17 ก.ค. 2020 เวลา 07:59 • การเมือง
5 จิตวิทยาการเมืองที่ทำให้"ความเชื่อ"เป็นศัตรูกับ"ความจริง"(โปรดใช้วิจารณญาณ)
การเมืองไทยเป็นสิ่งที่เราหลายคนไม่ว่าจะเป็นคนรุ่นใหม่หรือคนรุ่นเก่าล้วนติดตามการเปลี่ยนแปลงมาโดยตลอด โดยเฉพาะสื่อใน Social Media ต่างๆ ทำให้ข่าวการเมืองแพร่กระจายไปได้อย่างรวดเร็วมากๆ บ้างก็เป็นFact News บ้างก็เป็นFake News
Rolf Dobelli อดีต CEO ของบริษัทในเครือสวิสต์แอร์และนักเขียนหนังสือที่ชื่อ 52 วิธีตัดสินใจไม่ให้พลาด ซึ่งติดอันดับขายดีในเยอรมันนีได้เขียนถึงหลุมพลางทางจิตตวิทยาที่ทำให้มนุษย์เราสามารถตัดสินใจได้อย่างไร้เหตุผลโดยที่เราไม่รู้ตัว และเขายังได้เขียนถึงจิตวิทยาถึง"ภาพลวงจาจากข่าว"ด้วยว่าเขาใช้จิตวิทยาอย่างไรให้คุณหลงเชื่อในข่าวนั้น(ซึ่งผลจะเล่าในตอนท้ายบท)
Rolf Dobelli
แล้วจิตวิทยาอะไรที่ทำให้เราแยกแยะระหว่างความเชื่อมั่นกับความจริงไม่ออก Near us จะอธิบายให้ฟังครับ
ก่อนอื่นเรามาทำความเข้าใจคำว่า Hate Speech กันก่อน
Hate Speech หมายถึง วาจาที่สร้างความเกลียดชังเป็นปรากฏการณ์ที่กำลังเกิดขึ้นในสังคมไทยที่มีการแบ่งพรรคแบ่งพวก โดยแต่ละฝ่ายต่างก็ประดิษฐ์ถ้อยคำสร้างวาทกรรมแรง ๆ ออกมาโจมตีอีกฝ่ายเพื่อสร้างความเกลียดชังในสังคม อย่างที่เราคุ้นหูกันดีก็เช่นคำว่า "อำมาตย์", "ไพร่", "สลิ่ม" ฯลฯ ซึ่งสิ่งเหล่านี้ ล้วนแต่ใช้จิตวิทยาในการแสวงหาผลประโยชน์ทั้งสิ้น เริ่มจาก
1. จิตวิทยา"การอ้างเหตุผล"
Rolf Dobelli ได้อธิบายว่า "คนเรามักจะเสพติดการให้เหตุผลมากเสียจนต้องหยิบมันมาใช้แม้แต่ในยามที่ไม่จำเป็น ขอให้คุณพกคำว่า เพราะ ติดตัวไว้เสมอและหยิบมาใช้บ่อยๆ เพราะต่อให้มันฟังไม่ขึ้นแค่ไหน แต่ถ้ามีน้ำหนักพอในสายตาคนอื่น มันก็ใช้ได้ผล"
คุณจำคำพูดของ"ลูงนกหวีด"ที่อยู่ในรูปข้างบนได้ไหมครับ เขาได้พูดถึงวลีเด็ดที่ใช้อ้างเป็นเหตุผลที่ดูมีน้ำหนักที่ ณ ตอนนั้นคนไทยหลายคนให้ความหวังว่าจะมีการ "ปฏิรูปก่อนเลือกตั้ง" เพื่อให้ประเทศไทยเข้าสู่ New Normal ทางการเมืองใหม่เพื่อให้การเลือกตั้งเป็นไปโดยสุจริตและยุติธรรมตามกฏหมายบ้านเมือง ผลก็คือคนหลายล้านคนหลงเชื่อในสิ่งที่ลุงนกหวีดพูดและทำให้เขาได้ในสิ่งที่เขาต้องการ เหมือนในรูปนี้ใงครับ
https://mgronline.com/politics/detail/9570000070734(เหตุการณ์ที่ ลุงนกหวีดได้คุยกับ ป.เพื่อล้มระบอบ ท.ษ.)
