4 ก.ค. 2020 เวลา 11:30 • ไลฟ์สไตล์
#RECeiverxLIFEinModernTimes: The REC.
👦 มิลเลนเนียลส์ กับการเปลี่ยนแปลงที่กำลังจะมา
.
.
.
(digi-minism)
นักการตลาดวิเคราะห์ว่า อีกในไม่ถึง 10 ปี คนมิลเลนเนียลส์จะเป็นกลุ่มคนที่จะขับเคลื่อนโลก และจะเป็นกำลังที่มาแทนที่คนในทุกเจเนอเรชั่น หรือเรียกได้ว่าคนยุคมิลเลนเนียลส์นี้แหละ ที่จะมาขับเคลื่อนโลกต่อจากคนยุคก่อน ทั้งทางเศรษฐกิจ สังคม และเทคโนโลยี ประเมินคร่าว ๆ ไว้ว่าทั่วทั้งโลก มีมิลเลนเนียลส์มากถึง 1,800 ล้านคน และสำหรับประเทศไทยมีมิลเลนเนียลส์ประมาณ 20 ล้านคน
.
คนเหล่านี้ต้องการสร้างความแตกต่างออกไปจากสังคม หรือต้องการที่จะออกนอกกรอบเป็นตัวของตัวเองที่มีเอกลักษณ์ (Uniqueness) หรือเรียกง่าย ๆ ว่าเป็นตัวของตัวเองสูง
.
ส่งผลทั้งต่อการทำงานขององค์ที่จะเปลี่ยนไป องค์กรควรยอมรับและให้การปรับเปลี่ยนอย่างสมดุล เพื่อประโยชน์ที่สุดของตัวองค์กรเอง และที่สำคัญคือด้านการใช้ชีวิต วิถีชีวิตและวัฒนธรรมในอนาคตก็จะเปลี่ยนแปลงไปอย่างมาก การวิจัยล่าสุดพบว่ากว่า 55% ของคนมิลเลนเนียลส์มองว่าการแต่งงาน และการมีลูกไม่ใช่เรื่องสำคัญ มิลเลนเนียส์ให้ความสำคัญกับเงิน มากกว่าด้านอื่น ๆ และให้ความสนใจด้านสุขภาพน้อยที่สุด
.
โลกที่หมุนไปในทุกวัน ก็ย่อมมีวันที่เปลี่ยงแปลงไปตามกาลเวลา อยู่ที่ว่า เราเข้าใจ เรียนรู้ และปรับตัวให้ทันกับโลกยุคปัจจุบันมากน้อยแค่ไหน ก็ย่อมส่งผลดีต่อเรามากเท่านั้น
.
.
.
(Digi-Full)
คำว่า “มิลเลนเนียลส์” (Millennials) เริ่มมีบทบาทที่สำคัญต่อโลกมากยิ่งขึ้น และเพิ่งเป็นที่นิยมใช้เรียกกัน เพราะเป็นการบัญญัติศัพท์ขึ้นมาเพื่อบ่งบอกให้เด่นชัดตายตัว ว่าการเปลี่ยนแปลงของโลกที่กำลังจะเกิดขึ้น เพราะเกิดจากกลุ่มคนมิลเลนเนียลส์
.
คนยุคมิลเลนเนียลส์ (Millennials) คือกลุ่มคนที่ซ้อนทับกลุ่มคน GEN Y ที่เราเคยได้ยินกันบ่อย ๆ
ซึ่งทาง ศูนย์วิจัยพิว (Pew Research Center) แห่งอเมริกา ได้กำหนดกลุ่มคนนิยามช่วงอายุไว้ว่า คนยุคมิลเลนเนียลส์ คือคนที่เกิดในช่วงปี ค.ศ. 1981 (พ.ศ.2524) ไปจนถึง 1996 (พ.ศ.2529) แต่ทางสำมะโนประชากรของสหรัฐฯ (Seal of the United States Census Bureau) นั้นระบุว่าคนยุคมิลเลนเนียลส์คือคนที่เกิดในในช่วงปี ค.ศ. 1982 (พ.ศ.2525) ไปจนถึง 2000 (พ.ศ.2543)
.
และทาง The REC. ทำการสรุปจากแหล่งข้อมูลต่าง ๆ กลุ่มคนมิลเลนเนียลส์คือกลุ่มคนที่เกิดในช่วงปี 1980 – 1997 ที่ระบุไว้ในบทความ - A Generation: คนแต่ละเจนเนอเรชั่น (สามารถเข้าไปอ่านเพิ่มเติมได้ที่ : https://www.facebook.com/media/set/?vanity=Therecmeme&set=a.137607941256727)
.
