2 ก.ค. 2020 เวลา 09:34
Review: The Last of Us Part II
เมื่อเล่นจบก็ถึงเวลารีวิวเสียที
*คำเตือน รีวิวนี้มีการสปอยล์เนื้อหาสำคัญของเกม*
ในช่วงท้ายของการรีวิว ใครยังไม่อยากรู้กดข้ามเลยนะจ๊ะ (จะเตือนอีกครั้งเมื่อเข้าสปอยล์ครับ)
The Last of Us Part II เป็นเกมภาคต่อจาก The Last of Us ที่ลงให้กับเครื่อง PS3 เมือปี 2013 และพอร์ทลง PS4 อีกครั้งในปี 2014 ถ้านับจากคนที่เล่นเมื่อเกมวางตลาดครั้งแรก ก็ห่างจากภาคที่แล้วเจ็ดปีพอดีครับ โดยส่วนตัวแล้วจารย์ได้เล่นในเวอร์ชั่น PS4 และเป็นเกมแรกที่ฉลองเครื่องเลยครับ
แนวทางเป็นเกมแอคชั่นแนว distopia ผจญภัยไปในโลกที่เต็มไปด้วยผู้ติดเชื้อ (infected) และบรรดาผู้รอดชีวิตที่ต่างรวมกันเป็นกลุ่มก้อนเพื่อเอาตัวรอด หรือมีจุดประสงค์บางอย่าง การต่อสู้ทำได้ตั้งแต่มือเปล่า อาวุธตี ปืน ธนู สารพัด ทำให้ผู้เล่นมีอิสระในการต่อสู้ตามแนวทางของตนเอง จะเป็นแบบลอบเร้นเงียบๆ (แนะนำแบบนี้เพราะจะทำให้ตายยากขึ้น) หรือจะบู๊แหลก (ต้องมีฝีมือหน่อย) ส่วนตัวแล้วผมจะพยายามลอบเร้น แต่ก็แตกทุกที จบลงด้วยการยิงกันสนั่นหวั่นไหวเสมอ
ในภาคแรกทำมาตรฐานเอาไว้สูงมากครับ ทั้งกราฟฟิก เสียงประกอบ เกมเพลย์ และเนื้อเรื่อง เรียกได้ว่าเหมือนดูหนังดีๆ สักเรื่องหนึ่งเลย
มาเริ่มรีวิวภาคนี้กันดีกว่า
เริ่มกันที่เกมเพลย์ครับ 10/10 เลย
เกมเพลย์หลักๆ ยังคงยกมาจากภาคที่แล้วครับ คือ มีการต่อสู้ด้วยมือเปล่า อาวุธตี และอาวุธยิง โดยการโจมตีหลักๆ ของศัตรูถ้าเป็นพวก infected ก็จะพุ่งเข้ามาประชิดตัว ส่วนศัตรูที่เป็นคนก็มีอาวุธหลากหลายเหมือนๆ เรานี่แหละครับ สิ่งที่ระบบการต่อสู้ของเกมนี้ให้ความสำคัญมากก็คือ "เสียง" ครับ โดยถ้าศัตรูเป็นพวก infected เมื่อได้ยินเสียงดัง มันจะกรูกันเข้ามาหาเราเป็นฝูงเลยครับ ถึงตอนนั้นมีอาวุธยิง หรือระเบิดอะไรก็ต้องใส่ให้ยับครับ ไม่งั้นก็เกมเอาง่ายๆ หรือศัตรูที่เป็นคน ถ้ามันได้ยินเสียงดัง มันจะเข้ามาตรวจสอบครับ แล้วเรียกพวกเข้ามารุมยิงจากหลายๆ ทาง ความฉลาดของพวก infected กับ คนจะต่างกันมากครับ พวก infected จะกรูกันเข้ามาอย่างไม่มีแบบแผน แต่ถ้าเป็นคน มันจะมีตัวที่ดอดเข้ามายิงจากด้านข้างหรือด้านหลังเสมอ เรียกว่าถ้าศัตรูที่เป็นคนรู้ตัวนี้เรื่องใหญ่ครับ
