางสังคมทันที
นั่นทำให้ผู้หญิงวิคตอเรียนที่ท้องก่อนแต่งมีปัญหามาก ต้องเอาลูกไปฝากชาวนาเลี้ยง หรือในเคสร้ายแรงถึงกับฆ่าลูกก็มี
เรื่องประหลาดที่ 2 ชาววิคตอเรียนเชื่อว่า "การสำเร็จความใคร่ด้วยตนเองจะทำให้เจ็บป่วย"
มีเอกสารทางการแพทย์มากมายบอกชัดว่าถ้าเราปล่อยให้บุตรหลานสำเร็จความใคร่มากเกินไป เขาจะค่อยๆ สุขภาพเสื่อมโทรมจนตาย
แต่ไม่ต้องห่วงเรามีเครื่องมือช่วย!
ชาววิคตอเรียนพัฒนาอุปกรณ์มากมายมาหุ้มจู๋บุตรหลานวัยรุ่นเอาไว้ อย่างตัวในภาพนี้ชื่อ Jugum Penis ถ้าอวัยวะเพศเกิดแข็งขึ้นมามันจะทิ่มเจ็บมาก จนต้องอ่อนตัวลงเอง
เรื่องประหลาดที่ 3 ชาววิคตอเรียนเชื่อว่า "ตนเองมีศีลธรรมดีเลิศ ตรงข้ามกับพวกตะวันออกกลางที่ป่าเถื่อน"
พวกฝรั่งยุคนั้นคิดว่าแขกมุสลิมเป็นชนชาติที่ฝักใฝ่ในกามราคะ เปิดฮาเร็มสะสมสาวๆ นุ่งน้อยห่มน้อย ช่างชั่วช้าป่าเถื่อนผิดผี ตรงข้ามกับสาวผู้ดีฝรั่งซึ่งคลุมมิดตั้งแต่หัวจดเท้า (มีการเอาภาพฮาเร็มในจินตนาการมาวาดเป็นภาพนู๊ดหลายภาพ จริงๆ ก็แอบอิจฉาอยู่สินะ)
ปัจจุบันเมื่อฝรั่งมีความคิดเปลี่ยนไป ผู้หญิงแต่งตัวแบบนี้ออกนอกบ้านก็ไม่มีใครว่า
พวกเขาก็กลับคิดว่าสาวตะวันออกกลางที่คลุมตั้งแต่หัวจดเท้านั้นช่างป่าเถื่อนผิดผีแทน ...โอ ช่างย้อนแย้งยิ่งนัก
นี่ไม่นับว่าฮาเร็มในโลกของความจริงนั้นมันเป็นประมาณนี้นะ (ขอโทษที่ทำลายความฝันทุกคน อ่านเพิ่มเติมได้ในบทความเรื่องความงามของเจ้าหญิงจาก ตาม link ใน comment)
เรื่องประหลาดที่ 4 ชาววิคตอเรียนเชื่อว่า "การมีเซ็กส์มากกว่าอาทิตย์ละสองครั้งจะทำให้เจ็บป่วย"
อันนี้ก็มาแนวเดียวกับเรื่องห้ามสำเร็จความใคร่ด้วยตนเอง ใครที่มีเซ็กส์มากเกินไป อาจถูกบาปตัณหาพาให้เป็นบ้า
ในหนังสือ "Sex Tips For Husbands and Wives" ของ Ruth Smythers ถึงกับมีคำสอนภรรยาว่าให้หลีกเลี่ยงความหื่นของสามียังไง เช่นถ้าเขาจะจูบปากก็ให้หันแก้มให้ หรือถ้าเขาทำรุ่มร่ามก็ให้แกล้งขอตัวเข้าห้องน้ำ
เรื่องประหลาดที่ 5 "โสเภณีเป็นชนชั้นอันชั่วร้าย" ...การที่โสเภณีถูกมองว่าชั่วร้ายนั้นไม่ใช่เพราะแค่ถูกมองว่าบ้าเซ็กส์
ในยุคนั้นผู้หญิงตกอยู่ใต้การปกครองของผู้ชายตลอดชีวิต ไม่ได้ถูกฝึกให้ทำมาหากินดีๆ ใครสามีไม่ดีหรือถูกทิ้งจึงลำบากมาก โสเภณีที่หากินกับความใคร่ของผู้ชาย กลับเป็นหนึ่งในไม่กี่พวกที่ "มีอิสระ" จากเรื่องดังกล่าว พวกเธอหากินด้วยลำแข้งตนเอง ไม่ต้องพึ่งพาใคร ซึ่งเป็นสิ่งที่อยู่นอกบริบทอันดีของวิคตอเรียนโดยสิ้นเชิง
เรื่องประหลาดที่ 6 "รักร่วมเพศเป็นของผิดกฎหมาย"
คงไม่ต้องอธิบายมากว่าในสังคมผู้ชายเป็นใหญ่นั้น เกย์ กระเทย เลสเบียนมักเป็นเรื่องไม่ถูกต้องอยู่แล้ว นี่ทำให้เกิดการจับกุมออสการ์ ไวลด์ นักเขียนชื่อดังที่เป็นเกย์
อย่างไรก็ตามยุคดังกล่าวก็มีความเปลี่ยนแปลงทางสังคมหลายด้าน และส่วนหนึ่งก็คือการเริ่มมีการโต้เถียงเรื่องนี้อย่างจริงจังด้วย