ซึ่งทางศูนย์วิจัยพิว ได้ยกตัวอย่างประสบการณ์ร่วมที่ใช้เป็นเกณฑ์ในการกำหนดช่วงอายุของคนยุคมิลเลนเนียลส์ เช่น กลุ่มคนที่เติบโตมาในเหตุการณ์ 9/11 เชื่อมโยงไปถึงสงครามอัฟกานิสถานและอิรัก และการมีส่วนร่วมในการเลือกตั้งประธานาธิบดีผิวสีคนแรก บารัค โอบาม่า และเหตุการณ์ต่าง ๆ ที่สื่อถึงการเปลี่ยนแปลงไปของโลกยุคสมัยใหม่ ทั้งการเปลี่ยนผ่านในช่วงของยุคแอนะล็อก (Analogue) ไปสู่ยุคอินเทอร์เน็ต (Internet) การปฏิวัติทางคอมพิวเตอร์ และยุคการเข้ามาเปลี่ยนเทคโนโลยีการสื่อสารอย่างไอโฟน และการเกิดขึ้นของ Wi-Fi ซึ่งสามารถบอกได้ว่าเป็นการเปลี่ยนแปลงจากโลกยุคเก่า สู่โลกยุคใหม่เลยก็ว่าได้
.
ทาง Badgeville จึงสรุปกลุ่มคนมิลเลนเนียลส์ไว้อย่างง่าย ๆ ว่า คนที่อายุระหว่าง 16-34 ปี (นับปี 2020 นี้) ซึ่งเป็นกลุ่มคนที่เกิดจากคนยุค GEN X และมาก่อนคนยุค GEN Z ที่เป็นเด็กวัยรุ่นในยุคนี้หรืออายุน้อยกว่า 16 ปี
.
โดยนักการตลาดวิเคราะห์ว่า อีกในไม่ถึง 10 ปี คนมิลเลนเนียลส์จะเป็นกลุ่มคนที่จะขับเคลื่อนโลก และจะเป็นกำลังที่มาแทนที่คนในทุกเจเนอเรชั่น หรือเรียกได้ว่าคนยุคมิลเลนเนียลส์นี้แหละ ที่จะมาขับเคลื่อนโลกต่อจากคนยุคก่อน ทั้งทางเศรษฐกิจ สังคม และเทคโนโลยี เฉพาะในสหรัฐอเมริกาเอง ประชากรกลุ่มมิลเลนเนียลส์ มีมากถึงกว่า 76 ล้านคน คิดเป็นสัดส่วนถึง 27.4% ของประชากรทั้งอเมริกา และประเมินคร่าว ๆ ไว้ว่าทั่วทั้งโลก มีมิลเลนเนียลส์มากถึง 1,800 ล้านคน และสำหรับประเทศไทยมีมิลเลนเนียลส์ประมาณ 20 ล้านคน
.
คนยุคมิลเลนเนียลส์ (Millennials) มีลักษณะนิสัยที่แตกต่างจากกลุ่มคนเจเนอเรชั่นอื่น ๆ เพราะเทคโนโลยีที่ก้าวไกล ทำให้คนมีลักษณะนิสัยที่เปลี่ยนไป ทำให้กลุ่มคนเหล่านี้นิยมใช้โซเชียลมีเดียมากขึ้น เข้าถึงข้อมูล ผู้คน และประสบการณ์อื่น ๆ มากขึ้น ทำให้คนกลุ่มมิลเลนเนียลส์ มีลักษณะนิสัยที่แตกต่างออกไป
.
คนเหล่านี้ต้องการสร้างความแตกต่างออกไปจากสังคม หรือต้องการที่จะออกนอกกรอบเป็นตัวของตัวเองที่มีเอกลักษณ์ (Uniqueness) หรือเรียกง่าย ๆ ว่าเป็นตัวของตัวเองสูง มองโลกในแง่ดีกว่าคนยุคก่อน และมองหาโอกาสใหม่ ๆ อยู่เสมอ รักอิสระไม่อยากให้ใครมากำหนดหรือบังคับ และไม่ยึดติด มองอนาคตมากกว่าปัจจุบัน ไม่ชอบทำงานบริษัท หรือทำงานบริษัทไม่เกิน 3 ปี คิดว่าการสร้างเนื้อสร้างตัวขึ้นมาด้วยตัวเอง เป็นเรื่องจำเป็นและภูมิใจกว่า
.
คนมิลเลนเนียลส์ แบ่งความสำคัญในชีวิตออกเป็น 5 ส่วนใหญ่
เงิน - 30 %
งาน - 25 %
เพื่อน/สังคม - 20 %
ครอบครัว/คนรัก - 18 %
สุขภาพ - 7 %
.