อาวุธเหมือนจะไม่ค่อยมีอะไรใหม่ครับ พื้นฐานก็มีปืนสััน ไรเฟิล ลูกซอง ละก็ธนู ใครที่เน้นลอบเร้นเก่งๆ เกือบจะไม่ต้องมีของพวกนี้เลยก็ได้ครับเพราะคน และ infected ส่วนใหญ่ลอบเข้าไปหักคอด้วยมือเปล่าได้ครับ ยกเว้นแค่บางตัวเท่านั้นเอง อาวุธตี หาได้ทั่วไปตามฉาก ส่วนระบบการคราฟท์ของยังมีเหมือนเดิมครับ เก็บวัตถุดิบต่างๆ (แอลกอฮอล์ เศษผ้า ขวด เทปกาว ของแหลม) เอามาคราฟท์เป็นของจำเป็น เช่น ยา ระเบิดเพลิง กับระเบิด ระเบิดควัน กระสุนบางชนิด ลูกธนู แล้วก็ที่เก็บเสียงของปืนสั้น ครับ จำนวนวัตถุดิบจะขึ้นอยู่กับระดับความยากที่เล่น ยิ่งเลือกยาก ยิ่งมีน้อย (ยังไม่นับหาไม่เจอไปอีก)
เราสามารถใช้แทกติกที่หลากหลายตามอาวุธที่มี และสไตล์ที่ชอบ ตรงนี้เองที่ทำให้เกมสนุกครับ ทุกๆ ครั้งที่มีการต่อสู้ ฉากจะมีลูกเล่นหลายแบบให้ผู้เล่นได้ใช่ประโยชน์ เช่น ใช้ที่กำบัง กับพงหญ้า ผสมกับการหมอบคลานเพื่อจัดการกับศัตรู หรือถ้าเป็นภายในอาคาร มันจะมีลูกเล่นในการลอดช่องแคบๆ เพื่อหนีจากพวก infected มาตั้งหลัก การใช้อาวุธยิงต่างๆ ก็มีรายละเอียดดีมาก ทั้งการยิงโดนหัวที่จะสร้างความเสียหายกับศัตรูได้มาก (หากเป็นคนส่วนใหญ่จะตายเลย) การยิงที่ขาจะทำให้ศัตรูล้ม ความเร็วในการบรรจุกระสุน หรือยิงซ้ำ หรือแรงถีบของปืน หรือการคำนวนวิถีโค้งของธนู ทำให้ผู้เล่นต้องใส่ใจกับรายละเอียดเหล่านี้ให้มากๆ หากจะใช้อาวุธอย่างมีประสิทธิภาพ ภาคนี้ศัตรูยังมีลูกเล่นใหม่ๆ เช่น หมาดมกลิ่น (ซึ่งผมชอบแล้วก็รำคาญไปพร้อมๆ กัน) ซึ่งถ้าคนไม่เห็น หมาอาจจะได้กลิ่นและพาคนมาจนถึงจุดที่เราหลบอยู่ได้ ทั้งหมดนี้นำให้เกมเพลย์ในส่วนของการต่อสู้เอาชีวิตรอดของเกมในภาคนี้จัดอยู่ในขั้นสนุกเลยครับ ทุกครั้งที่ต่อสู้ผู้เล่นจะตื่นเต้น กดดัน รู้สึกว่ามีชีวิตเป็นเดิมพันอยู่ตลอดเวลา
อีกส่วนหนึ่งคือ puzzle เล็กๆ น้อยๆ ที่เกมใส่เข้ามา ส่วนใหญ่ไม่มีผลต่อการผ่านเนื้อเรื่อง แต่ถ้าเราไขได้ (หรือช่างสำรวจ) ก็จะได้รางวัลเป็นพวกอาวุธ กระสุน หรือไม่ก็ทรัพยากรครับ มีกระจัดกระจายอยู่ทั่วเกมครับ เช่น เซฟและการหารหัสเปิด หรือที่ตั้งของโต๊ะจูนอาวุธ ซึ่งบางทีจะแอบๆ อยู่ ไม่ได้วางให้เห็นจะๆ สิ่งเหล่านี้ทำให้คนที่เล่นสายละเอียดหน่อย ค่อยๆ เก็บรายละเอียดไปเรื่อยๆ เพื่อพักจากการต่อสู้ที่ตึงเครียด
