1 ก.ค. 2020 เวลา 09:06 • ครอบครัว & เด็ก
ลูกคุณไม่ได้น่ารักสำหรับทุกคน....
วันก่อนได้ไปนั่งกินข้าวในร้านอาหารแห่งหนึ่ง
 
ภายในร้านสังเกตเห็นมีโต๊ะข้างๆใกล้ๆกันพาลูกชายมาด้วย แต่คนที่เป็นแม่มัวแต่คุยกับเพื่อนๆโดยไม่ได้ใส่ใจกับลูกของตัวเองซึ่งอายุประมาณ 4 ขวบ
ปล่อยให้ลูกวิ่งเล่นเสียงดัง ชนเก้าอี้บ้าง เดินไปเบียดโต๊ะอื่นบ้าง
หนักๆคือทำท่าไปหยิบอาหารของโต๊ะอื่นมากิน จนเพื่อนๆของแม่ของเด็กคนนั้นที่มาด้วยกันห้ามกันเสียงหลง
คนเป็นแม่ดึงลูกเข้ามากอดแล้วพูดกับเพื่อนร่วมโต๊ะว่า”เขาไม่กล้าตีลูก เพราะกลัวลูกจะเสียใจ”
เมื่อเพื่อนๆที่มาด้วยกันช่วยกันดุเด็กคนนั้นว่าคราวหลังอย่าทำแบบนั้นอีก
เด็กคนนั้นกลับถ่มน้ำลายใส่เพื่อนของแม่และไปผลักเก้าอี้ จนเกือบล้ม
คนเป็นแม่ทำท่าตบปากลูกเบาๆ
เมื่อแม่พาลูกไปเข้าห้องน้ำ เพื่อนที่นั่งร่วมโต๊ะด้วยกันก็พูดกับเพื่อนที่มาด้วยกันอีกคนว่า”ต่อไปคงไม่กล้าไปไหนพร้อมกับแม่ลูกคนนี้อีก แถมโต๊ะข้างๆก็มาสำทับว่าเลี้ยงลูกแบบนี้ไม่ไหว ปล่อยให้รบกวนคนอื่นไปทั่ว
เหตุการณ์นี้ทำให้มองย้อนถึงปัญหาที่ถกเถียงกันอย่างกว้างขวางในสังคมไทยในไม่กี่ปีที่ผ่านมาว่า
”การทำโทษด้วยการตีเด็กเพื่อสั่งสอนยังมีความจำเป็นอยู่มั้ย”
ในความคิดผม คิดว่ายังคงมีความจำเป็น หากการตีนั้นประกอบด้วยเหตุผลไม่ใช้อารมณ์
เพราะผมและภรรยาจะสอนลูกๆเสมอว่า”ไม่มีใครอยากตีลูกหรอก”
แต่บางครั้งการพูดซ้ำๆแล้วลูกยังไม่เปลี่ยนพฤติกรรมนั้นแสดงว่าลูกไม่เรียนรู้และไม่ใส่ใจที่จะจดจำ
เพราะฉะนั้นที่พ่อหรือแม่ต้องตีลูกนั้นเป็นการตอกย้ำให้ลูกได้จดจำในสิ่งที่พ่อแม่ได้สอนไปแล้ว
ซึ่งปกติเราทั้งสองคนจะไม่ตีลูกตอนที่ลูกทำผิดตอนนั้นเลย แต่จะกลับไปเช็คบิลภายหลังตอนที่ทั้งเราและลูกอารมณ์ดีๆ
ซึ่งบางครั้งอาจจะเปลี่ยนจากการตีเป็นการลงโทษแบบอื่นแทนเช่นวิดพื้น
เพราะเด็กหากไม่ได้บทเรียนจากการกระทำผิด เด็กก็จะคิดว่าสิ่งที่เขาทำไม่ใช่สิ่งที่ผิด เพราะไม่มีผลตามมาจากการกระทำของเขา เด็กก็จะไม่เรียนรู้และเปลี่ยนพฤติกรรม แต่ก็ไม่ใช่ว่าจะสามารถตีลูกได้พร่ำเพรื่อโดยไม่มีเหตุ
แต่จะดีกว่าถ้าไม่ต้องตี..
ครั้งหนึ่งทิกเกอร์อยากได้ของเล่นเป็นรถขุด พยายามขอให้ซื้อให้
แต่เราทั้งสองคนไม่ยอมซื้อให้และบอกกับทิกเกอร์ว่าในหัองเก็บของยังมีอยู่ หากไม่มีเดี๋ยวจะพาทิกเกอร์กลับมาซื้อในตัวเมืองเลย
เมื่อกลับถึงบ้านทิกเกอร์ก็ไปค้นหาของเล่นในห้องเก็บของหลายชั่วโมงแต่ไม่พบของที่ต้องการ
ทิกเกอร์จึงมาทวงถามสัญญาขอให้ขับรถกลับมาในตัวเมืองเพื่อซื้อของเล่นให้ซึ่งตอนนั้นเป็นเวลาดึกแล้ว
แม่เขาบอกว่าไม่ซื้อให้แล้วเพราะซื้อมาทิกเกอร์ก็ทิ้งเพ่นพ่าน ไม่รักษาของ
ด้วยความโกรธทิกเกอร์จึงวิ่งออกไปนอกบ้านปิดประตูเสียงดัง แล้วไปแอบที่มืดๆ
เมื่อแม่เขาเดินตามกลับให้เข้าบ้าน ทิกเกอร์บอกไม่กลับเพราะแม่โกหกเขา
แม่เขาจึงหยิบไม้เพื่อจะตีทิกเกอร์ แต่เหมือนคิดได้จึงวางไม้ลงแล้วเดินเข้าไปคุยกับทิกเกอร์ว่า”ทุกวันนี้แม่มีค่าใช้จ่ายเยอะมาก ต้องออกไปทำงานตั้งแต่หกโมงเช้า กว่าจะเลิกงานก็หกโมงเย็น เพื่อหาเงินมาให้ทิกเกอร์ไปโรงเรียน
หากทิกเกอร์อยากได้ของเล่น ทิกเกอร์ก็ต้องทำงานเก็บเงินเพื่อซื้อเอง ถึงตอนนั้นหากทิกเกอร์อยากซื้ออะไรก็ไม่มีใครว่า เริ่มต้นด้วยช่วยย่าเก็บผัก ช่วยงานบ้านก็ได้
ซึ่งทิกเกอร์ก็เข้าใจและยอมเดินกลับข้าวบ้านแต่โดยดี
แต่สักพักก็วิ่งออกมาไปบ้านคุณปู่ ไปถามปู่ว่ากินข้าวหรือยังไม่งั้นทิกเกอร์จะเอาน้ำพริกที่ปู่ชอบกินมาให้
แล้วทิกเกอร์ก็วิ่งกลับมาเอาน้ำพริกที่บ้านไปให้คุณปู่
เมื่อไปถึงทิกเกอร์บอกกับปู่ว่า”ขอเก็บเงินค่าน้ำพริก 200 บาท” ทิกเกอร์ต้องเก็บเงินไว้ไปซื้อของเล่น
เมื่อทิกเกอร์ได้เงินมาก็นำมาอวดน้อง
ตอนนี้ข้าวของในบ้านแทบทุกอย่างทิกเกอร์กับไทเกอร์ขนไปขายบ้านปู่หมดแล้ว..!!!
โฆษณา