17 ก.ค. 2020 เวลา 00:44 • หุ้น & เศรษฐกิจ
EP 20 การกลับมาฟื้นตัวของเศรษฐกิจจีนไตรมาสที่ 2 คือความหวังของเศรษฐกิจโลกหรือไม่
วันนี้ขอเปลี่ยนบรรยากาศมาเป็นบทความบ้าง ปกติเขียนอยู่นะคะ แล้วนำมาทำเป็นpodcast ไม่แน่ใจชอบแบบไหนมากกว่ากัน เข้าเรื่องเลยแล้วกันค่ะ
Good Sharing วันนี้ขอเสนอเรื่องของเศรษฐกิจใหญ่อันดับสองของโลกที่เศรษฐกิจตกฮวบในสามเดือนเดือนแรกของปีนี้ในช่วงการล็อคดาวน์จากการแพร่ระบาดของโคโรน่าไวรัส
สิ่งที่น่าสนใจคือ ข้อมูล GDP จีนที่เผยแพร่มาล่าสุด ปรากฏว่ากลับมาเติบโตในเดือนเม.ย. ถึง. มิ.ย. 3.2% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน
ตัวเลขเศรษฐกิจดังกล่าวเป็นที่จับตาอย่าใกล้ชิด หลังจากที่เศรษฐกิจจีนเริ่มกลับมาฟื้นตัว ทั้งนี้ผู้เชี่ยวชาญหลายท่านกล่าวว่าตัวเลขนี้สูงกว่าที่คาดการณ์เอาไว้ที่2.5% และชี้ว่าจะนำไปสู่การฟื้นตัวเป็น V Shape นั่นหมายถึงการร่วงลงอย่างรุนแรงและฟื้นกลับมาตัวได้รวดเร็ว
และยังหมายถึงการที่จีนสามารถหลีกเลี่ยงการเข้าสู่ภาวะถดถอยเชิงเทคนิค (technical recession) นั่นคือการที่เศรษฐกิจติดลบสองไตรมาสต่อเนื่อง
โดยใตรมาสที่ 1 เศรษฐกิจขนาด14 ล้านล้านดอลลารืสหรัฐฯ ได้หดตัวลงไป6.8% เป็นการลดลงในไตรมาสเดียวมากที่สุดเป็นประวัติการณ์ของจีนตั้งแต่มีการเปิดเผยข้อมูลด้านเศรฐกิจในปี 2535 และเป็นครั้งแรกที่จีนรายงานการหดตัวของเศรษฐกิจตั้งแต่2519 ซึ่งในไตรมาสที่หนึ่ง ทั้งโรงงาน ธุรกิจถูกปิดตลอดช่วงเวลาดังกล่าว จากมาตรการเข้มงวดของจีนที่จะรับมือกับการแพร่ระบาดของไวรัส และหลังจากนั้น รัฐบาลก็ได้มีมาตรการออกมาช่วยเหลือเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจของประเทศ ซึ่งนั่นก็รวมถึงการช่วยเหลือเรื่องภาษีต่างๆ
การฟื้นกลับขึ้นมาของประเทศจีนเป็นสิ่งที่ได้มีการคาดการณ์ไว้อยู่แล้ว จีนเป็นประเทศแรกที่ประสบกับการแพร่ระบาดของไวรัส และเป็นประเทศเศรษฐกิจหลักของโลกที่กลับมาเปิดดำเนินการ และยังเป็นประเทศแรกที่กลับมาฟื้นตัวจากการร่วงลงเป็นประวัติการณ์ และการกลับมาเติบโตเป็นประเทศแรกของจีนนี้อาจจะนำไปสู่ข่าวดีของทั้งโลกก็ได้
ทางด้านกองทุนการเงอนระหว่างประเทศ (International Monetary Fund – IMF) ได้กล่าวในเดือนมิ.ย.ว่า เศรษฐกิจโลกจะหดตัว 4.9% ในปี 2563 ซึ่งต่ำกว่าที่มีการคาดการณ์ไว้ในเดือนเม.ย. ซึ่งตอนนั้น IMF ได้มองว่าการฟื้นตัวของเศรษฐกิจจะค่อยๆเกิดขึ้น แต่การหดตัวของเศรษฐกิจจะรุนแรงน้อยลงจากที่คาดการณ์ไว้เรื่องจากเศรษฐกิจสามารถกลับมาสู่ภาวะปกติได้เร็วขึ้นกว่าที่คาดการณ์ไว้ในประเทศที่กลับมาเปิดเศรษฐกิจได้ ทั้งนี้IMF ได้คาดว่าเศรษฐกิจจีนจะโต 1% ในปีนี้ ขณะที่สหรัฐฯ และยุโรป จะเป็นการหดตัวอย่างรวดเร็ว
