9 ก.ค. 2020 เวลา 05:05 • กีฬา
ลิเวอร์พูลทะยานทำแต้มเข้าสู่หลัก "90" ได้สำเร็จ เมื่อบุกไปอัดไบรท์ตันแบบสบายๆ 3-1 ในเกมที่น่าจะยิงขาดกว่านี้เยอะ จุดที่น่าสนใจคือเจอร์เก้น คล็อปป์มีการ "ทดลอง" บางอย่างที่น่าสนใจดี และอาจเป็นกลยุทธ์ใหม่ในอนาคตได้ นี่คือบทสรุป 21 ข้อ จากเกมพรีเมียร์ลีกที่สนามเอเม็กซ์ สเตเดี้ยม
1) ตั้งแต่ก่อตั้งสโมสรมาร้อยกว่าปี ลิเวอร์พูลกับไบรท์ตันปะทะกันมาหลายครั้ง แต่เชื่อหรือไม่ ว่าไบรท์ตัน สามารถชนะลิเวอร์พูลได้ในเกมลีกที่บ้านตัวเองแค่ 1 นัดเท่านั้น และต้องย้อนกลับไปในปี 1961 สมัยทั้งคู่อยู่ในดิวิชั่น 2 อังกฤษ (ตอนนั้นคือช่วงคุมทีมแรกๆของบิลล์ แชงคลีย์) จากนั้นมา เกือบ 60 ปี ไบรท์ตันรับมือลิเวอร์พูลทีไร โดนตลอด เหมือนพวกเขาจะแพ้ทางหงส์แดงจริงๆ
2) ในฤดูกาลนี้ ไบรท์ตันทำผลงานดีกว่าที่คิด พวกเขาไม่ต้องดิ้นรนหนีตาย ขอแค่ชนะอีกนัดเดียวจากเกมที่เหลือก็การันตีการอยู่รอดทันที ซึ่งด้วยความที่ไม่บีบคั้นแบบนี้ ก็เป็นโอกาสดีที่เจอร์เก้น คล็อปป์ จะทดลองจัดตัวแบบใหม่ๆ เพราะคู่แข่งคงไม่ได้วิ่งใส่แบบลืมตายขนาดนั้น
3) การทดลองของคล็อปป์ คือใช้ "เนโก้ วิลเลี่ยมส์" แบ็กขวาดาวรุ่งวัย 19 ปี ลงเล่นเป็นตัวจริงในพรีเมียร์ลีกครั้งแรกในชีวิต ก่อนหน้านี้ ผู้คนวิเคราะห์กันว่า ดาวรุ่งคนแรกที่จะได้เล่นตัวจริงพรีเมียร์ลีกก่อน คือใครกันแน่ จะเป็นเคอร์ติส โจนส์, เรียน บรูวสเตอร์ หรือ ฮาร์วีย์ เอลเลียตต์ แต่บทสรุปออกมาเป็นเนโก้ วิลเลียมส์ ฟูลแบ็กชาวเวลส์
วิลเลียมส์เกมนี้เล่นแบ็กซ้าย แทนตำแหน่งของแอนดรูว์ โรเบิร์ตสัน ส่วนแบ็กขวาเป็นเทรนต์ อเล็กซานเดอร์-อาร์โนลด์ตามปกติ ซึ่งนี่เป็นการจัดตัวที่แปลกดี เพราะวิลเลียมส์เป็นแบ็กขวามาตลอดและถนัดเท้าขวา ไม่แน่ใจนักว่าเขาจะเล่นฝั่งซ้ายได้ดี แต่คล็อปป์ยังอยากทดลองดู
4) วิลเลียมส์ได้โอกาสลงเล่น 45 นาทีในเกมนี้ ผลงานนั้นผสมผสานกัน มีบางจุดที่เขาเล่นได้ดี อย่างเช่นนาที 20 ลีอันโดร ทรอสซาร์ด ได้ยิงจ่อๆไม่กี่หลา ซึ่งมีสิทธิ์เป็นประตูสูงมาก แต่วิลเลียมส์มาบล็อกได้ทันแบบฉิวเฉียด รวมถึงจังหวะเติมเกมก็ทำได้ดี นี่เป็นนักเตะที่มีพลัง มีความเร็ว กล้าลุยเกินอายุ