เรื่องประหลาดเรื่องที่ 7 "ถ้าเต้นรำหลังมีเซ็กส์แล้วจะไม่ท้อง"
นี่ก็เป็นเรื่องนึงของความเชื่อทางแพทย์แปลกๆ ในยุคโบราณ คงพอๆ กับหากมีอารมณ์หื่นแล้วให้ไปเตะบอลจะหายหื่น
เรื่องประหลาดที่ 8 "สุภาพบุรุษควรหลีกห่างมัสตาร์ด น้ำเกรวีข้น พริกไทย และเบียร์" เพราะของพวกนี้ทำให้บ้าเซ็กส์
ถ้ากินซูชิแล้วเสพวาซาบิมากเกินไปจะนำสู่การมีเซ็กส์ หรือสำเร็จความใคร่ด้วยตัวเอง ทำให้เจ็บป่วยเป็นบ้านะจ๊ะ
...ยุคนั้นมีค่านิยมในการสอนความรู้ทางเพศให้แก่เด็ก แต่จากเรื่องการเต้นรำ และวาซาบิก็ชี้ให้เห็นว่าพวกเขาสอนผิดบ้าง สอนไม่หมดบ้าง ทำให้เด็กโตไปแล้วมีปัญหาพอสมควรในการเอาไปใช้จริง (เช่นผู้หญิงมักไม่ได้รับการสอนในวิธีการร่วมเพศจริง พอถึงงานเข้าหอคืนแรกแล้วช็อคกันพอควร)
เรื่องประหลาดที่ 9 "ผู้ชายควรมีความเท่าเทียมทางเพศกับผู้หญิง" ...จริงๆ แล้ววิคตอเรียนเป็นยุคแรกๆ ที่เริ่มมีการพูดคุยเรื่องสิทธิสตรี
เนื่องจากผู้ชายยุคนั้นมีข้อได้เปรียบผู้หญิงหลายอย่าง เช่นไปมั่วโสเภณีก็ไม่ค่อยมีใครว่า แต่ผู้หญิงแค่ท้องก่อนแต่งกลับโดนโทษหนัก ทำให้เกิดกลุ่มสิทธิสตรีขึ้นเรียกร้องให้แก้ไขค่านิยมดังกล่าว
แต่แทนที่จะเรียกร้องให้ผู้หญิงมีสิทธิมากขึ้น พวกเธอกับเรียกร้องให้ผู้ชายต้องมาถือพรหมจารีย์เหมือนผู้หญิง ก็ไม่รู้แก้ไขถูกทางหรือเปล่า?
เรื่องที่ 10 "จริงๆ ชาววิคตอเรียนก็รำคาญค่านิยมทางเพศของตนเองเหมือนกัน"
พวกเขารำคาญที่จะต้องอยู่ในกรอบอย่างนู้นอย่างนี้ ถึงกับสร้างตัวละครชื่อ Mrs. Grundy เป็นสตรีหัวอนุรักษ์ในจินตนาการที่จะคอยมาวิจารณ์คนทุกคนที่ทำตัวผิดผี
มีประโยคติดปากพูดกันด้วยความระอาว่า "อย่าทำอย่างนั้นนะ เดี๋ยว มิสซิสกรันดีเอาไปนินทา" "อย่าทำอย่างนี้นำเดี๋ยวมิสซิสกรันดีเอาไปดูถูก"
จริงๆ มิสซิสกรันดีนั้นมิใช่มนุษย์ แต่หมายถึง "ค่านิยม" ที่กดดันทุกคนไว้ต่างหาก...
ค่านิยมหลายอย่างเราเชื่อว่ามันถูกต้องโดยไม่สงสัย แต่พอเปลี่ยนเวลาและสถานที่ ความถูกต้องนั้นกลับสามารถเปลี่ยนไปได้เรื่อยๆ
...ค่านิยมที่ดี ช่วยให้สังคมสงบสุขมีระเบียบ แต่บางครั้งค่านิยมกลับทำให้คนในสังคมเป็นทุกข์โดยที่คนก็ยังคงต้องเชื่อและยอมรับตามๆ กันไป เพียงเพราะไม่อยากแตกแถว
ฝ่ายอนุรักษ์นิยมของไทยอาจต้องมาทบทวนว่าค่านิยมเช่นเรื่องการเชื่อมคุณค่าของผู้หญิงกับการรักษาพรหมจารีย์ เป็นค่านิยมอันดีงามของไทยโบราณ หรือเป็นค่านิยมของฝรั่งที่ฝรั่งทอดทิ้งไปแล้ว และแท้จริงค่านิยมนี้ให้ผลดีผลเสียอย่างไร?
...การเปลี่ยนแปลงที่ทำให้โลกพัฒนาขึ้นแต่ละครั้ง ก็มักเริ่มจากการที่มีคนเริ่มตั้งข้อสงสัยในค่านิยมดั้งเดิมของตนใช่หรือไม่?...
::: ::: :::
สนใจเรื่องประวัติศาสตร์ สงคราม เรื่องต่างประเทศ กดติดตามเพจ The Wild Chronicles - เชษฐา https://www.facebook.com/pongsorn.bhumiwat ได้เลยครับ
โฆษณา