9 ก.ค. 2020 เวลา 08:05 • การตลาด
Big C VS Tesco Lotus
ความเหมือนที่แตกต่าง
สองยักษ์ใหญ่ค้าปลีกของบ้านเรากำลังขับเคี่ยวกันอย่างเมามัน ด้วยสองกลุ่มทุนที่เข้ามาบริหาร
โดย Big C อยู่ภายใต้การบริหารของบริษัท เบอร์ลี่ ยุคเกอร์ จำกัด (มหาชน) หรือ BJC โดยธุรกิจบิ๊กซีปี 2562 มีรายได้รวม 126,904 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 1.5% , กำไรสุทธิ 6,604 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 3.8% โดยมีสาขารวม 1,374 สาขา มี 6 รูปแบบ ได้แก่ ไฮเปอร์มาร์เก็ต 151 สาขา (บิ๊กซีซูเปอร์เซ็นเตอร์และบิ๊กซีเอ็กซ์ตร้า) ,บิ๊กซีมาร์เก็ต 62 สาขา (บิ๊กซีมาร์เก็ต และ บิ๊กซีฟู้ดเพลส), มินิบิ๊กซี 1,016 สาขา (รวมสาขาแฟรนไชส์ 63 สาขา) และร้านขายยาเพรียว 145 สาขา
ในขณะที่ Tesco Lotus ได้กลุ่มของ ตระกูล “เจียรวนนท์” อยู่ภายใต้การบริหารของบริษัท ซี.พี. รีเทล ดีเวลลอปเมนท์ จํากัด ซึ่งเป็นบริษัทในเครือซีพี หากคิดเฉพาะสาขาเทสโก้ โลตัสในประเทศไทย ปี 2562 มีรายได้รวม 188,628 ล้านบาท ลดลง 4.88% ด้านกำไรสุทธิ 7,819 ล้านบาท ลดลง18.78%
โดยมีสาขารวม 2,158 สาขา มี 4 รูปแบบ ได้แก่ไฮเปอร์มาร์เก็ต 214 สาขา, ตลาดโลตัส 179 สาขา ,Tesco Express 1,574 สาขา และให้เช่าพื้นที่ในศูนย์การค้า 191 สาขา
(ข้อมูลสาขา ณ สิ้นเดือนสิงหาคม 2562)
ขอบคุณข้อมูลจากสำนักข่าวอีไฟแนนซ์ไทย
วันนี้ผมคงไม่ได้มาวิเคราะห์กันเรื่องรูปแบบการขยายกิจการ ต่างๆ เพราะคิดว่าน่าจะมีหลายเวปหรือ หลายบทความน่าจะได้วิเคราะห์ กันไปแล้ว
ตาม concept ของผม จะไปพูดวิเคราะห์กันถึงเรื่องสื่อโฆษณาว่า ทั้งสองแบรนด์ต้องการสื่อสารอะไร และเลือกที่จะนำเสนอ แบบไหน
มาที่ Big C ก่อน กับโฆษณาตัวใหม่ที่มาในแนว ตลก เอา concept ละครบ้านทรายทองเป็นพรอต นำเสนอ แต่ใจความจริงๆ ต้องการสื่อสารกับผู้บริโภคว่า ช้อปที่ Big C คือความคุ้มใช้เงิน 1,000 บาท ซื้อสินค้าใน Big C ได้เยอะขนาดไหน ทั้งสินค้าอาหารสด หรือ เสื้อผ้าใน Big C สรุปแบบบ้านๆ คือ
1.ราคาถูก
2.อาหารสด
3.ของให้เลือกเยอะ