ในขณะที่การฟื้นตัวของจีนจะมากกว่าที่นักวิเคราะห์ได้คาดการณ์ไว้ แต่ถ้ามาดูไส้ในแล้ว การเติบโตในแต่ละอุตสาหกรรมในจีนก็โตไม่เท่ากัน โดยนักวิเคราะห์จาก Macquarie Group ตั้งข้อสังเกตว่าฝั่งอุปทาน หรือ Supply แข็งแกร่งมากกว่าความต้องการ หรือ Demand ยกตัวอย่างในเดือนมิ.ย. ผลผลิตจากโรงงานโต 4.8% เป็นการเติบโตที่เร็วมากในปีนี้ ส่วนการผลิตในภาคอุตสาหกรรมเทคโนโลยีขั้นสูง ยิ่งแข็งแกร่ง จากการลงทุนที่มากกว่าคาด
ทางด้านยอดค้าปลีก แม้ว่าจะอ่อนแอจากการร่วงลงไป1.8% ในเดือนมิ.ย. นักวิเคราะห์มองว่า น่าจะกลับมาฟื้นตัวได้ โดยการอ่อนแอของภาคค้าปลีกนี้ แสดงให้เห็นว่าทางการจีนจะต้องโน้มน้าวให้ประชาชนกลับมาใช้จ่ายเงินอีกครั้ง ซึ่งที่ผ่านมารัฐบาลจีนได้มีมาตรการกระตุ้นการบริโภคหลากหลายรูปแบบ อย่างเช่น เมื่อช่วงต้นปี ได้มีการให้เงินแก่ผู้ที่มีความต้องการซื้อรถ รวมถึงการคูปองมูลค่ารวมทั้งหมดหลายพันล้านดอลลาร์สหรัฐฯเพื่อให้ประชาชนซื้อของและใช้บริการ ซึ่งครอบคลุมถึงการซื้อสมาร์ทโฟนและกิจกรรมท่องเที่ยวต่างๆ
สิ่งที่เกิดขึ้นคือประชาชนไม่ยอมออกจากที่พักและไปใช้จ่ายนอกบ้านจนกระทั่งพวกเขาแน่ใจว่าจะปลอดภัยจากไวรัส ซึ่งทางการจีนเองก็ออกมายอมรับว่าการกระตุ้นให้ประชาชนออกมาจับจ่ายยังเป็นสิ่งที่ท้าทาย โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อจีนพยายามที่จะควบคุมการแพร่ระบาดของไวรัส
สำนักงานสถิติแห่งชาติของจีน ออกมาแถลงว่าในช่วงครึ่งปีหลังรัฐบาลจะต้องใช้ความพยายามมากขึ้นเพื่อกระตุ้นการจับจ่ายของประชาชนแต่ละคน
ในขณะที่เศรษฐกิจเริ่มจะฟื้น แต่ความตึงเครียดกับสหรัฐฯที่ยิ่งจะลุกลามมากขึ้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งในเรื่องฮ่องกง ทำให้นักวิเคราะห์บางท่านยังคงลังเลว่าการฟื้นตัวจะเป็นลักษณะ V Shape หรือไม่
เมื่อเดือน พ.ค. จีนได้ประกาศว่าในปีนี้จะไม่มีการกำหนดเป้าการเติบโตทางเศรษฐกิจจากการที่เผชิญกับการแพร่ระบาดของไวรัสโคโรน่า และก็เป็นครั้งแรกที่รัฐบาลจีนไม่กำหนดเป้าหมายGDP ตั้งแต่ปี 2533 ซึ่งเป็นปีที่มีการบันทึกการกำหนดเป้าหมายการเติบโตทางเศรษฐกิจของจีน
สำหรับการเติบโตของเศรษฐกิจจีนในช่วงหกเดือนแรก ทางสำนักงานสถิติแห่งชาติจีนเปิดเผยว่าเศรษฐกิจจีนติดลบไป 1.6% ในปีนี้
อย่างไรก็ตาม ความท้าทายยังมีอย่างต่อเนื่อง นอกจากเรื่องความตึงเครียดระหว่างสหรัฐฯและจีนแล้ว ยังมีการแพร่ระบาดของไวรัสระลอกสอง นักวิเคราะห์จากโนมูระมองว่าทั้งเศรษฐกิจจีนและเศรษฐกิจโลก อาจจะได้รับผลกระทบรุนแรงอีกครั้งจากการแพร่ระบาดระลอกสองในช่วงฤดูหนาว
ไตรมาส 2 เศรษฐกิจจีนกลับมาโต 3.2% หลังจากร่วงหนักในไตรมาส 1

ดูเพิ่มเติมในซีรีส์

โฆษณา