15 ก.ค. 2020 เวลา 14:49 • ภาพยนตร์ & ซีรีส์
มัดรวมหนัง & ซีรีส์ 3 เรื่องเด็ด (แถมข้อคิด) ที่คนวัยทำงาน ห้ามพลาด!
เคยมีคนกล่าวไว้ว่า "ในช่วงชีวิตหนึ่ง มันจะมีช่วงเวลานึงที่เราต้องลงทุนกับตัวเองหนักมาก เพื่อให้ดอกผลที่เราคิดหวังไว้เกิดขึ้นกับตัวเรา และสิ่งที่เกิดขึ้นมักจะเป็นสิ่งที่ดีเสมอ" หลายคนอาจจะเห็นว่าคำกล่าวนี้ค่อนข้างซีเรียส และ จริงจัง แต่เชื่อเถอะว่า เราทุกคนล้วนผ่านเวลานี้กันมาแล้วทั้งนั้น นับตั้งแต่การเรียนสุดแสนทรหด การสอบเลื่อนชั้น การสอบเข้ามหาวิทยาลัย การสอบแข่งขันต่างๆ หรือแม้กระทั่ง...การทำงาน
ในชีวิตการทำงาน เราต้องใช้ทักษะทั้งการอยู่ร่วมกับคน และ การบริหารจัดการเวลาเพื่อให้เราสร้างงานได้อย่างมีคุณภาพ บางคนทำงานมาไม่นานก็ได้รับการโปรโมทอยู่ในตำแหน่งที่สูงขึ้น บางคนทำงานเพราะรักในงานนั้นจริงๆ ไม่หวังว่าจะต้องได้อะไรกลับมา แต่หลายคนก็ทำงานไปเพื่อแลกกับ "เงิน" เพื่อความสุขกับอะไรบางอย่างที่เงินซื้อได้ ซึ่งแต่ละคนมีเหตุผลของตัวเองทั้งสิ้น ไม่มีใครผิด ไม่มีใครถูก ขึ้นกับทัศนคติในการใช้ชีวิตในช่วงวัยทำงาน
เครดิตภาพจาก Pixabay
ถึงอย่างนั้น เชื่อได้แน่ๆ ว่า มันจะมีสักช่วงที่ "คนวัยทำงาน" หรือแม้แต่ "คนที่เริ่มหาตัวตนในช่วงวัยทำงาน" เกิดความท้อแท้ หมดกำลังใจ เบื่อหน่าย รู้สึกไม่มีคุณค่า หาจุดหมายไม่ได้ ไม่รู้ว่าชีวิตจะไปทางไหน เราชอบอะไรกันแน่ ไม่รู้ว่าเกิดมาเพื่ออะไร จะรวยได้ยังไง และจะต้องทำแค่ไหนถึงจะเรียกว่า "สำเร็จ"
วันนี้ ชาล็อต จะมานำเสนอ หนังและซีรีส์เด็ด 3 เรื่อง คนวัยทำงานห้ามพลาด! ถือว่าเป็นอีกหนึ่ง To-do list ที่น่าลอง และหวังว่าสิ่งนี้จะช่วยสร้างแรงบันดาลใจ เติมพลังใจในการทำงาน หรือแม้กระทั่งสร้างพลังขับเคลื่อนในการค้นหาตัวตนในช่วงวัยทำงานให้กับทุกคนได้นะคะ
1. The Intern (2015)
เครดิตภาพ http://oknation.nationtv.tv/blog/angelrous/2015/10/21/entry-1
แม้จะเป็นหนังที่ออกมานานแล้ว แต่รับรองว่า หนัง Feel good เรื่องนี้ จะทำให้มีพลังใจอยากไปใช้ชีวิตต่อ อยากทำงานต่อให้ดี และอยากทำอะไรซักอย่างที่มีคุณค่าแน่นอน
เรื่องย่อ