การปฏิรูปก่อนเลือกตั้งของ"ลุงนกหวีด"
ที่มา:สถาบันพระปกเกล้า(จะอ่านหรือไม่อ่านก็ได้นะครับ)
ผลก็คือ ลุงนกหวีดคนนี้กลับไปสนับสนุน"ป."ให้มาเป็นนายกรัฐมนตรีแทน โดยคำว่าปฏิรูปก่อนเลือกตั้งของ"ลุงนกหวีด"ทำให้การเลือกตั้งในปี 2562 ได้ผลมาแบบนี้
อีก 1 ตัวอย่าง
https://www.bangkokbiznews.com/news/detail/831076
หรือไม่ก็แบบนี้
ขอบคุณรูปภาพจากช่อง เจาะข่าวตื้น EP 214 ด้วยครับ
Rolf Dobelli ยังอธิบายต่อว่า "ถ้าคนที่เป็นผู้นำไม่ยกเหตุผลที่ดีพอมาสนับสนุนเป้าหมายของคุณ แรงจูงใจของพนักงานและลูกน้องก็จะน้อยลง"
ซึ่งสิ่งๆนี้ก็ได้ตามเล่นงานลุงนกหวีดในภายหลัง เพราะในหลังจากที่เขาประกาศจะกลับมาเล่นการเมืองอีกครั้งก็ทำให้คนไทยส่วนใหญ่เริ่มรู้กลทางจิตวิทยาของลุงแล้ว ผลก็คือจำนวน สส.ที่ได้ไม่ถึง 10 ที่นั่งด้วยซ้ำ ดังรูป
https://www.prachachat.net/politics/news-306486
2. จิตวิทยา "การตัดสินจากความรู้สึกแวบแรก"
Roft Dobelli ได้อธิบายว่า "เหตุผลข้อแรกที่คนเราไม่สามารถนึกถึงข้อดีและข้อเสียทั้งหมดของสิ่งต่างๆได้ เพราะเราถูกตีกรอบด้วยความคิดแรกที่แวบเข้ามาในหัวและประสบการณ์อันน้อยนิด"
เรามาดูตัวอย่างกันดีกว่าครับว่า ฝ่ายประชาธิปไตย Vs ฝ่ายเผด็จการ พวกนี้มีเบื้องหลังอย่างไรกันบ้าง โดยผมจะยกข้อดีและข้อเสียแต่ละพรรคอย่างคร่าวๆนะครับ
ฝ่ายประชาธิปไตย
ข้อเสีย เผด็จการรัฐสภาปี 2548
พรรค ทรท.(ชื่ออดีตของพรรค พท.) ซึ่งมีอายุไม่ถึง 3 ปี กำชัยชนะในการเลือกตั้งปี 2544 ได้เป็นแกนนำในการจัดตั้งรัฐบาล ส่ง "นักธุรกิจหมื่นล้าน" ขึ้นเป็นนายกรัฐมนตรีคนที่ 23 ของไทย(คนๆนั้นก็คือ ท.ษ.)
ประวัติศาสตร์หน้าต่อไปที่ท.ษ.ก็คือเป็นรัฐบาลที่อยู่ในวาระครบเทอม แต่ในระหว่างทาง หัวหน้า ทรท. ได้กวาดต้อนเอาพรรคเล็กพรรคน้อยมาควบรวมไว้ในสังกัดอย่างต่อเนื่อง ก่อนการเลือกตั้งปี 2548 จึงเหลือพรรคการเมืองในสภาฯ เพียง 4 พรรค ขณะที่ ทรท. มียอด ส.ส. ในสังกัดถึง 320 คน
ด้วยจุดแข็งในพื้นที่ของผู้แทนฯ กระแสนิยมในตัวผู้นำ และนโยบายประชานิยมที่ประชาชนจับต้องได้ ทำให้ ทรท. ชนะเลือกตั้งอย่างถล่มทลาย 377 เสียง จัดตั้งรัฐบาลพรรคเดียวได้สำเร็จเป็นครั้งแรกและครั้งเดียวในประวัติศาสตร์
เสียงวิจารณ์ที่ตามมาคือ ท.ษ.กับพวกละเลย-ละเมิดรัฐธรรมนูญบางมาตรา มีความพยายามแทรกซึมองค์กรอิสระ ขณะที่กลไกฝ่ายนิติบัญญัติก็ไม่สามารถตรวจสอบฝ่ายบริหารได้ กลายเป็นที่มาของวาทกรรม "เผด็จการรัฐสภา"นั่นเองครับ
สรุปง่ายๆก็คือ คุณมีสส.ในสภาเกินครึ่งทำให้คุณรวบอำนาจในคราบของประชาธิปไตยได้ ทำให้เกิดระบบ"พวกมากลากไป"นั่นเอง
อยากดูเพิ่มเติม ลิงค์นี้ครับ
ข้อดีของพรรค พท.
