14 ก.ค. 2020 เวลา 11:46 • สุขภาพ
รวมความเชื่อแบบผิดๆ ที่ควรจะหายไปจากอินเตอร์เน็ตได้แล้ว !
แม้ประเทศไทยจะเข้าสู่ยุค 4.0 แล้ว แต่ความเชื่อแบบผิดๆ ก็ไม่หมดไปสักที
คุณน่าจะเคยเห็นข่าวหรือ ข้อความชวนเชื่อที่แชร์ต่อๆ กันมา ซึ่งเป็นความเชื่อแบบผิดๆ หรือไม่มีการรับรองที่ถูกต้อง ดังนั้นเราในฐานที่เป็นคนรุ่นใหม่ที่มีคุณภาพควรที่จะมีการตรวจสอบและรู้เท่าทันความเชื่อที่ไม่ใช่เรื่องจริงกันได้แล้ว อะไรที่เคยรู้มาในอดีตวันนี้เรามาทำความเข้าใจกันใหม่ได้แล้วนะ มีเรื่องไหนบ้างมาที่ควรทำความเข้าใจใหม่กันบ้าง มาเช็คกันค่ะ
cr. https://www.freepik.com/free-vector/news-concept-landing-page_5156465.htm#page=1&query=social%20media%20news&position=15
1. ปัสสาวะไม่ได้ช่วยบำรุงและรักษาโรค
เคยมีกระแสนำปัสสาวะมาทั้งรับประทาน และบำรุงผิว แต่จริงๆ แล้วปัสสาวะคือสารที่ถูกขับออกมาจากร่างกาย ในปัสสาวะไม่มีเชื้อโรคร้ายแรงก็จริง (ยกเว้นในรายที่มีการติดเชื้อในทางเดินปัสสาวะ) แต่ปัสสาวะก็คือ "ของเสีย" ที่ไตขับออกมาจากร่างกายไปแล้ว ไม่เหมาะจะนำมาใช้บริโภคหรือบำรุงผิวแต่อย่างใด การที่ดื่มหรือใช้รักษาก็คือการที่เราใช้ของเสีย แต่ก็ไม่ได้มีคุณสมบัติในการรักษาโรคแต่อย่างใด อาจจะมีการอ้างอิงถึงคนในอดีตที่สามารถใช้ปัสสาวะในการทำยาบำรุงหรือรักษาโรคได้ แต่เพราะสมัยอดีตกาลนั้นยังขาดแคลนความรู้ด้านการแพทย์ และยารักษาอยู่
แต่ในยุคนี้แล้วมีวิทยาการก้าวไกล น้ำก็มีให้ดื่มใช้สะดวก โดยที่ไม่จำเป็นต้องใช้ของแบบนี้มาช่วยในการรักษาโรคกันแล้ว ยังมีของที่มีประโยชน์กว่านี้ในโลกที่สามารถใช้บำรุงร่างกายและผิวพรรณได้ดีกว่านั้นมากนะ เลือกใช้ของดีๆ ของใหม่ๆ ซึ่งถูกผลิตมาเพื่อบำรุงและรักษาเฉพาะทางเลยดีที่สุดค่ะ
2. มะนาวโซดารักษามะเร็งไม่ได้