สาวสวยวัย 30 ต้นๆ Jules Ostin ที่รับบทโดย Anne Hathaway ก่อตั้งบริษัทเกี่ยวกับธุรกิจเสื้อผ้าแฟชั่นออนไลน์ที่เติบโตเร็วมาก ที่ชื่อ About the Fit ออฟฟิศของเธอมีพนักงาน 200 กว่าคน บรรยากาศในออฟฟิศแม้จะดูชิล พนักงานสามารถแต่งตัวตามสบายได้ แต่นั่นเป็นคนละเรื่องกับงานที่พุ่งเข้ามาอย่างถาโถม ทำให้ทั้งตัวเธอและออฟฟิศมีแต่ความยุ่งเหยิง วันหนึ่งเธอถูกบีบให้จ้าง CEO มาช่วยแบ่งเบาภาระของเธอ ประจวบเหมาะกับที่ชายวัย 70 ปี ที่ชื่อ Ben Whittaker รับบทโดย Robert De Niro ที่เบื่อหน่ายวัยเกษียณ และต้องการหาคุณค่าของการมีชีวิตอยู่หลังจากนี้ จึงตัดสินใจสมัครเข้ามาในตำแหน่งฝึกหัด Intern ที่บริษัทของ Jules เปิดรับสมัครคนวัยเกษียณพอดี และนั่นทำให้เค้าได้ร่วมงานกับเด็กวัยรุ่นต่าง Generation หลายคน
Ben ที่ในอดีตเคยเป็นหัวหน้าบริษัทเคยทำงานในตำแหน่งใหญ่โตของบริษัทตีพิมพ์ “สมุดหน้าเหลือง” ซึ่งไม่มีค่าอีกแล้วในยุคปัจจุบัน แต่ด้วยความเก๋าและประสบการณ์ของเค้า ทำให้การที่เค้าได้เข้ามาในบริษัท About the Fit และได้ทำงานร่วมงานกับ Jules จึงกลายเป็นเรื่องดีๆ สำหรับใครหลายคน เพราะเค้าเข้ามาบาลานซ์ชีวิตที่ยุ่งเหยิงของ Jules ช่วยจัดการความสัมพันธ์ระหว่างเพื่อนร่วมงานด้วยกัน และเพื่อนร่วมงานกับหัวหน้า และยังช่วยทำให้สภาพแวดล้อมในที่ทำงานดีขึ้น
ข้อคิดดีๆ ที่สามารถเอาไปปรับใช้กับช่วงชีวิตแห่งวัยทำงาน
1. ชีวิตที่เติบโตไม่ใช่เรื่องที่ผิดแปลก ถ้าเรามั่นใจว่าทำเต็มที่ ทำทุกอย่างดีที่สุด และรักที่จะทำมัน เราก็ต้องยอมรับในความสำเร็จที่เราสร้างมันขึ้นมาแต่โดยดี แต่ให้แน่ใจว่าระหว่างทางมีคนที่คอยสนับสนุน ไม่ใช่ ทำทุกอย่างเพื่อให้สำเร็จโดยไม่เห็นหัวใครเลย
2. อย่าลืมว่า “การทำงาน” อย่างหมกมุ่น มัวเมา ก็เหมือนกับการขึงด้ายจนตึง ถ้าไม่คลายให้พอดีๆ ด้ายก็ขาด อย่าให้ทัศนคติ หรือ คำอ้างที่ว่า “เพราะงานเยอะ เพราะต้องรีบทำ มาทำให้เราไม่มีเวลานอน พักผ่อน” ต่อให้หนักแค่ไหนก็ต้องวางลงบ้าง
3. การบริหารจัดการเวลาเป็นเรื่องสำคัญ คนสำเร็จมักจะทำอะไรก่อนเวลาเสมอ หรือ อย่างน้อย คิดแล้วทำทันที เพื่อเค้าจะได้มีเวลาอีกส่วนหนึ่งไปใช้ชีวิตในมุมอื่นๆ ที่ไม่ใช่แค่การจ้องหน้าจอ หรือ การทำงาน ยิ่งถ้ามีครอบครัวก็ต้องรู้จักใช้เวลาอย่างมีคุณภาพ (Quality Time) กับครอบครัวให้ดีที่สุด “งานเด่นไม่จำเป็นว่ารักจะต้องแย่ ถ้าทำได้คุณจะเป็นคนเจ๋งแน่ๆ ไม่เชื่อก็ลองดู”
4. ความขยันอย่างเดียวอาจไม่ช่วยให้ประสบความสำเร็จ แต่ต้องรู้จักสังเกต คาดการณ์ เตรียมรับมือ และพร้อมตลอดเวลาที่จะคอยช่วยแก้ปัญหาให้ได้อย่างทันท่วงที ทริคคือ ต้องทำแบบนี้ให้ถูกจังหวะ และ ถูกคนด้วยนะ