การทดลองของคล็อปป์มีอีกอย่างคือเล่นฟูลแบ็กสลับฝั่ง ในช่วงแรกวิลเลียมส์อยู่ซ้าย เทรนต์อยู่ขวา พอเล่นไปสักระยะเขาขยับเอาวิลเลียมส์ไปอยู่ขวา แล้วเทรนต์มาอยู่ซ้าย ซึ่งก็สร้างความมึนงงให้ฝั่งไบรท์ตันเหมือนกัน วิลเลียมส์ถือว่า "โอเค" กับการเล่นสองด้าน
5) อย่างไรก็ตาม วิลเลียมส์นั้นยังเห็นได้ชัดว่า "ต้องขัดเกลา" พอสมควร เขายังขาดประสบการณ์ในหลายๆช็อต มีความตั้งใจเยอะจริงแต่เทคนิคยังน้อยเกินไป มีลูกนึงเป็นช็อตที่น่าจดจำ เมื่อทาริค แลมพ์ตี้ แบ็กของไบรท์ตันสปีดเติมเกมบุกขึ้นมา วิลเลียมส์วิ่งเข้าไปพยายามจะแย่งบอล ปรากฏว่าเขาโดนแลมพ์ตี้กระชากหาย แต่จากนั้นไม่กี่วินาที จอร์แดน เฮนเดอร์สันเข้ามาช่วยคัฟเวอร์ และโชว์เทคนิคที่เหนือชั้น คือไม่ได้ตรงไปแย่งบอล แต่วิ่งไปขวางทางเฉยๆ แล้วให้แลมพ์ตี้เสียฟาวล์เอง ซึ่งเพลย์นี้ วิลเลียมส์น่าจะได้เรียนรู้อะไรจากกัปตันเยอะทีเดียว
วิลเลี่ยมส์ มาโดนใบเหลืองท้ายครึ่งแรก และยังปิดพื้นที่พลาดปล่อยให้แลมพ์ตี้ครอสบอลเข้ากลางได้จนโดนยิง ขณะที่สถิติจ่ายบอลเท้าสู่เท้าก็ไม่ค่อยแม่น (64% น้อยที่สุดในทีม) ดังนั้นคล็อปป์จึงเปลี่ยนตัวเนโก้ วิลเลี่ยมส์ออกตอนพักครึ่ง
ในภาพรวมถือเป็นประสบการณ์ที่ดีของวิลเลียมส์ เราเห็นชัดว่าเขามีของ แต่ยังต้องใช้เวลาขัดเกลามากกว่านี้อีกสักระยะ
6) อีกจุดที่วันนี้คล็อปป์ทดลองใช้งาน คือลองยึดกองกลางชุด จอร์แดน เฮนเดอร์สัน-จินี่ ไวจ์นัลดุม-นาบี เกอิต้า ย้อนกลับไปเกมที่แล้ว ตอนที่ลิเวอร์พูลเจอแอสตัน วิลล่า ในช่วง 1 ชั่วโมงแรกของเกมนั้น สกอร์อยู่ที่ 0-0 โดยทีมไม่มีโอกาสยิงเลย แต่พอเปลี่ยนตัว เอากองกลาง มาใช้ เฮนเดอร์สัน-ไวจ์นัลดุม-เกอิต้ามาใช้ เกมไหลลื่นขึ้น และสุดท้ายก็สามารถยิงประตูได้ ก่อนชนะไป 2-0 ดังนั้นคล็อปป์จึงทดลองใช้สามคนนี้เล่นด้วยกันอีกครั้ง โดยไม่ต้องใช้ฟาบินโญ่