โซดาเครื่องดื่มที่มีความซ่าเพิ่มความอร่อยให้กับเครื่องดื่มและทำให้สดชื่นได้ มะนาวคือผลไม้ที่มีกรดรสเปรี้ยวมีวิตามินซีสูง แต่โดยรวมแล้วก็ยังไม่มีงานวิจัยใดที่ออกมารองรับว่ามะนาวผสมโซดานี้สามารถรักษามะเร็งได้ น่าจะเป็นความคลาดเคลื่อนที่เข้าใจผิดจากการเผยแพร่วิจัยของสหรัฐอเมริกาช่วงปี 2555 ที่มีงานวิจัยเบคกิ้งโซดารักษามะเร็งได้ แต่ในปัจจุบันงานวิจัยชิ้นนี้ก็ยังไม่สามารถพิสูจน์ได้ 100% อีกทั้งคนที่อ่านเวอร์ชั่นภาษาอังกฤษมาก่อน อาจเข้าใจผิดว่า 'เบกกิ้งโซดา' เป็น 'โซดา' เฉยๆ ด้วยก็เลยมาเผยแพร่กันแบบเข้าใจผิดส่งต่อกันมา บวกกับทฤษฎีว่าน้ำมะนาวที่เป็นกรดเมื่อดื่มเข้าไปในร่างกายก็จะกลายเป็นด่าง และสามารถทำลายเซลล์มะเร็งได้ จึงมีการจับต้นชนปลายและส่งข้อมูลชวนเชื่อแบบผิดๆ ต่อๆ กันมาว่า น้ำโซดาและมะนาวสามารถรักษามะเร็งได้ นั่นเอง
เพราะประโยชน์ที่ทำได้ดีมากสุดของมะนาวผสมโซดาคือ มีส่วนช่วยในเรื่องของการขับถ่ายสำหรับผู้ที่ขับถ่ายได้ยากเท่านั้นเอง
3. แท็กซี่รมยาผู้โดยสารไม่ได้หรอก
มีข่าวมาเรื่อยๆ ลือกันมาตั้งแต่ในอดีต โดยเฉพาะกับผู้หญิงที่เดินทางบนรถแท๊กซี่คนเดียว ที่มักจะมีอาการรู้สึกวิงเวียนและมึนศีรษะเวลาขึ้นบนรถแท็กซี่ และเล่าเรื่องอย่างตื่นตระหนกว่าน่าจะโดนรมยา แต่ในความจริงแล้วน่าจะเป็นอาการเมาคาร์บอนไดออกไซด์ที่หลุดลอดเข้ามาในรถมากไปต่างหาก การดมยาสลบขนาดผู้เชี่ยวชาญอย่างวิสัญญีแพทย์ยังต้องคำนวณการใช้ปริมาณยากับน้ำหนักตัว ต้องใช้หน้ากากสูดดมโดยตรง และใช้เวลานานด้วยกว่าจะออกฤทธิ์ เพราะฉะนั้นการปล่อยยาสลบผ่านทางแอร์ในห้องโดยสารรถเป็นเรื่องที่เป็นไปไม่ได้เลย เพราะต้องใช้ปริมาณที่เยอะมากๆ แถมไม่รู้จะเห็นผลไหมด้วยอีก
รู้แบบนี้แล้วควรระมัดระวังเรื่องการเมาคาร์บอนไดออกไซด์ จากรถแท็กซี่ที่อาจจะจอดรอผู้โดยสารนานๆ กันแทนดีกว่าค่ะ
4. ระวังโดนป้ายยาแล้วรูดทรัพย์นะ
ก็เป็นอีกข่าวหนึ่งที่ทำให้ผู้คนในสังคมตระหนกตกใจกันมาเป็นระยะเวลานานแล้ว เวลาที่มีข่าวคนออกมาบอกว่า มีคนมาป้ายยาใส่ตัวเองแล้วก็รู้สึกมึนๆ ไม่ได้สติ แล้วโดนปลดทรัพย์สินไป เพราะคุณหมอได้ออกมายืนยันแล้วว่า ปัจจุบันไม่มียาหรือสารเคมีใดที่ทำให้สลบหรือหลับไปได้ด้วยการป้ายหรือสัมผัสบนผิวหนังเพียงเท่านั้น เพราะยาสลบหรือสารเคมีที่อยู่ในอากาศจะมีความเจือจางมากถ้าอยู่ในพื้นที่เปิด หรือบริเวณกว้างๆ