5. การบริหารความสัมพันธ์ในที่ทำงานก็สำคัญ เราไม่จำเป็นต้องอยู่ร่วมกันเพียงเพราะผลประโยชน์ หรือ เพื่องานอย่างเดียว เพราะใครจะไปรู้เพื่อนร่วมงานบางคนอาจจะกลายเป็นคนที่ช่วยเหลือเราในยามยากก็ได้ ลองหาโอกาสคุยกันในเรื่องอื่นๆ ของชีวิตบ้าง ให้ได้รู้หลายๆ มุมของเพื่อนร่วมงาน เชื่อแน่ว่าบรรยากาศในการทำงานมันดีขึ้นกว่าเดิมแน่ๆ
6. เราทุกคนมีคุณค่า ไม่เกี่ยวว่าอายุเท่าไหร่ ไม่ว่าจะอายุเยอะ หรือ น้อย เราทุกคนมีความเป็น unique ที่ใครก็ไม่สามารถมาแทนได้ และ มีคุณค่าในแบบของเรา อย่าให้ใครมาตัดสินคุณค่าเรา
2. What's Wrong with Secretary Kim?
เครดิตภาพ https://www.viki.com/tv/35835c-whats-wrong-with-secretary-kim
ซีรีส์ 16 ตอน หาดูได้ใน Netflix ไม่ใช่แค่เรื่องรักๆ แต่อยากบอกว่าซีรีส์เรื่องนี้สะท้อนอะไรหลายอย่างให้คนทำงานได้หยิบไปใช้ได้ดีทีเดียว เรื่องนี้เหมาะกับคนที่เป็นเลขา และ คนที่ยังเป็นลูกน้องอยู่มากๆ เลย
เรื่องย่อ
"ลี ยองจุน" รับบทโดย พัคซอจุน รองประธานกลุ่มบริษัทยักษ์ใหญ่วัย 33 ปี ที่ฉลาด รูปหล่อ หุ่นดี ร่ำรวย มีความสามารถรอบด้านทั้งเรื่องงาน และ ภาษา แต่เค้าค่อนข้างหลงตัวเอง จนละเลยความรู้สึกคนอื่น ไม่เคยสนใจความรู้สึกของใครเท่าไหร่ ไม่เคยรักใคร และไม่เคยมีความสัมพันธ์รักกับผู้หญิงคนไหน ยกเว้น คิมมีโซ รับบทโดย พักมินย็อง เลขาสุดสวย มากความสามารถและประสบการณ์ ที่อุทิศตัวทำงานรับใช้นายจอมหลงตัวเอง มาอย่างยาวนานถึง 9 ปี เหตุที่เธอยอมทนเพราะเธอมีภาระหนี้สิน และ ต้องดูแลครอบครัวทั้งพ่อและพี่สาว
แต่แล้ววันหนึ่ง คิมมีโซ ก็บอกกับเจ้านายสุดหล่อแต่หลงตัวเองอย่างลียองจุนว่า “เธอจะลาออก” ทำให้ลียองจุนถึงกับช็อคไป เค้าสงสัยว่าเกิดอะไรขึ้นกับคิมมีโซ เค้าจึงทำทุกวิถีทางเพื่อให้คิมมีโซเปลี่ยนใจ
ข้อคิดดีๆ ที่สามารถเอาไปปรับใช้กับช่วงชีวิตแห่งวัยทำงาน
1. การเป็นเลขาที่ดี ลูกน้องที่ดี และมีประสิทธิภาพตามความคาดหวัง หรือ เหนือความคาดหมาย
ส่วนใหญ่มักจะต้องแลกมาด้วยการเรียนรู้ที่ไม่มีวันจบ ความคิดที่หนักหน่วง ความทุ่มเทสุดพลัง การลงมือปฏิบัติอย่างสม่ำเสมอและต่อเนื่อง บางคนอ่านมาถึงตรงนี้รู้สึกเหนื่อย หรือ รู้สึกว่า อืม! ใช่ ทำอยู่ หรือ เอ๊ะ! ทำไมไม่เคยทำอะไรแบบนี้ นั่นก็เพราะมุมมองการใช้ชีวิตของเราไม่เหมือนกัน การกระทำที่สะท้อนออกมาจึงไม่เหมือนกัน ซึ่งมันก็ไม่จำเป็นต้องเหมือนกัน และไม่จำเป็นต้อง “ดี” ในแบบเดียวกัน แต่สิ่งที่ต้องเหมือนกัน คือ “เป็นอะไรก็ได้ ขอให้เป็นและทำให้ดีที่สุด ในแบบที่เมื่อเราย้อนกลับมาดูตัวเองแล้ว เรารู้สึกดีกับมันก็พอ”