ซึ่งแน่นอนจากโฆษณา และรูปแบบการนำเสนอทำให้พอจะเห็นกลุ่มเป้าหมายที่ Big C เลือก คือ เลือกกลุ่มคนที่เน้นสินค้าราคาถูกเป็นหลัก แม้ว่าใจจริงอยากจะขยายไปในกลุ่ม อาหารสด(จากบทความหลายบทความต้องการไปทิศทางนั้น หันมาเน้นเรื่องอาหารสด) แต่ก็ยังมีความลังเล หรือภาษาการตลาดเราจะเรียกว่า ไม่ชัดเจน หรือ ไม่ focus นั่นเอง
และต้องมีคนที่ค้านผมอยู่ในใจก็ Big C เป็นห้างขนาดใหญ่ขายสินค้าครบครัน โฆษณาแบบนี้ผิดตรงไหน คำตอบคือคิดแบบนั้นก็ไม่ผิด แต่ถ้าจะให้ดีต้องเลือก และสื่อสารเพียงเรื่องเดียว นี่คือยุคสมัยปัจจุบัน ที่เราจะไม่มีการหว่านแหอีกแล้ว จะไม่บอกว่าจะเอาหมดทุกกลุ่ม ทุก category เพราะปัจจุบันเป็นไปไม่ได้ (และโฆษณาเกือบทุกตัวก็จะเลือกนำเสนอไปในทิศทางนั้น อย่างเช่น โฆษณาที่มี ปราโมทย์ และ แพท มาร่วมแสดงหลาย EP)
มาที่ฝั่ง Tesco Lotus กันบ้าง ส่วนตัวนะครับผมกลับชอบโฆษณาของฝั่งนี้มากกว่าของ Big C ความเหมือนคือทั้งคู่อยากเน้นเรื่องอาหารสดเป็นหลัก แต่ Lotus เลือกที่จะนำเสนอ โดยไม่ได้พูดถึงราคาของสินค้า แต่เลือกนำเสนอในถิ่นกำเนิดสินค้า บอกว่าสินค้าแต่ละตัว ผ่านกระบวนการอะไรมา และสด แค่ไหน ดีแค่ไหน และแน่นอน การสื่อสาร แบบนี้ก็มีทั้งคุณและโทษอีกเช่นกัน เพราะเท่ากับ Lotus ได้เลือกกลุ่มเป้าหมายไปแล้วเช่นกัน จากโฆษณา ทำให้คนที่ดูโฆษณานี้ต้องตีความเอง และจากการตีความของผม ระดับชาวบ้านทั่วไปอาจจะไม่ได้รู้สึก อินเท่าไร (ความเห็นส่วนตัวนะครับไม่ไ่ด้จะ บลูลี่ใคร)
โฆษณาเกือบทุกตัวของ Lotus จะเน้นในเรื่องการสร้าง value หรือ ภาษาการตลาดเราเรียกว่า สร้าง story เพื่อเพิ่มมูลค่า หรือ value added และอีกข้อที่ lotus หลีกเลี่ยงคือการใส่ราคาในโฆษณา ผมเข้าใจว่าเป็นอีกกลยุทธ์ ในการหลีกเลี่ยงการเปรียบเทียบราคานั่นเอง
ซึ่งแน่นอนถ้าจากการโฆษณาจะเห็นว่า
Lotus เลือกกลุ่มเป้าหมายที่ค่อนข้าง high ขึ้นมาหน่อยซึ่งอาจจะมองว่าเป็นกลุ่มคนที่มีรายได้สูงอาจจะเป็นกลุ่มคนทำงาน พนักงานออฟฟิศ
ในขณะที่ Big C เลือกกลุ่มคนที่อาจจะมีรายได้น้อยกว่า เป็นกลุ่มแม่บ้าน หรือชาวบ้านทั่วไป
ขอบคุณข้อมูลจาก
สำนักข่าวอีไฟแนนซ์ไทย
คลิป จาก Big C และ Tesco Lotus
ติชมได้นะครับ ฝากกด like กดแชร์ กดติดตาม
และเป็นกำลังใจให้กันด้วยนะครับ 😉😀✌️
โฆษณา