7) สิ่งที่เราเห็นคือ ถ้าสามคนนี้ลงพร้อมกัน ลิเวอร์พูลจะเพรสซิ่งได้เฉียบขาดมาก เพราะเฮนเดอร์สัน - ไวจ์นัลดุม - เกอิต้า ทุกคนเป็นพวกวิ่งเยอะอยู่แล้ว และพอไบรท์ตันโดนแย่งบอลจากเท้าได้ ก็โดนโต้เร็วจนนำมาซึ่งประตูทันที
ประตู 1-0 เกิดขึ้นจากจังหวะที่ ไบรท์ตันพยายามจะค่อยๆต่อบอลขึ้นมาจากแดนหลัง ลิเวอร์พูลตอนแรกก็ใช้สามตัวบน โม ซาลาห์, โรแบร์โต้ ฟีร์มีโน่ และอเล็กซ์ อ็อกซ์เลด-แชมเบอร์เลนวิ่งไล่ และระหว่างที่ดาวี่ พร็อปเปอร์ ดาวเตะไบรท์ตันคอยแต่ระวังสามคนนั้น ก็โดนมิดฟิลด์ลิเวอร์พูล นาบี เกอิต้า เพรสเข้ามาอย่างไม่ทันตั้งตัว แย่งบอลไปจากเท้าได้ดื้อๆ ก่อนถวายพานให้โม ซาลาห์ยิงโล่งๆเข้าไป
8) เช่นเดียวกับประตู 2-0 ไบรท์ตันพยายามจะต่อบอลขึ้นมาจากแดนหลัง แต่เจอกับดัก 3 ชั้นของลิเวอร์พูล โดยอดัม เว็บสเตอร์ เซ็นเตอร์แบ็กของไบรท์ตันดันขึ้นมาช่วยเกมบุก ซึ่งฟีร์มีโน่เข้ามาขวางไว้ แต่เว็บสเตอร์ล็อกหลบไปได้ อย่างไรก็ตามต้องมาเจอกับดักชั้นที่ 2 คือเฮนเดอร์สันที่วิ่งมาแย่งบอล ซึ่งเว็บสเตอร์ดิ้นรนเอาตัวรอดไปได้อีกด้วยการรีบจ่ายบอลให้พ้นเท้า แต่ก็มาโดนกับดักชั้นที่ 3 คือนาบี เกอิต้า แย่งบอลไว้ได้อีก
จากนั้นพอเกอิต้าแย่งบอลได้ ลิเวอร์พูลสวนเร็วทันที เฮนเดอร์สันคนที่พยายามแย่งบอลเมื่อสักครู่ สปรินท์ไปที่หัวกะโหลก ก่อนที่โม ซาลาห์ จะแต่งบอลให้เฮนเดอร์สันซัดเต็มๆเสียบตาข่ายอย่างเพอร์เฟ็กต์ที่สุด
9) เราจะเห็นว่ากองกลางของหงส์แดงมีส่วนกับการจบสกอร์ทั้ง 2 ลูกเลย ซึ่งไม่ใช่เรื่องปกตินัก เพราะโดยทั่วๆไป เกมรุกของลิเวอร์พูลจะเน้นที่ 3 ตัวบน กับ 2 ฟูลแบ็ก กองกลางจะช่วยแค่ตัดบอล เชื่อมเกม แต่พอคล็อปป์เลือกใช้ เฮนเดอร์สัน-ไวจ์นัลดุม-เกอิต้า เห็นชัดมาก ว่าพลังเกมรุกเพิ่มขึ้น ซึ่งในอนาคตถ้าเจอเกมที่คู่แข่งที่เกมบุกไม่ค่อยน่ากลัวนัก แบบที่ไม่ต้องมีมิดฟิลด์ตัวรับคอยประคองเกม เราอาจจะได้เห็นสามคนนี้ลงเล่นด้วยกันอีก
10) ใน 8 นาทีแรก ลิเวอร์พูลนำ 2-0 และนี่เป็นการยิงนำสองลูกที่เร็วที่สุดในรอบ 10 ปีของสโมสรด้วย โดยครั้งสุดท้ายที่นำเร็วขนาดนี้ ต้องย้อนกลับไปวันที่ 5 พฤษภาคม 2011 เกมที่ลิเวอร์พูลชนะฟูแล่ม 5-2 ที่คราเวน ค็อตเทจ นัดนั้น มักซี่ โรดริเกวซ ยิง 2 ลูกใน 7 นาที ให้หงส์นำไปก่อน ซึ่งหลังจากเกมนั้นมา ลิเวอร์พูลก็ไม่เคยยิงสองลูกติดๆกัน ได้เร็วขนาดนั้นอีกเลย
 