2. ความรักในที่ทำงานไม่ผิดถ้ารู้จักการบริหารชีวิตในที่ส่วนตัว และที่ทำงานให้สมดุล
ความรักเป็นสิ่งสวยงามและช่วยให้เกิดแรงผลักดันที่ดีในการทำงาน แต่ทั้งหมดก็ต้องควบคุมและพยายาม weight น้ำหนักเวลางานกับเวลารักให้สมดุล ให้เวลากับงานมากไป รักอาจจะแป้ก ให้เวลากับความรักจนลืมหน้าที่ งานก็ร่วง ความสัมพันธ์ดีๆ ไม่ว่าแบบไหน มันต่างช่วยเติมเต็มชีวิตเราทั้งนั้น แค่เติมเต็มในคนละแง่มุม งานเติมเต็มคุณค่าในชีวิต และ เงินในกระเป๋าให้เราได้ออกไปใช้กับตัวเองและคนที่เรารัก ส่วนความรักเติมเต็มให้เรามีแรงจะสร้างสรรค์งานดี ๆ ออกมาได้ และช่วยขับเคลื่อนความฝันอื่น ๆ ในชีวิต ทุกมิติล้วนเติมเต็มซึ่งกันและกัน
3. รวยก็ไม่จำเป็นต้องใช้เงินซื้อทุกอย่าง เพราะบางอย่างไม่สามารถซื้อได้ด้วยเงิน
ไม่ว่าตอนนี้จะเป็นคนกำลังจะรวย หรือ รวยแล้ว ก็ควรจะมีทักษะการบริหารจัดการเงิน อะไรที่ใช้เงินซื้อได้และมองว่าจำเป็น สำคัญ ก็ซื้อ แต่บางอย่างที่ใช้เงินซื้อไม่ได้ต้องแลกด้วยสิ่งอื่น ถ้าคุ้มค่าก็ควรลงทุนกับมัน อยู่ที่ “การให้ค่า” ของแต่ละคน บางคนอาจจะมองว่าชีวิตไม่จำเป็นต้องใช้เงินซื้อทุกอย่าง ขอแค่สุขได้ตามอัตภาพในทุกวันก็พอ บางคนอาจจะมองว่า เงินสำคัญ อย่างอื่นจะตามมาหลังจากมีเงิน จึงทุ่มทุกอย่างไปเพื่อให้มีเงินตามเป้า โดยลืมเปิดโอกาสให้ตัวเองมีช่วงเวลาดี ๆ ระหว่างทาง ไม่มีอะไรผิด ถูก ขอแค่ให้รู้สึกตัวว่า เวลาที่ยึดติดกับแนวทางไหนมากไปแล้วรู้สึกตึง ไม่มีความสุข ยิ้มได้น้อยลง มีความเมตตาลดลง อาจจะต้องปรับจูนให้มันสมดุลสักหน่อย แค่นั้นก็พอ
4. ความประหยัดมัธยัสถ์ หรือ ความตระหนี่ ไม่ผิด ถ้าไม่ได้ทำให้ใครเดือดร้อน และ ถ้านั่นคือส่วนหนึ่งที่จะช่วยเติมเต็มเป้าหมายในชีวิตของเรา บางคนใช้ชีวิตด้วยความระมัดระวังทุกฝี่ก้าวในเรื่องการเงิน แต่ก็รู้จักลงทุนกับเรื่องที่จะทำให้บรรลุเป้าหมาย บางครั้งอาจจะเคยแล้งน้ำใจไปสักนิด เช่น การไม่เอาของผู้อื่น และ ไม่ให้ของใครเช่นกัน เหล่านี้ไม่ผิด แต่ถ้าทุกอย่างที่ทำเริ่มตึงเกินไป จนไม่มีที่เหลือให้แม้แต่การเมตตา หรือ การให้ กับตัวเอง อาจจะต้องลองทบทวนดูอีกที บางครั้งเป้าหมายอาจจะถึงช้า แต่ก็ดีกว่าไม่ทำอะไรให้ถึงเป้าหมายนั้นเลย ไม่ใช่หรือ?