1.โครงการหนึ่งตำบล หนึ่งผลิตภัณฑ์ (OTOP)
2.โครงการพัฒนาหมู่บ้านและชุมชน (SML)
3.โครงการหลักประกันสุขภาพถ้วนหน้า(30บาท รักษาทุกโรค)
อยากดูเพิ่มเติม ลิงค์นี้ครับ
ฝ่ายเผด็จการ
ข้อเสีย เผด็จการรัฐสภา ปี 2562
ที่มา https://www.thairath.co.th/infographic/2443
ข้อดี
1.เขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก(EEC) โดย
1.1การพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานต่างๆ เช่น โครงการรถไฟความเร็วสูงเชื่อม 3 สนามบิน และท่าเรือมาบตาพุด ระยะที่ 3
1.2การดึงดูดการลงทุนในอุตสาหกรรมเป้าหมาย โดยสามารถทำให้เกิดเม็ดเงินลงทุนได้พอสมควร กล่าวคือในช่วงปี 2558-2561 มีมูลค่าการลงทุนของโครงการที่ได้รับอนุมัติการลงทุนรวม 1.014 ล้านล้านบาทในพื้นที่ EEC และ 1.110 ล้านล้านบาทในอุตสาหกรรมเป้าหมาย
1.3การดึงดูดให้มหาวิทยาลัยระดับโลกเข้ามาตั้งในประเทศไทย โดยเฉพาะ CMKL University ซึ่งเป็นสถาบันร่วมระหว่างมหาวิทยาลัยคาร์เนกีเมลลอนกับสถาบันเทคโนโลยีพระจอมเกล้าเจ้าคุณทหารลาดกระบัง และการเปิดให้บางคณะของมหาวิทยาลัยแห่งชาติไต้หวัน (NTU) เข้ามาเปิดสอนในประเทศไทย
1.4การดึง แจ็ค หม่า ประธานกรรมการบริหาร กลุ่ม บ.อาลีบาบา เข้ามาร่วมลงทุนในโครงการ สมาร์ท ดิจิทัล ฮับ ในพื้นที่ ECC มูลค่าลงทุนกว่า 11,000 ล้านบาท
ที่มา https://thaipublica.org/2018/11/eec-new-s-curve-vocational-education-workforce/
อยากดูเพิ่มเติม ลิงค์นี้ครับ
Roft Dobelli ยังอธิบายต่อว่า "ความรู้สึกชั่ววูบที่เกิดขึ้นโดยไม่รู้ตัวนี้ทำให้คุณไม่ได้ตัดสินสิ่งต่างๆด้วยการพิจารณาประโยชน์และโทษของมันอย่างถี่ถ้วนตามความเป็นจริง แต่กลับตัดสินด้วยความรู้สึก และเมื่อคุณชอบอะไรซักอย่าง คุณจะเชื่อมันว่ามันมีโทษน้อยกว่าและมีประโยชน์มากกว่า"
3.จิตวิทยา "อคติจากสิ่งแรกและสิ่งล่าสุดที่รับรู้"
ผมมีคำถามหนึ่งอยากลองถามคุณผู้อ่านครับ
นายA เป็นคน ฉลาด ขยัน หุนหันพลันแล่น ดื้อรั้น และขี้อิจฉา
นายB เป็นคน ขี้อิจฉา ดื้อรั้น หุนหันพลันแล่น ขยัน และฉลาด
ความรู้สึกแวบแรกของคุณคิดว่าใครดีกว่ากันครับ แบบ A ใช่ไหม?