สิ่งที่เหยื่ออาจโดนมาอาจจะเป็นพวกอาหารหรือเครื่องดื่มที่มีการวางยานอนหลับ เลยเกิดอาการง่วงซึมจนครองสติไม่ได้มากกว่าค่ะ
5. กินไข่เยอะไม่ดี คอเลสตอรอลจะสูงเอา
เป็นความเชื่อที่เข้าใจผิดๆ ของคนในอดีตมานานแล้ว ว่าการกินไข่มากกว่า 1 ฟองถือว่าเยอะเกินไปสำหรับร่างกาย เนื่องจากในไข่มีคอเลสเตอรอลสูง แต่จากการศึกษาค้นพบว่า คนทุกวัยที่มีสุขภาพดีสามารถกินไข่ได้มากกว่าวันละ 1 ฟอง และสนับสนุนให้กินด้วยเพราะไข่เป็นอาหารที่ให้โปรตีนสูง มีไขมันดี วิตามิน มีกรดอะมิโนจำเป็นกับร่างกายที่คนเราสร้างเองไม่ได้ ที่ช่วยในการซ่อมแซมร่างกาย เพราะฉะนั้นไข่ไม่ใช่อาหารที่เลวร้ายกับร่างกายเลย
การบริโภคไข่แดงเป็นประจำส่งผลต่อระดับคอเลสเตอรอลในเลือดได้ไม่มากนัก หากรับประทานในปริมาณที่เหมาะสม สิ่งที่ควรระวังในการกินไข่ก็คือผู้ป่วยที่ต้องคอยระวังระดับไขมันในเลือดมากกว่า ส่วนในคนปกติกินเยอะกว่าได้ แต่ควรใส่ใจเรื่องการปรุงที่ควรจะทำให้สุกก่อนรับประทาน เพราะในไข่อาจจะมีการปนเปื้อนของเชื้อโรค salmonella ที่อาจทำให้ท้องร่วงได้ หากรับประทานแบบดิบๆ ค่ะ
6. กาแฟมีผลดีกับสุขภาพนะ
เรามักจะรู้แต่เรื่องของกาแฟว่ามีคาเฟอีนซึ่งส่งผลทำให้ใจสั่นนอนไม่หลับ เพราะกาแฟมีฤทธิ์การกระตุ้นระบบประสาทส่วนกลาง หัวใจ และกล้ามเนื้อ แต่ถ้าเราได้รับคาเฟอีนในกาแฟในปริมาณที่เหมาะสมแล้ว จะมีประโยชน์ต่อสุขภาพเสียมากกว่า ไม่ว่าจะเป็นการเพิ่มความตื่นตัวของสมอง แก้อาการปวดหัว ป้องกันโรคสมองเสื่อมหรือโรคพาคินสัน ป้องกันโรคมะเร็งลำไส้ ป้องกันโรคเบาหวาน ลดอาการปวดศีรษะและไมเกรน ดีกับสุขภาพหัวใจ อีกทั้งยังช่วยควบคุมน้ำหนักได้ สำหรับคนที่ต้องการลดน้ำหนักด้วย เพราะจะช่วยเพิ่มการเผาผลาญ