ระบบการอัพเกรดตัวละครและอาวุธยังคงมีอยู่เหมือนภาคที่แล้ว แต่ละอย่างอาจดูเล็กๆ น้อยๆ แต่เชื่อเถอะครับ มันมีผล เช่น การอัพเกรดให้ตัวเราคราฟท์ของได้เร็วขึ้น 50% หรือการอัพเกรดให้ปืนบรรจุกระสุนได้เร็วขึ้น 2 วินาที บางทีมันชี้เป็นชี้ตายในการต่อสู้ได้จริงๆ ครับ
กราฟิก และ เสียง 10/10
เรื่องภาพในเกมไม่มีที่ติครับ ตัวละครเคลื่อนไหวลื่นไหล (ตลอดทั้งเกมผมไม่เจอบั๊กเลย) ฉากสวย รายละเอียดเยอะ แสงเงาดี แต่ละฉากนี่บางทีอยากจะหยุดดูนานๆ ส่วนเรื่องเสียง ถ้าใครเล่นแล้วมีระบบเสียงเซอร์ราวด์นี่สวรรค์เลยครับ เพราะเสียงจะพุ่งมาจากทิศทางที่ศัตรูอยู่จริงๆ เสียงกระสุนจะพุ่งมาจากทางที่ยิงจริงๆ ส่วนตัวผมไม่มีระบบเสียงที่ดีขนาดนั้นครับ อาศัยว่าใส่หูฟังที่คุณภาพดีหน่อย ก็สัมผัสได้ถึงจุดนี้แล้วครับ อีกอย่าง เสียงทุกอย่างที่เราทำให้เกิดขึ้น มันจะมีผลเสมอ เช่น ทำกระจกแตก หรือเหยียบลงไปบนเศษกระจก จะทำให้ศัตรูรู้ตัว และตามเสียงมาครับ เช่น ผมเคยลอบเร้นอยู่ดีๆ ยิงหัวศัตรูด้วยปืนเก็บเสียง กะว่าจะไปเงียบๆ ศพเสือกล้มใส่ตู้กระจกแตกเสียงดังครับ ทัวร์ลงเลยครับ
เนื้อเรื่อง 6/10
ถึงส่วนสปอยล์ละนะครับ
เป็นประเด็นที่เหล่าเกมเมอร์ทั้งสายเล่นและสายดูดราม่ากันเลยทีเดียวครับ และเป็นส่วนที่ทำให้ผมเล่นเกมนี้สนุกได้ไม่เต็มร้อยเหมือนภาคแรก เรียกว่าเรื่องเกมเพลย์ กราฟฟิก และเสียงที่ให้เต็มสิบมา มาวูบตรงนี้เลยครับ แต่ขอย้ำนิดนึงนะครับ เรื่องเนื้อเรื่องนี่ความรู้สึกส่วนตัวล้วนๆ ครับ เพราะคนที่เขาชอบก็มี
มันเป็นเกมที่ผมเล่นแล้วรู้สึกว่า "เมื่อไรแม่งจะจบสักทีวะ" คือช่วงหลังๆ มันฝืนๆ เล่นครับ ไม่ได้สนุกกับมันมากอย่างครึ่งแรกของเกม ความรู้สึกนี้ประหลาดมากเลยครับ เพราะตอนที่เล่นภาคแรก ผมรู้สึกว่า "อย่าเพิ่งจบนะ กำลังมันเลย" มาฟังเหตุผลของผมกันครับ
ผมรู้สึกว่าเกมลำดับเนื้อเรื่องมาไม่ดี และยัดเยียด "การทำความเข้าใจ" กับตัวละครแอบบี้มากเกินไป ถ้าใครดูที่แคสต์แล้วจะเข้าใจครับ แต่ผมขอเล่าย่อๆ ตรงนี้สักนิดนึงครับ