Rolf Dobelli ได้อธิบายว่า "จงจำไว้ว่าอย่าตัดสินจากอคติจากสิ่งแรกสุดที่รับรู้จากความประทับใจแรก เพราะสมองของคุณมักจะจำเรื่องราวแรกๆที่ได้ยินและได้ฟังดีกว่าข้อมูลดำดับท้ายๆ และมันจะหลอกให้คุณหลงทาง"
Rolf ยังอธิบายต่ออีกว่า "อคติจากสิ่งแรกสดที่รับรู้ยังมีอีกขั้วหนึ่งก็คือ อคติจากสิ่งล่าสุดที่รับรู้ เพราะสมองคนเรามักจะจดจำข้อมูลที่รับรู้มาสดๆร้อนๆได้ดีกว่า เพราะสมองมักจะจดจำข้อมูลได้จำกัด ทำให้เมื่อมีข้อมูลใหม่เข้ามา ข้อมูลเก่าก็จะถูกลบทิ้งไป"
คุณจำตอนที่ ธนา. เป็นแกนนำใน Flash Mob ในพรรค"สีส้ม"ได้ไหมครับ คุณรู้ไหมครับว่าทำไม ธนา. ถึงได้รวบรวมคนรุ่นใหม่ให้ต่อต้าน ป. ได้มากขนาดนั้น?
นั่นก็เพราะว่า เขาใช้จิตวิทยาตัวนี้ยังใงล่ะครับ เพราะคนรุ่นใหม่ช่วง Gen Z(อายุ11-25ปี) ส่วนใหญ่ใช้Social Media กันหมดแล้ว ซึ่ง ธนา. ก็รู้เรื่องนี้ดี เขาจึงได้สร้างCampane อย่างเช่น
#ฟ้ารักพ่อ
#วิ่งไล่ลุง
หรืออย่างวาทกรรม "เผด็จการจงพินาศ ประชาธิปไตยจงเจริญ"
ซึ่งคนรุ่นใหม่เขาเองก็ไม่ได้รู้ถึงผลงานดีๆที่ คสช.และ ประ. ทำเอาไว้ แต่รู้ถึงข้อเสียเต็มๆเพราะนอกจากจะมี Social Media ที่ชอบใส่ไฟเรื่องร้ายๆด้านเดียวนี้แล้ว ยังมีจิตวิทยา"ภาพลวงตาจากข่าว"ที่ชอบเอาเรื่องชอบเอาเรื่องอื้อฉาว ติดกระแส ชวนติดตาม โดยเป็นความจริงเพียงครึ่งเดียวเท่านั้นด้วย(ซึ่งผมจะอธิบายในจิตวิทยาที่5"ภาพลวงตาจากข่าว"ครับ)ผลก็คือคนรุ่นใหม่จะมีอาการ"หัวร้อนทางการเมือง"ได้ง่ายมากครับ
สุดท้าย นักเรียน นักศึกษาก็จะตกเป็นเหยื่อของจิตวิทยา"อคติจากสิ่งแรกและสิ่งล่าสุดที่รับรู้"หมด เพราะ ธนา. เขาวางแผนและทำการตลาดทางจิตวิทยาตัวนี้มาเรียนร้อยแล้วนั่นเอง
แล้วคุณอยากรู้ไหมครับว่า เบื้องหลังของ ธนา. เขามีอะไรซ่อนอยู่ ตามมาเลยครับ
อย่างแรกเลยคือ ธนา. ได้เขียนหนังสือที่สื่อให้เห็นว่ากำลังจาบจ้วง"เบื้องสูง"พอสมควร โดยได้เขียนในหนังสือ Portrait ธนา.ขึ้น
ขอบคุณเพจ sondhitalk (ผู้เฒ่าเล่าเรื่อง) ด้วยครับ
และมีข้อความหนึ่งที่น่าสนใจที่ ธนา. เขียนเอาไว้ในหนังสือครับ
ขอบคุณเพจ sondhitalk (ผู้เฒ่าเล่าเรื่อง) ด้วยครับ