11) ครึ่งแรกลิเวอร์พูลนำ 2-1 ภาพรวมคือเกมรุกดี เกมรับดูหลวม และพอเข้าครึ่งหลังคล็อปป์แก้เกมทันทีด้วยการส่งแอนดรูว์ โรเบิร์ตสันลงเล่นแทนวิลเลียมส์ และไม่มีการสลับฝั่งฟูลแบ็กอีกแล้ว จากนั้นในนาทีที่ 61 ก็ถอดเอานาบี เกอิต้าออก แล้วส่งฟาบินโญ่ลงแทนเพื่อให้เกมโดยรวมมีความสมดุลมากขึ้น
พอเกอิต้าออกลิเวอร์พูลก็ไม่ได้เพรสเต็มกำลังเหมือนครึ่งแรกอีก แต่ใช้วิธีการบุกแบบอื่นๆเข้าทำ เช่นการวางบอลยาวจากแดนหลัง นาทีที่ 63 ฟาน ไดค์โหม่งตัดบอลได้ บอลมาเข้าเท้าฟาบินโญ่ที่วางยาว 50 หลา ให้ซาลาห์ควบไปเอาบอล ซึ่งลูกนี้ซาลาห์เกือบยิงได้ แต่โดนแลมพ์ตี้พัวพันจนได้แค่เตะมุมเท่านั้น
12) หลังจากพยายามอยู่นาน สุดท้ายลิเวอร์พูล ได้ประตูย้ำชัย 3-1 จากจังหวะคอร์เนอร์ โรเบิร์ตสันลักไก่ เปิดมาที่เสาแรกให้โม ซาลาห์ โหม่งเข้าประตูไป
สถิติที่น่าทึ่งคือ ลิเวอร์พูลเป็นทีมที่ยิงประตูจาก "ลูกเตะมุม" ได้มากที่สุดในพรีเมียร์ลีก ซัดไปแล้ว 8 ลูก ซึ่งภายใน 8 ลูกนั้น ลิเวอร์พูลจะมีวิธีการโจมตีสองรูปแบบคือ เปิดโด่งๆ เข้าตรงกลาง ให้กองหลังตัวใหญ่ๆเทกตัวสูงกว่าแล้วโหม่งแรงๆเป็นประตู กับอีกวิธีคือ เปิดมาที่เสาแรก แล้วให้กองหน้าตัวเล็กๆโฉบเข้ามาโหม่งตัดหน้ากองหลังคู่แข่งด้วยความเร็ว
ลูกที่ 1 vs นอริช : ฟาน ไดค์โหม่ง (เปิดตรงกลาง)
ลูกที่ 2 vs อาร์เซน่อล : มาติปโหม่ง (เปิดตรงกลาง)
ลูกที่ 3 vs แอสตัน วิลล่า : มาเน่โหม่ง (เปิดเสาแรก)
ลูกที่ 4 vs คริสตัล พาเลซ : ฟีร์มีโน่ยิง (เปิดเสาแรก)
ลูกที่ 5 vs ไบรท์ตัน : ฟาน ไดค์โหม่ง (เปิดตรงกลาง)
ลูกที่ 6 vs แมนฯยูไนเต็ด : ฟาน ไดค์โหม่ง (เปิดตรงกลาง)
ลูกที่ 7 vs วูล์ฟแฮมป์ตัน : เฮนเดอร์สันโหม่ง (เปิดเสาแรก)
ลูกที่ 8 vs ไบรท์ตัน : ซาลาห์โหม่ง (เปิดเสาแรก)