เนื้อเรื่องปูมาให้เราเล่นเป็นเอลลี่ที่ออกตามล้างแค้นให้โจเอลซึ่งถูกแอบบี้ฆ่าตายครับ (ตรงนี้เป็นประเด็นแรกที่เกมเมอร์เขาดราม่ากัน เอาจริงๆ นะ ผมก็อึ้งเหมือนกัน เพราะค่อนข้างผูกพันกับตัวละครโจเอลซึ่งเป็นตัวที่เราบังคับเป็นหลักในภาคแรก) จนมาถึงจุดหนึ่งของเนื้อเรื่อง แอบบี้ย้อนรอยกลับมาหาเอลลี่ เอาปืนจ่อเธอแล้วครับ เหลือแค่ว่าเหนี่ยวไกหรือไม่ แค่นั้นเอง แล้วฉากแม่งก็ตัดให้ไปเล่นเป็นแอบบี้เฉยเลย ดื้อๆ เลยครับ แล้วไม่ใช่แค่เล่นแป๊บเดียวครับ ผมเล่นเป็นแอบบี้อยู่อีกเกือบ 20 ชม. ผมเข้าใจว่าคนสร้างเกมอยากให้ผู้เล่นเข้าใจว่าทำไมแอบบี้ต้องฆ่าโจเอล แอบบี้ก็เป็นมนุษย์อีกคนหนึ่งที่มีด้านดีด้านร้าย มีเพื่อน มีครอบครัว มีความแค้น ไม่ใช่เรื่องประหลาดอะไรที่เธอจะตามมาฆ่าโจเอลซึ่งฆ่าพ่อของเธอตอนที่ช่วยเอลลีออกมาจากพวกไฟร์เออร์ฟลายเมื่อสี่ห้าปีก่อน ผมเข้าใจนางครับ เข้าใจความเป็นมนุษย์ของนาง แต่การที่เกมยัดเยียดให้เราเล่นเป็นตัวที่เราตามฆ่ามาตลอดครึ่งเกมแรกในฐานะเอลลี (แถมในช่วงท้ายๆ นี่คือต้องสู้กับเอลลีด้วย) มันทำให้ผมอึดอัดครับ ทำนองว่า ทำไมกูต้องมาทำความเข้าใจกับอีนี่ด้วยวะ ต้องเล่นเป็นมันไปอีก มันเลยทำให้ผมไม่สนุกกับครึ่งหลังของเกมเท่าที่ควรครับ
ประเด็นที่สอง เรื่องแม่งพีคหลายครั้งครับ แล้วแม่งไม่จบสักที สืบเนื่องจากประเด็นเมื่อกี้ครับ จังหวะแรก ช่วงที่เล่นเป็นเอลลีแล้วสุดท้ายแอบบี้ตามมาล้างแค้น ผมคิดว่ามันจะตัดคัทซีนนิดเดียว แล้วให้เอลลีสู้กับแอบบี้ ผลแม่งจะออกมายังไงไม่รู้แหละ แต่เรื่องแม่งต้องจบแล้ว ความรู้สึกมันถึงจุดพีคไปแล้วครับ แต่เกมให้เล่นเป็นแอบบี้อีก 20 ชั่วโมงเฉยเลย แล้วเหตุการณ์วนกลับมาจุดที่ตัดไป เรากลายเป็นแอบบี้ ไล่ฆ่าเอลลี WTF!!
ยังครับ ยังไม่จบ แอบบี้ไว้ชีวิตเอลลี ฉากตัดไปที่เอลลีไปใช้ชีวิตอย่างสงบกับดีนา กับลูกของนาง เหมือนจะจบตรงนี้ก็ได้ มันพีคไปแล้ว (ผมรับได้เลย ก็ใช้ชีวิตสงบๆ ไป ไม่ต้องมีภาค 3 แล้วก็ได้) คือ เป็นบ้านกลางทุ่ง เลี้ยงแกะ ทำกับข้าว ล้างจาน ชีวิตสงบสุดๆ อารมณ์คนเล่นคูลดาวน์ไปแล้ว เริ่มแปลกๆ ตรงที่เอลลีเห็นภาพหลอนตอนโจเอลตายซ้ำๆ นาทีนั้นผมคิดว่าจะจบตรงนี้แล้วเอาเป็นปมไปต่อภาคสาม เปล่าจ้า! อิลุงทอมมี่โผล่มา หาเบาะแสเอลลีมาให้เสร็จสรรพมาชวนเอลลี่ออกไปล่า (นาทีนี้ยังคิดว่าปูเพื่อภาคสามอยู่) ฉากตัดอีกที ให้ไปเล่นเป็นแอบบี้อีกรอบเฉย!!! ในใจร้องว่าอิห่า ไม่จบจริงๆ เหรอ!!!