และนี่ก็คือ เบื้องหลังอีกด้านของ ธนา. โปรดใช้วิจารณญาณด้วยนะครับ เราต้องก้าวข้ามจิตวิทยา "อคติจากสิ่งแรกและสิ่งล่าสุดที่รับรู้" ให้ได้ แล้วความจริงจะปรากฏออกมาให้เราเห็นเอง(ผมไม่ได้เข้าข้าง คสช.นะครับ แต่ต้องการนำเสนอความจริงอีกด้านเท่านั้น)
อยากดูเพิ่มเติม ลิงค์นี้ครับ
4.จิตวิทยา "อคติจากสิ่งที่โดดเด่น"
Rolf Dobelli ได้อธิบายว่า "อคติจากสิ่งที่โดดเด่นคือสิ่งที่สะดุดตาหรือเตะตาและได้รับความสนใจมากจนเกินควรโดยมันมีอิทธิพลต่อความคิดและการกระทำมากกว่าที่ควรจะเป็น นอกจากนี้ เรามักมองข้ามปัจจัยอื่นๆที่ไม่โดดเด่น ไม่ชัดเจน โดยเฉพาะ "ความจริง" เพราะฉะนั้น อย่าให้ความโดดเด่นมาทำให้คุณหลงทาง"
ซึ่งในกรณีของการที่คุณ "ช" ได้แถลงอภิปรายไม่ไว้วางใจนอกสภาเกี่ยวกับเรื่องการทุจริจของ 1MDB ก็เป็นหนึ่งในการสร้างอคติจากสิ่งที่โดดเด่นเช่นกันครับ และทำให้คนรุ่นใหม่อยากๆคนอาจเข้าใจผิดได้และอาจทำให้ ประ.ดูเลวร้ายเกินความจริงโดยไม่เป็นความจริง แล้วความจริงอีกด้านคืออะไร Near us จะอธิบายให้ฟังครับ
ความจริงอีกด้านหนึ่งก็คือ “ช” ได้ทำการตัดแปะข่าว หวังทำลาย “พล.อ ประ.” โดยการรับข้อมูลจาก “พล.ต.ท.”ที่หวังต่อยอดล้ม ผบ.ตร.“บิ๊กแป๊ะ”(เพราะเนื่องจากว่าถ้า พล.อ ประ.ล้มลง คนที่เป็นผบ.ตร.ก็จะต้องเซด้วยเพราะนายกรัฐมนตรีมีอำนาจในการแต่งตั้งผบ.ตร.) ซึ่งสิ่งที่"ช"กล่าวหา"ประ."โดยไม่มีมูลความจริง ได้แก่
1.อ้างว่านายนาจิบเป็นพันธมิตรมืดกับ พล.อ."ประ." เพราะมาเยือนไทยและจับมือถ่ายรูปหลังการรัฐประหารนั้น เป็นการกล่าวหาที่ง่ายเกินไป เพราะนายนาจิบถ่ายรูปกับอีกหลายคน เช่น บารัก โอบามา, ริชาร์ด แบรนสัน เจ้าของสายการบินเวอร์จิน, แจ๊ก หม่า ทำไมไม่เรียกคนเหล่านี้เป็นพันธมิตรมืดด้วย
2. รัฐบาลไทยไม่จับกุมนายโจโลว์ เป็นการทำลายความสัมพันธ์ระหว่างไทยกับมาเลเซียก็ไม่เป็นความจริง เพราะในระหว่างที่นายมหาเธร์ มูฮัมหมัด เป็นนายกฯ มาเลเซีย ช่วงพฤษภาคม 2561 จนถึงกุมภาพันธ์ 2563 ได้มาเยือนไทยอย่างเป็นทางการอย่างน้อย 3 ครั้ง ไม่นับการเจอกันบนเวทีนานาชาติอีกหลายครั้ง แต่ไม่เคยสอบถามถึงเรื่องการจับกุมนายโจโลว์เลย ซึ่งหากเรื่องนี้เป็นปัญหาจริง ผู้นำมาเลเซียต้องคุยกับนายกรัฐมนตรีของไทยแล้ว