จะเห็นได้ว่า นอกจากเดาทิศทางยากแล้วว่า ลูกเตะมุมลิเวอร์พูลจะโจมตีด้วยวิธีไหน สิ่งที่คาดไม่ได้เลย คือ "จะให้ใครเป็นคนปิดบัญชี" เพราะดูรายชื่อคนยิงทั้ง 8 ลูก มีนักเตะถึง 6 คนที่ทำประตูได้ คุณอาจประกบฟาน ไดค์ แต่ในพริบตาลิเวอร์พูลอาจเปิดมาให้ซาลาห์โหม่งก็ได้ หรือคุณมาร์กตัวฟาน ไดค์กับซาลาห์พร้อมกัน ก็อาจเป็นเฮนเดอร์สันสอดมายิง ซึ่งความหลากหลายนี่เอง ที่ทำให้ลูกเซ็ตพีซของทีมหงส์แดง ยอดเยี่ยมกว่าคู่แข่งทีมอื่นในลีก
13) การยิงประตู 2 ลูกของซาลาห์ในนัดนี้ ทำให้เขากลายเป็นนักเตะที่ยิงประตูใส่ไบรท์ตันได้บ่อยที่สุดในพรีเมียร์ลีก (5 ลูก) ซึ่งแน่นอน ไบรท์ตันเองคงอยากหนีซาลาห์ไปให้พ้นๆเสียที อารมณ์เดียวกับนอริช ที่เกลียดหลุยส์ ซัวเรซมากๆ เพราะเจอซัวเรซทีไรโดนยิงเละตุ้มเป๊ะตลอด
14) สำหรับ ซาลาห์เกมนี้พอซัดเม็ด 2 แล้ว เราเห็นความพยายามอย่างมากที่จะยิงแฮตทริกให้ได้ เพราะตอนนี้ซาลาห์ยิงในพรีเมียร์ลีกไปแล้ว 19 ลูก ตามหลังดาวซัลโวเจมี่ วาร์ดี้ แค่ 3 ลูกเท่านั้น ยังมีโอกาสที่จะไล่ทันอยู่
ในประวัติศาสตร์พรีเมียร์ลีก มีนักเตะแค่ 2 คนเท่านั้นที่ได้ดาวซัลโวของลีก 3 ฤดูกาลติดต่อกัน ได้แก่ อลัน เชียเรอร์ (1994-95, 1995-96, 1996-97) และ เธียร์รี่ อองรี (2003-04, 2004-05, 2005-06) ซึ่งซาลาห์นั้น คว้าดาวซัลโวมาครองได้แล้ว 2 ซีซั่นที่ผ่านมา ดังนั้นทำได้อีกในปีนี้ล่ะก็ จะทำให้เขาตามรอยทั้งเชียเรอร์ และอองรี ไปอยู่ในเลเวลตำนานของพรีเมียร์ลีกทันที
อย่างไรก็ตามนัดนี้เขาทิ้งโอกาสเยอะไปหน่อย (ได้ยิง 8 ครั้ง เข้า 2 ลูก) โดยเฉพาะในช่วงทดเจ็บนาทีสุดท้ายที่ได้โหม่งจ่อๆไม่เกิน 8 หลา แต่ข้ามคานไปเฉยเลย ซึ่งเจ้าตัวเองก็ก้มหน้าเซ็งด้วยผิดหวัง เพราะควรจะจบเกมด้วยแฮตทริกไปแล้ว
15) นัดนี้คล็อปป์พักซาดิโอ มาเน่ ตั้งแต่ต้นเกม และปล่อยมาใช้งานแค่ครึ่งชั่วโมงสุดท้ายเท่านั้น ซึ่งมาเน่จริงๆ ก็ต้องการจะยิงไบรท์ตันให้ได้เหมือนกัน เพราะนับตั้งแต่เขาย้ายมาเล่นในพรีเมียรลีก มาเน่ยิงคู่แข่งได้ 28 ทีม จากการปะทะกับ 30 ทีม โดยสองทีมที่ยิงไม่ได้คือไบรท์ตัน กับ มิดเดิลสโบรห์นี่ล่ะ อย่างไรก็ตามนัดนี้ มาเน่ ไม่มีโอกาสยิงเข้ากรอบเลยแม้แต่หนเดียว เป็นเกมที่เขาออกจะเงียบสักหน่อย