ซึ่งเราสามารถมองได้อย่างชัดเจนว่าคนมิลเลนเนียลส์ มองว่าเรื่องของเงินสำคัญที่สุดในชีวิต ตามมาด้วยเรื่องงาน ซึ่งไม่จำเป็นต้องทำงานบริษัท เพราะการศึกษาที่สูงขึ้น และค่านิยมไปเปลี่ยนไป ทำให้คนมิลเลนเนียลส์มองว่าการที่ได้ทำอะไรในแบบที่ตัวเองอยากทำคือความสุข และเป็นการเรียกคืนความเป็นตัวของตัวเอง แสดงถึงจุดนืรของตัวตนของคนมิลเลนเนียลส์
.
หนุ่มสาวอเมริกันประมาณ 24 ล้านคน ยังอาศัยอยู่ที่บ้านพ่อแม่เพิ่มมากขึ้น แตกต่างจากในอดีตที่ชาวอเมริกันเมื่อเข้าสู่วัยหนุ่มสาวจะเริ่มแยกจากครอบครัว เป็นผลมาจากการแต่งงานช้าลง
.
และคนมิลเลนเนียลส์มองว่าเป็นส่วนสำคัญน้อยที่สุดก็คือเรื่องสุขภาพ เพราะคนมิลเลนเนียลส์มองว่าร่างกายนับวันก็ยิ่งแก่ลงและทรุดโทรมไปตามธรรมดา และธรรมชาติของมนุษย์ คนมิลเลนเนียลส์มองว่าเพื่อนหรือสังคม ในบางครั้งสำคัญกว่าความรัก คนรัก และครอบครัว คนมิลเลนเนียลส์มองว่า หากมีเพื่อนที่ดี และสังคมที่ลงตัวแล้ว ก็ไม่จำเป็นจะต้องหาคนรัก
.
จากการวิจัยล่าสุดพบว่ากว่า 55% ของคนมิลเลนเนียลส์มองว่าการแต่งงาน และการมีลูกไม่ใช่เรื่องสำคัญ ซึ่งทัศนคติดังกล่าวแตกต่างจากค่านิยมเมื่อ 40 ปีที่แล้ว โดยในปี 1975 ประชากร 8 ใน 10 คน ที่เข้าสู่วัย 30 ปี จะแต่งงานและสร้างชีวิตครอบครัว ขณะที่ปัจจุบันพบว่า 8 ใน 10 คนจะแต่งงานเมื่อเข้าสู่วัย 45 ปี
.
และอีกหลากลายความเปลี่ยนแปลงที่คนในยุคปัจจุบันต้องรับมือกับการความเปลี่ยนแปลง ของคนมิลเลนเนียลส์ ที่จะส่งผลต่อโลกในอนาคต
.
โดยเฉพาะที่เห็นได้ในปัจจุบันคือ การทำงานบริษัท ที่คนมิลเลนเนียลส์หลายคน สร้างชื่อเสียงในด้าน ไม่อดทนกับงาน ไม่จงรักภักดี และไม่ให้ความเคารพต่อหัวหน้าเท่าที่ควร นั้นก็เพราะการเปลี่ยนแปลงของโลกที่เร็วและไว เพราะฤทธิ์ของโซเชียลมีเดีย อาจจะส่งผลให้คนสมาธิสั้น และจดจ่อกับอะไรไม่ได้มาก
.
ผลสำรวจของคนมิลเลนเนียลส์ (Millennial Survey) จาก Deloitte บริษัทที่ปรึกษาธุรกิจและตรวจสอบบัญชีชั้นนำของโลก ซึ่งทำการสำรวจประชากรหนุ่มสาวกว่า 8,000 คนใน 30 ประเทศ ที่มีคุณสมบัติตรงตามคุณลักษณะคนมิลเลนเนียล
.
พบว่า เมื่อเปรียบเทียบกับผลสำรวจของปี 2016 แล้ว คน GEN Y ในปี 2017 กลับมีแนวโน้มเรื่องความจงรักภักดีต่อองค์กรที่มากขึ้น มีความเป็นพลเมืองตื่นรู้ (Active Citizen) หรือพลเมืองที่สนใจเรื่องราวเกี่ยวกับสังคม การเมือง สิ่งแวดล้อมมากขึ้น และให้ความสำคัญต่อการพัฒนาสังคมที่พวกเขาอยู่อาศัยควบคู่ไปกับความสำเร็จของบริษัท
.