5. เราทุกคนเป็นในสิ่งที่เราตั้งใจเลือกว่าจะเป็นได้ ไม่จำเป็นต้องพร้อม และไม่มีคำว่าสายเกินไป
ทุกคนเลือกได้ตั้งแต่แรกว่าจะทำเช่นไรในสถานการณ์ใด ๆ ก็ตาม บางคนให้คุณค่ากับแนวคิด อุดมคติ ทัศนคติ หรือ คุณค่าของตนเองมากกว่าสถานการณ์ เพราะสถานการณ์ส่วนใหญ่มักจะเข้ามายั่วให้เราสงสัยในคุณค่าตัวเองมากกว่า ซึ่งไม่เกิดผลดีในแง่ของ mindset เดิมที่ดีอยู่แล้ว ขณะที่บางคนไม่เคยรู้ว่าตัวเองมี mindset แบบไหน มีคุณค่าอะไร เพราะมองว่าขาดปัจจัยบางอย่างที่มีผลกับคุณค่าของตัวเองไป ยิ่งตอกย้ำให้ไม่มีความมั่นใจในคุณค่าของตัวเองขึ้นไปอีก แต่ทว่า จำเป็นด้วยหรือ ที่เราจะต้องเอาคุณค่าของเราไปยึดโยงกับบุคคลอื่น? และจำเป็นด้วยหรือ ที่เราจะต้องสงสัยในคุณค่าของตนเอง เพียงเพราะการตัดสินของผู้อื่น?
3. Itaewon Class (ธุรกิจปิดเกมแค้น)
เครดิตภาพ Netflix
ซีรีส์ 16 ตอนที่หาดูได้ใน Netflix ที่คนทำงานด้านธุรกิจร้านอาหาร และ คนที่ทำงานด้านการตลาด ห้ามพลาด
เรื่องย่อ
พัคแซรอย รับบทโดย รับบทโดย พัคซอจุน เด็กหนุ่มบ้าบิ่นที่ไม่ยอมอ่อนข้อให้ใคร เค้าจะไม่อดทนให้กับความอยุติธรรม เค้าอาศัยอยู่กับพ่อมาโดยตลอด จนกระทั่งวันหนึ่งเค้ามีเรื่องกับ จางกึนวอน เพื่อนร่วมชั้นเรียน ซึ่งดันเป็นลูกชายคนโตของประธานจางแดฮี ประธานบริษัทชางกา บริษัทที่ทำธุรกิจร้านอาหารใหญ่ยักษ์ ผู้มีอิทธิพล และเป็นเจ้าของบริษัทที่พ่อของพัคแซรอยทำงานอยู่ด้วย เหตุนี้เองทำให้หลังจากนั้นมา ชีวิตของพัคแซรอยก็ค่อยๆ พัง ตั้งแต่พ่อถูกไล่ออก ถูกให้ออกจากโรงเรียน สูญเสียพ่อจากอุบัติเหตุรถชน และพัคแซรอยต้องติดคุกอยู่หลายปี
หลังออกจากคุก พัคแซรอยเปิดร้าน "ทันบัม" ในย่านอิแทวอน พัคแซรอยมีเป้าหมาย คือ การล้มบริษัทชางกาให้ได้ ด้วยเหตุนี้ จึงทำให้ชางกา และ ทันบัม ต้องห้ำหั่นกันในทางธุรกิจนับแต่นั้นมา
ข้อคิดดีๆ ที่สามารถเอาไปปรับใช้กับช่วงชีวิตแห่งวัยทำงาน
1. การจะทำอะไรซักอย่างให้สำเร็จ ต้องมีภาพวันแห่งความสำเร็จไว้ในหัว เริ่มทุกวันด้วย mindset และการตั้งเป้าหมายที่แน่วแน่ว่า "เราทำได้ วันนี้ร้านจะขายดี วันนี้เราจะมีกำไร วันนี้เราจะทำสิ่งนี้ให้เสร็จ" จากนั้น เราก็แค่ต้องวางแผน และทำทุกอย่างอย่างค่อยๆ เป็น ค่อยๆไป ตามแผนด้วยความตั้งใจ ความพยายาม และความทุ่มเท เป้าหมายที่ใหญ่กว่าก็จะสำเร็จได้แน่นอน