16) หลังจบเกม มีตัวเลขที่น่าทึ่งอีกหนึ่งอย่างคือ 3 ประสานของหงส์แดง ซาลาห์, มาเน่ , ฟีร์มีโน่ ยิงประตูรวมกันในยุคเจอร์เก้น คล็อปป์ไปแล้ว 250 ลูก แบ่งเป็น ซาลาห์ 94, มาเน่ 79, ฟีร์มีโน่ 77 เรียกได้ว่ามาตรฐานของทั้งสามคนยอดเยี่ยมมากๆ คือไม่มีใครเด่นกว่าใครชัดเจน พอรวมกันแล้วช่วยดึงให้คนอื่นดีขึ้นด้วย ดังนั้นแน่นอนว่าทั้ง 3 คนนี้ จะยืนตัวจริงให้หงส์แดงต่อไปอีกพักใหญ่ๆ อย่างน้อยก็อีก 2-3 ปีข้างหน้า
17) ท้ายเกมตัวสำรองทาคุมิ มินามิโนะ มีจังหวะเล็กๆที่น่าพูดถึง ช็อตนาที 90+4 โรเบิร์ตสันปาดบอลเข้ากลาง ให้มินามิโนะได้ยิง แต่แมตต์ ไรอัน นายทวารไบรท์ตันยื่นมือปัดไว้ได้ ซึ่งมินามิโนะก็เอาตัวพุ่งไปกอดเสาประตูด้วยความเสียดาย โดยไม่ได้มองเลยว่า บอลยังไม่ตาย มาเข้าทางซาลาห์ยิงออกหลังไป คือช็อตนี้มินามิโนะเสียสมาธิไปชั่วครู่ ซึ่งถ้าหากเขาตั้งสติไวกว่านี้ อาจเป็นอ็อปชั่นให้ซาลาห์ส่งบอลให้ก็ได้
และอีกหนึ่งจังหวะคือนาที 90+6 เจมส์ มิลเนอร์จ่ายยัดให้มินามิโนะ ซึ่งเขาหลุดไป และควรจะยิงแล้ว แต่เลือกไปแต่งต่ออีกจังหวะจนมุมหมด ต้องปาดกลับเข้ามา ทำให้โดนกองหลังตัดบอลได้ ซึ่งก็เป็นบทเรียนไป ว่าถ้ามีโอกาสซัด ก็ต้องซัด ไม่อย่างนั้นโอกาสอาจจะหลุดลอยไปได้
18) ชัยชนะเหนือไบรท์ตัน 3-1 ทำให้ลิเวอร์พูลมี 92 แต้ม เป็นทีมที่มีคะแนนมากที่สุดอันดับ 6 ในประวัติศาสตร์ฟุตบอลอังกฤษ และเหลืออีก 4 เกมในมือ ดังนั้นมีโอกาสที่จะไต่อันดับสูงขึ้นไปเรื่อยๆ ซึ่งก็ต้องติดตามว่าหงส์แดงจะไปได้ไกลแค่ไหน
อันดับ 1 แมนเชสเตอร์ ซิตี้ (2017-18) - 100 แต้ม
อันดับ 2 แมนเชสเตอร์ ซิตี้ (2018-19) - 98 แต้ม
อันดับ 3 ลิเวอร์พูล (2018-19) - 97 แต้ม
อันดับ 4 เชลซี (2004-05) - 95 แต้ม
อันดับ 5 เชลซี (2016-17) - 93 แต้ม
19) แต่เจอร์เก้น คล็อปป์ ก็ออกตัวไว้ก่อนเลยว่า เขาไม่แน่ใจว่าจะเก็บ 12 แต้ม จาก 4 เกมที่เหลือได้จริงๆ "เบิร์นลีย์ เป็นทีมที่เล่นแบบหวังผลมากที่สุด ซึ่งผมชื่นชมในศักยภาพของพวกเขามาก จากนั้นเราต้องมาเจออาร์เซน่อลที่อยู่ในฟอร์มดี ตามด้วยเชลซีที่อยู่ในฟอร์มดีเช่นกัน ซึ่งบอกตรงๆว่า ผมไม่คาดหวังเลยว่าจะเก็บชัยชนะได้ทุกแมตช์ที่เหลืออยู่ในฤดูกาลนี้"