80% ของคนมิลเลนเนียลส์ คือผู้ที่ยอมรับไม่ได้ที่บริษัทกระทำการในเชิงลบ เช่น ปล่อยสารเคมีที่ยังไม่ผ่านการบำบัดลงแม่น้ำ กินสินบท การรับแรงงานต่างด้าวอย่างผิดกฏหมาย พวกเขากระตือรือร้นสนใจในประเด็นเกี่ยวกับสังคมส่วนรวม ความเป็นอยู่ขั้นพื้นฐาน สิทธิมนุษยชน สิ่งแวดล้อม
.
76% ของคนมิลเลนเนียลส์ให้ความสำคัญต่อการเลือกบริษัท ที่มีธรรมาภิบาลและมีความรับผิดชอบต่อสังคมส่วนรวม และถึงแม้คนกลุ่มนี้จะชอบการทำงานที่มีความยืดหยุ่นในทุกด้าน ไม่ว่าจะเป็นเรื่องเวลา รูปแบบการทำงาน หรือวัฒนธรรมภายในองค์กรก็ตาม แต่ต้องอยู่ภายใต้เงินเดือนที่เหมาะสมและมั่นคง
.
พบว่าเมื่อเปรียบเทียบกันระหว่างบริษัทที่มีความยืดหยุ่นมากและยืดหยุ่นน้อย บริษัทที่มีความยืดหยุ่นมากมีอัตราส่วนพนักงานที่ทำงานระยะ 2 – 5 ปี และมีพนักงานที่อยู่ยาวนานเกินกว่า 5 ปีในอัตรา 35% ต่อ 33% ขณะที่บริษัทที่ยืดหยุ่นน้อยมีพนักงานที่ทำงานระยะสั้น 2 – 5 ปี 45% ขณะที่พนักงานซึ่งอยู่ยาวนานเกินกว่า 5 ปีลดลงเหลือเพียง 27% เท่านั้น ซึ่งนั่นก็เป็นข้อพิสูจน์ให้เห็นแล้วว่า การที่ความเป็นเอกลักษณ์ของคนมิลเลนเนียลส์ รักอิสระ ไม่อยู่กับกรอบ บริษัทไหนที่เข้าใจการเปลี่ยนแปลง และรับมือกับมันได้ ก็จะได้คนรุ่นใหม่ไฟแรง ที่จะเป็นแรงขับเคลื่อนองค์กร และโลกให้อยู่กับเรา
.
แม้ปัจจุบัน ประชาชนชาวมิลเลนเนียลส์ จะโดนวิกฤติทางชีวิตมากถึงสองครั้ง จนถูกขนานนามว่าเป็นรุ่นที่สองของ ‘เจนสูญหาย’ หรือ Lost Generation (อ่านบทความเพิ่มเติมได้ที่ : https://www.facebook.com/Therecmeme/photos/a.104879917862863/135445264806328)
.
ไม่ว่ามนุษย์คนไหนก็ตาม ทั้งยุคเก่ายุคใหม่ GEN X, GEN Y, GEN Z หรือคนมิลเลนเนียลส์ เองก็ตามล้วนแล้วแต่มีข้อดีข้อเสียด้วยกันทั้งหมด และโลกที่หมุนไปในทุกวัน ก็ย่อมมีวันที่เปลี่ยงแปลงไปตามกาลเวลา อยู่ที่ว่า เราเข้าใจ เรียนรู้ และปรับตัวให้ทันกับโลกยุคปัจจุบันมากน้อยแค่ไหน ก็ย่อมส่งผลดีต่อเรามากเท่านั้น
.
ในเรื่องของการทำงานและการใช้ชีวิต ไม่ว่าจะคนเจเนอเรชั่นไหนก็ตาม การเหมารวมถึงคนในยุคนั้น ๆ ก็เป็นเพียงแค่ข้อที่ตั้งบรรทัดฐานบางอย่างขึ้นมาเท่านั้น อาจจะไม่ได้เฉพาะเจาะจงไปถึงตัวบุคคลโดยตรง เพราะนิสัยใจคอก็เป็นเรื่องนิสัยของใครของมันเหมือนกัน และการใช้ชีวิตก็เป็นเรื่องของใครของมันเช่นเดียวกัน แต่ไม่ว่าจะคนรุ่นเจเนอเรชั่นไหนก็ตาม ก็ขอให้ชีวิตให้คุ้มค่า และเป็นประโยชน์ต่อโลกของเรา
.
.
.
P. Wissanuwat : Write
N. Wongarun : illustration
.
.
.
INFO
Wikipedia
.
.
.
📌 ติดตามช่องทางของ The REC. เพื่อรับข้อมูลข่าวสารให้ครบถ้วน และให้กำลังใจพวกเราได้ที่
➖Spotify : (-)
➖Apple Podcasts : (-)
➖SoundCloud : (-)
@Therecmeme
#TheREC. - records meme idea direct to you
โฆษณา