ดังนั้นแล้วการดื่มกาแฟไม่ถือว่าเป็นอันตรายกับสุขภาพ ถ้าคุณดื่มในปริมาณ 2 แก้วต่อวันหรือ 250 มิลลิกรัม รวมถึงไม่ปรุงด้วยน้ำตาลและครีมเทียมในปริมาณที่มากเกินไปด้วยค่ะ
7. กินช็อกโกแลตทำให้เป็นสิว
เป็นความเชื่อที่ทำให้ใครหลายๆ คนกลัวการรับประทานช็อกโกแลตไปเลย แต่ในความเป็นจริงแล้ว ช็อกโกแลตไม่ได้เป็นสาเหตุที่ทำให้เป็นสิวเลยสักนิด แถมยังมีประโยชน์มากกับร่างกายเสียด้วยซ้ำ สิ่งที่ทำให้ช็อกโกแลตดูเป็นอาหารที่ไม่ดีกับสุขภาพร่างกายก็คือส่วนผสมอื่นๆ ที่มีในช็อกโกแลตตามท้องตลาดเสียมากกว่า ไม่ว่าจะเป็นน้ำตาลที่มีปริมาณสูง นม และไขมันแฝงอื่นๆ ที่ผสมลงไปในโกโก้ต่างหากที่เป็นสาเหตุที่ทำให้เป็นสิวได้ โดยเฉพาะนมและน้ำตาล 2 ในนมมีไขมันเป็นตัวกระตุ้นทำให้ผิวสร้างน้ำมันออกมามากเกินไป ส่วนน้ำตาลเป็นตัวเร่งการอักเสบ จึงเป็นสาเหตุที่ทำให้เกิดสิวได้
ส่วนช็อกโกแลตที่ดีกับสุขภาพควรจะต้องทานเป็น dark chocolate เท่านั้น เพราะมีปริมาณนมและน้ำตาลน้อย มีโกโก้อยู่ในปริมาณที่สูง มีประโยชน์กับผิวเนื่องด้วยเต็มไปด้วยสารต่อต้านอนุมูลอิสระ หากทานเป็นประจำผิวจะเด็กกว่าอายุจริงหรือดูอ่อนกว่าวัยเสียด้วยซ้ำไปนะ
8. อาหารจากไมโครเวฟกินได้ ปลอดภัยดี
เตาไมโครเวฟเป็นอุปกรณ์ไฟฟ้าที่ช่วยอำนวยความสะดวกในการจัดเตรียมอาหาร หากไม่มีไมโครเวฟเราจะต้องอุ่นอาหารผ่านเตาไฟ ซึ่งมีความยุ่งยากมากกว่ากันเยอะ แต่ว่าก็ยังคงมีกระแสความเชื่อว่า การใช้ไมโครเวฟนั้นมีรังสีที่เป็นอันตรายกับร่างกาย หรืออาจจะส่งผลให้อาหารมีพิษต่างๆ แต่ในความจริงแล้วเตาไมโครเวฟเป็นอุปกรณ์ไฟฟ้าที่มีความปลอดภัย ไม่ได้ให้ความร้อนโดยตรง แต่การใช้อุ่นอาหารนี้ใช้คลื่นวิทยุทำให้มีคุณภาพดีกว่าการหุงต้มแบบปกติด้วยซ้ำ อีกทั้งเตาไมโครเวฟนั้นก็ประกอบด้วยวัสดุที่ป้องกันคลื่นรังสี ทำให้รังสีไม่สามารถออกมาภายนอกได้ การใช้จึงมีความปลอดภัยสูง เพียงแต่ควรใช้ให้ถูกวิธี ไม่ควรนำสิ่งที่เป็นข้อห้ามต่างๆ เข้าไปใช้กับไมโครเวฟเพียงเท่านั้นเอง
9. บรรจุภัณฑ์อาหารเข้าไมโครเวฟอันตรายจริงไหม?