อยากรู้รายละเอียดเพิ่มเติม ลิงค์นี้เลยครับ
ขอบคุณเพจ sondhitalk (ผู้เฒ่าเล่าเรื่อง) ด้วยครับ
Rolf Dobelli ยังอธิบายอีกว่า "ภาพลวงตาที่ว่าด้วยจุดสนใจ คือการที่เรามั่นใจว่าตัวเองมองเห็นทุกสิ่งที่เกิดขึ้นตรงหน้า แต่ความจริงแล้วเรามักจะมองเห็นเฉพาะสิ่งที่เราให้ความสนใจเท่านั้นโดยมองข้ามสิ่งที่ไม่คาดคิดหรือถูกซุกซ่อนอยู่เบื้องหลัง"
5.จิตวิทยา "ภาพลวงตาจากข่าว"
Rolf Dobelli ได้อธิบายว่า สมองคนเราชอบตอบสนองต่อข้อมูลที่อื้อฉาว น่าตื่นเต้น เกี่ยวข้องกับผู้คน เป็นกระแส ซึ่งกระตุ้นให้เราเกิดความสนใจได้มาก ในขณะที่ข้อมูลเกี่ยวกับเรื่องที่เป็นนามธรรม ซับซ้อน และเป็นความจริงจะกระตุ้นความสนใจได้น้อย ผู้ผลิตรายการข่าวจึงใช้ประโยชน์นี้โดยการนำเสนอภาพที่สะดุดตาและน่าตื่นเต้นเพื่อกระตุ้นให้เกิดความสนใจ
Rolf ได้อธิบายต่อว่า "ด้วยความที่รูปแบบธุรกิจของรายการข่าวจึงต้องดึงดูดผู้ชมเพื่อให้บริษัทต่างๆมาซื้อเวลาโคษณาด้วยการจำกัดข้อมูลที่ไม่สามารถกระตุ้นความสนใจของผู้คนได้ โดยเฉพาะข้อมูลที่เป็นนามธรรม ซับซ้อน แม้มันจะเป็นประโยชน์หรือช่วยให้เราเข้าใจความจริงของโลกใบนี้ก็ตาม ทำให้การบริโภคข่าวสารในลักษณะนี้ไม่ต่างอะไรจากการรับฟังข้อมูลผิดๆ"
หากใครที่เคยติดตามข่าวจากช่องใดช่องหนึ่งในรูปภาพข้างต้น(ภาพซ้ายขึ้นต้นด้วยV ส่วนด้านขวาขึ้นต้นด้วยN) คุณก็คงจะทราบดีว่า ช่องไหนเข้าข้างพรรคการเมืองฝ่ายใด(ลองดูสีที่Near us เซนเซอร์ดีๆนะครับ)
และผลที่ตามมาก็คือ เมื่อใดก็ตามที่คุณได้เข้าข้างพรรคการเมืองพรรคใดพรรคหนึ่งอย่างสุดขั้วโดยมีสาเหตุมาจากการที่คุณได้ตกหลุมพรางจิตวิทยา ผลก็คือคุณก็จะต้องฟังความจริงด้านเดียวไม่ช่อง Vก็Nแน่นอน เพราะเขาได้เตรียมการนำเสนอเพื่อสนองอคติของคุณโดยที่คุณไม่รู้ตัวเรียบร้อยแล้วนั่นเอง
ซึ่งจิตวิทยานี้ก็เป็นสิ่งที่คนรุ่นใหม่รวมถึงคนรุ่นเก่าบางคนไม่รู้ ทำให้พวกเขาจะตกอยู่ในความเสี่ยงของการกระทำที่ผิดกฎหมายที่เกี่ยวข้องกับการชุมนุมต่างๆและกฎหมายที่เกี่ยวกับSocial Media ด้วย เพราะฉะนั้นเราต้องระวังเรื่องนี้ให้ดีๆ เพราะ "การเมืองเป็นสิ่งที่ฆ่าคนให้เสียคนได้ถ้าอยู่ไม่เป็น"
โฆษณา