เรื่องเดินไปอีกนิดนึง ให้เล่นเป็นเอลลีอีกรอบ ฝ่าดงตีนทั้งคนทั้ง infected เข้าไปหาแอบบี้ อารมณ์ที่กูใช้ชีวิตสงบสุขไปแล้ว ก็ต้องออกมาสู้อีกครั้งมันคืออัลลัย ไม่เข้าใจมากๆ เล่นไปด่าไปว่าอิเอลลี่ มึงพอเหอะ ไม่ต้องมีใครตายแล้วก็ได้ป่าววะ เรื่องนี้ ก่อนที่จะจบจริงๆ แบบว่า มึงก็สู้กัน จะฆ่าเขาได้อยู่ละ แต่ก็ปล่อยเขาไปอีก แล้วไม่ฆ่าเขาแล้วมึงหายหลอนหรือเปล่าก็ไม่รู้อีกต่างหาก เพราะเกมมีบทส่งท้ายอีกนิดแล้วก็จบเลย
อาจบอกว่าเกมประสบความสำเร็จในการดึงอารมณ์ของคนเล่นก็ได้ (เพราะผมคิดว่าตัวละครในเรื่องอาจรู้สึกไม่ต่างจากผม) แต่สำหรับผมแล้วแม่งโคตรเหนื่อยครับ คือมันหน่วงมาตั้งแต่ถูกบังคับให้เล่นเป็นแอบบี้ (ซึ่งฆ่าตัวละครที่ผมผูกพันอย่างโจเอล) แล้วมันก็ไม่จบสักที ทำให้ความสนุกมันหดหายไปเยอะครับ
แต่อย่างไรก็ตาม เนื้อเรื่องถือว่าตั้งคำถามทางศีลธรรมกับมนุษย์ได้ดีทีเดียว เหมือนกับที่ภาคแรก โจเอลเลือกทำสิ่งที่ผิดต่อคนทั้งโลก เลือกช่วยเอลลีแลกกับการตัดโอกาสที่จะผลิตวัคซีนซึ่งเป็นความหวังเดียวของมวลมนุษย์ชาติทิ้งไป เราอาจเกิดคำถามว่าสิ่งที่โจเอลทำลงไปมันผิดหรือถูก ถ้าเป็นเราเราจะทำอย่างไร?
ภาคนี้ คำถามที่เนื้อเกมตั้งกับเราก็คือ ถ้าคนคนหนึ่งฆ่าคนที่เรารักเพื่อคนที่เขารัก มันจะผิดหรือไม่ และถ้าเราล้างแค้นโดยการฆ่าเขา หรือคนที่เขารัก เราทำถูกหรือไม่ หรือจะต่างอะไรกับเขาไหม? บางทีคำถามเหล่านี้ก็ตอบยากนะครับ ใครคิดยังไงลองมาเมนต์คุยกัน
สุดท้าย ผมไม่ได้ผิดหวังกับเนื้อเรื่อง (คาดว่าจะจบอย่างนี้ตั้งแต่จุดพีคจุดแรก) ไม่ได้ดราม่าที่โจเอลตาย (เพราะคาดว่าคนเขียนบทต้องทำอะไรสักอย่างที่มันสะเทือนอารมณ์กว่าภาคแรก) ไม่ได้ดราม่าที่เอลลีไม่ฆ่าแอบบี้ แต่ผมแค่ผิดหวังกับการวางลำดับเล่าเรื่อง และบังคับให้เราเป็นตัวละครที่เราไม่ได้อยากเล่น และไม่อยากทำความเข้าใจมากกว่า
ฟันธง ความเห็นสุดท้ายคือ เป็นเกมที่สนุกครับ สมกับการรอคอย ถ้าใครไม่เคยเล่นภาคหนึ่งมาเนื้อเรื่องอาจไม่มีอิมแพคอะไรกับคุณเท่าไร ก็หามาเล่นเถอะครับ แค่กราฟฟิกกับเกมเพลย์ก็คุ้มค่าแล้ว
ใครมีความเห็นยังไงก็เม้นท์คุยกับครับ ยินดีมากๆ เลยถ้าจะมีคนตอบบ้าง
ปล. ผมว่าแม่งมีต่อภาคสาม เพราะแอบบี้รู้แล้วว่าเอลลี่คนที่มีภูมิต้านทานยังมีชีวิตอยู่ เธอเองก็กลับไปหากลุ่มไฟร์เออร์ฟลาย ที่ก่อตัวขึ้นมาใหม่ ซึ่งอาจมีจุดประสงค์เดิมคือการผลิตวัคซีน และอาจหาหมอคนใหม่มาแทนพ่อเธอได้แล้ว จึงอาจออกตามล่าเอลลีอีกครั้ง ส่วนเอลลีก็เหมือนจะออกเดินทางอีกครั้งเพราะดินา คนรักของเธอหายตัวไปจากบ้าน (เหมือนหนีเธอไป) จบเหมือนหนังที่ทำปลายเปิดๆ เผื่อไว้เลยครับ 555
โฆษณา