2. การทำงานเป็นทีมสำคัญมาก โดยเฉพาะคนที่เป็นผู้นำ หรือ เถ้าแก่ ถ้ายิ่งมองออกและรู้ว่าแต่ละคนในทีมมีความสามารถอะไร มีจุดเด่นอะไร ก็ให้สนับสนุนเต็มที่ ส่วนคนที่มีจุดด้อยก็ให้โอกาสให้ทีมได้เรียนรู้และพัฒนาศักยภาพ แบบนี้จะทำให้เป็นที่รักและทำให้ทุกอย่างสำเร็จได้ง่ายขึ้น
3. ความเชี่ยวชาญเรื่องใดเรื่องหนึ่งสำคัญ แต่การที่ทำอะไรได้หลายอย่างแม้จะไม่เชี่ยวชาญซักอย่างก็ไม่ใช่เรื่องผิด ถ้าหากเรารู้ว่าหลายอย่างที่เราไม่เชี่ยวชาญนั้นช่วยเติมเต็มอะไร หรือ มีคุณค่ากับใคร เพราะทุกคนล้วนมีคุณค่าในแบบของตัวเอง ไม่จำเป็นต้องมีคุณค่าตาม pattern ของใคร
4. บางครั้งการมีธุรกิจไม่จำเป็นต้องสำเร็จอย่างโดดเดี่ยว โดยการตัดแข้งตัดขาคู่แข่งทางธุรกิจออกไปทั้งหมด เพราะสิ่งนี้ไม่ทำให้ธุรกิจเติบโตได้อย่างยั่งยืน การทำธุรกิจที่เอื้อให้ทั้งเราและรอบข้างโตไปด้วยกัน จะช่วยช่วยเสริมบารมีในวันที่เราโตขึ้นกว่าเดิม ซึ่งท้ายที่สุดก็จะเป็นอีกหนึ่งปัจจัยที่ช่วยส่งเสริมธุรกิจของเราเติบโตอย่างยั่งยืนด้วย
5. เทคนิคที่ยังคงใช้ได้ตลอดการในการทำให้ธุรกิจเป็นที่รู้จัก คือ การทำให้ (ดี) ยังไงก็ได้ให้ร้านเป็นที่พูดถึงปากต่อปากให้มากที่สุด ที่เหลือจากนั้น คือ สิ่งที่จะต้องทำอย่างต่อเนื่อง เช่น การทบทวนแผน การพัฒนาหาทางขยับขยาย การลงทุนอื่นๆ เพื่อขยายทุนต่อ การบริหารจัดการร้าน การจัดการคน การตลาด การรักษาฐานลูกค้า และการรักษาคุณภาพ
อ่านมาถึงตรงนี้ สำหรับคนที่เคยดูแล้วแต่มองผ่านแง่คิดดีๆ เหล่านี้ไป อาจจะต้องลองย้อนกลับไปดูอีกสักครั้ง อาจจะได้อะไรมากกว่าเดิมก็ได้นะคะ ส่วนใครที่ยังไม่เคยดูอยากขอแนะนำให้ดูเพราะทุกเรื่อง Feel good จริงๆ แม้จะมีดราม่าบ้าง แต่มันทำให้เราได้เห็นแง่มุมที่หลากหลายของชีวิต ดูแล้วน่าจะรู้เลยว่าแต่ละแง่คิดที่กลั่นออกมา สะท้อนผ่านตัวละครตัวไหนบ้าง รับรองว่าทุกเรื่องจะทำให้เรามี "พลัง" ลุกไปทำงาน หรือ ทำอะไรดีๆ ต่อ ได้แน่นอนค่ะ
โฆษณา