เป็นสิ่งที่ทำให้คนที่ชอบกินข้าวกล่อง และอาหารอุ่นไมโครเวฟรู้สึกเป็นกังวลไม่ใช่น้อยกันเลย ว่าการใช้พลาสติกพวกนี้บรรจุอาหารแล้วเอาเข้าไมโครเวฟ จะทำให้ได้รับสารตกค้างจากพวกพลาสติกที่ได้รับความร้อนแล้วสะสมจนเป็นโรคมะเร็ง แต่บรรจุภัณฑ์พลาสติกที่ใช้ในร้านสะดวกซื้อนี้ เป็นบรรจุภัณฑ์ที่ออกแบบมาเพื่อให้เข้าไมโครเวฟได้ และสามารถทนความร้อนได้สูงถึง 120 องศาเซลเซียสด้วย พลาสติกพวกนี้เป็นแบบ PP มีจุดหลอมเหลว 160-170 องศาเซลเซียส เพราะฉะนั้นถ้าอุ่นอาหารตามปกติในไมโครเวฟก็ไม่เป็นอันตรายค่ะ ส่วนใหญ่เขาผ่านการตรวจสอบและมีการรับรองให้บริโภคได้อย่างปลอดภัยอยู่แล้วด้วย ให้สังเกตว่าอันที่เอาเข้าไมโครเวฟได้จะมีสัญลักษณ์บอกอยู่ที่กล่อง เป็น microwave safe อยู่ค่ะ ดังนั้นก็เลิกกังวลกันได้แล้วนะ
10. ไม่กินหวานไม่เป็นเบาหวานหรอก
เรามักได้รับความเชื่อแบบนี้ฝังหัวกันมาตั้งแต่เด็กกันเลยทีเดียวว่า อย่ากินหวานนะ ถ้ากินแล้วจะเป็นเบาหวานเอา และบางที่ก็ถูกบังคับให้เลิกกิน หรือไม่ยอมให้กินของหวานไปเลย แต่เอาเข้าจริงๆ แล้วการกินหวานก็ไม่ได้ทำให้เป็นเบาหวานกันง่ายขนาดนั้น ไม่อย่างนั้นโลกนี้คงเลิกทำขนมหรือของหวานกันไปแล้วล่ะ เบาหวานมีด้วยกันสองชนิดคือประเภทที่ 1 เป็นจากการกรรมพันธุ์ กับประเภทที่ 2 เป็นจากพฤติกรรมการกินที่ไม่ดี เพราฮอร์โมนอินซูลินจะถูกหลั่งออกมาบ่อยจนเกินความจำเป็นทำให้ร่างกายดื้ออินซูลิน ส่งผลให้น้ำตาลในเลือดสูง ซึ่งไม่ได้เกิดจากแค่อาหารหวานอย่างเดียว เพราะว่าอาหารรสจัดอื่นๆ อย่างเค็มจัด เผ็ดจัด และอาหารที่มีไขมันสูงอยู่เป็นประจำ ก็มีส่วนที่ทำให้เกิดโรคเบาหวานได้ รวมถึงการรับประทานอาหารบ่อยๆ เองก็ส่งผลให้การใช้อินซูลินของร่างกายแปรปรวนจนทำให้เกิดการดื้ออินซูลิน และทำให้เป็นเบาหวานเอาได้เช่นเดียวกัน
ดังนั้นแล้วของหวานก็กินได้ค่ะ แต่ว่าเราควรรักษาสมดุลการรับประทานอาหารให้ดี ไม่กินอาหารรสจัดมากเกินไปดีกว่า จะได้ไม่เสี่ยงต่อการเป็นเบาหวานค่ะ
รู้แบบนี้แล้ว หากว่าคนใกล้ตัวของคุณยังเข้าใจอะไรแบบผิดๆ อยู่ก็บอกและอธิบายให้พวกเขาเข้าใจกันใหม่ได้แล้วค่ะ หลายๆ เรื่องในอดีตยุคนี้สามารหาคำตอบและมีการพิสูจน์ทางการแพทย์และวิทยาศาสตร์ได้แล้ว เรื่องที่เข้าใจในอดีตอาจจะเป็นเรื่องที่ไม่เป็นความจริงวันนี้แล้วก็ได้ค่ะ อย่ามัวตกยุคอยู่แต่กับข่าวสารเดิมๆ ควรต้องอัพเดทข้อมูลใหม่ๆ กันดูบ้างนะคะ เดี๋ยวจะตามโลกไม่ทันเอาค่ะ
เคยมีเชื่อความเชื่อที่ผิดๆ เหล่านี้บ้างไหม?
บทความ โดย : Akine_noxx
เผยแพร่ครั้งแรกในเว็บ Spice/Pepper
ฝากติดตาม กดไลค์ กดแชร์ คอมเม้นท์เป็นกำลังใจกันด้วยนะคะ

ดูเพิ่มเติมในซีรีส์

โฆษณา