"การที่เราจะชนะได้ทุกเกมที่เหลือนั้น แน่นอนต้องมีดวงเข้ามาช่วยด้วย เหมือนอย่างปีที่แล้ว ที่เราชนะนิวคาสเซิล เรามาได้ประตูชัยแบบมีโชคจากโอริกี้ อย่างไรก็ตามดวงชะตาจะไม่ช่วยคุณหรอกนะ ถ้าคุณไม่ได้สู้อย่างเต็มที่เสียก่อน"
20) ปิดท้ายในเกมนี้ เมื่อผ่านมาถึงจุดนี้แล้ว พอจะเห็นได้ว่าตำแหน่งไหนบ้างที่ลิเวอร์พูลต้องการจริงๆ ในฤดูกาลหน้า
- แบ็กซ้ายสำรอง : เพราะเนโก้ วิลเลี่ยมส์ เล่นดีกว่าถ้ายืนแบ็กขวา ดังนั้นถ้ามีสำรองสักคนคอยหมุนเวียนกับแอนดรูว์ โรเบิร์ตสัน น่าจะลงตัวกว่า คือจริงๆ เจมส์ มิลเนอร์ ก็สามารถเล่นได้ทั้งสองฝั่ง แต่ก็จะดีกว่าถ้ามีแบ็กซ้ายมืออาชีพจริงๆ มาเบียดแย่งตำแหน่งกับโรเบิร์ตสัน
- มิดฟิลด์ 1 คน : เฮนเดอร์สัน, ฟาบินโญ่, ไวจ์นัลดุม จะยังเป็นตัวหลักเหมือนเดิม โดยมีนาบี เกอิต้าคอยสอดแทรก และปีหน้าเคอร์ติส โจนส์ก็น่าจะได้โอกาสมากขึ้น แต่จำนวนแค่นี้ก็ยังไม่พอ ลิเวอร์พูลยังขาดมิดฟิลด์ประเภทจ่ายบอลคิลเลอร์พาส ที่จะสร้างมิติใหม่ๆในจังหวะเข้าทำอยู่
- ตัวรุกระดับท็อป : แน่นอน 3 ตัวจริง จะยังไม่เปลี่ยน แต่ก็น่าจะดี ถ้ามีสำรองในคลาสเดียวกับมาเน่ - ฟีร์มีโน่ - ซาลาห์ คอยหมุนเวียน เพราะสามคนนี้จะเล่นทุกเกมก็คงไม่ไหว ครั้นจะใช้ดิว็อค โอริกี้ ก็เห็นชัดว่าเขาเล่นสำรองดีกว่าตัวจริงเยอะ ส่วนมินามิโนะ ก็ไม่รู้จะปรับตัวได้เมื่อไหร่ ขณะที่อเล็กซ์ อ็อกซ์เลด-แชมเบอร์เลน พอโดนดันมาเล่นปีก เขาดูฝืนธรรมชาติทุกที ส่วนฮาร์วีย์ เอลเลียตต์ ก็ยังเร็วไปหน่อยที่จะใช้งานในปีหน้า ดังนั้นตัวรุกระดับท็อปถือเป็น Priority ลำดับแรกสำหรับตลาดซื้อขายครั้งนี้ทีเดียว
21) สำหรับลิเวอร์พูลตอนนี้ ผลงานในซีซั่น 2019-20 ไม่ว่าจะจบที่กี่แต้ม ก็ถือว่า "ยอดเยี่ยม" แล้ว แต่คำถามคือจะสามารถยืนระยะแบบนี้เอาไว้ในซีซั่น 2020-21 หรือไม่ นี่ต่างหาก เป็นสิ่งที่น่าสนใจยิ่งกว่า
#Liverpool #Brighton
โฆษณา