19 ก.ค. 2020 เวลา 02:40 • ธุรกิจ
ประเทศ FANGMAN กำลังจะก้าวขึ้นมาเป็นผู้นำโลก
อุตสาหกรรมเทคโนโลยี ได้ก้าวขึ้นมาเป็นธุรกิจหลักของโลกอย่างชัดเจน
และดูเหมือนว่า นับวันจะยิ่งเติบโตทิ้งห่างคนอื่นมากขึ้นเรื่อยๆ ด้วย
โดยเฉพาะบริษัทกลุ่มหนึ่ง ซึ่งถูกจับตามองเป็นพิเศษ
กลุ่มที่สมาชิกประกอบไปด้วยบริษัทชั้นนำ 7 แห่ง
กลุ่มที่สินค้าและบริการ เข้าไปอยู่ในทุกอิริยาบถของชีวิตประจำวันมนุษย์
กลุ่มที่มีมูลค่าหลักทรัพย์รวมกันใหญ่กว่า GDP ประเทศมหาอำนาจ
ลงทุนแมนขอเรียกแทนพวกเขาว่า “ประเทศ FANGMAN”
ก่อนอื่น ขอให้ลองนึกภาพว่า FANGMAN เป็นประเทศหนึ่งที่บรรยากาศบ้านเมืองเต็มไปด้วยความล้ำสมัยทางเทคโนโลยีในแทบทุกด้าน
และมีสมาชิกกลุ่ม 7 บริษัท ได้แก่ Facebook, Amazon, Netflix, Google, Microsoft, Apple, Nvidia เปรียบเสมือนเมืองต่างๆ ภายในประเทศ
หลายคนอาจสังเกตเห็นแล้วว่า ชื่อประเทศ FANGMAN นั้นถูกตั้งมาจากอักษรตัวแรกของชื่อเมืองที่กล่าวไปเรียงตามลำดับนั่นเอง
ทีนี้เรามาลองเดินทางไปทำความรู้จักกับแต่ละเมืองกันสักเล็กน้อย
เมืองแรก - Facebook
ที่นี่คือศูนย์กลางของการติดต่อสื่อสาร โดยเป็นผู้ให้บริการแพลตฟอร์มโซเชียลมีเดียอย่าง Facebook, Instagram และแอปพลิเคชันแช็ตอย่าง WhatsApp, Messenger ซึ่งทุกรายล้วนมีฐานผู้ใช้งานสูงเกิน 1,000 ล้านบัญชี
Cr. Charlie Wright
ถ้าเปรียบเทียบ Facebook เป็นเมืองจริงในโลกนี้ก็คงต้องเป็น “เมืองลอนดอน” ที่เป็นเหมือนศูนย์กลางการติดต่อทั้งด้านการเงินและเศรษฐกิจ ของผู้คนทั่วโลกทั้งฝั่งสหรัฐฯ ยุโรป และเอเชีย
เมืองที่สอง - Amazon
ใครอยากชอปปิง ต้องไปเยือนเมืองนี้ เพราะ Amazon เป็นเจ้าของแพลตฟอร์ม E-commerce รายใหญ่ ที่มีสินค้าให้เลือกหลากหลาย และจัดส่งให้ลูกค้าอย่างรวดเร็ว โดยปี 2019 สามารถครองส่วนแบ่งตลาดค้าปลีกออนไลน์สหรัฐอเมริกา ได้ถึง 52%
นอกจากนั้นเมือง Amazon ยังเป็นที่อยู่ของบุคคลร่ำรวยที่สุดในโลก นั่นคือ คุณเจฟฟ์ เบโซส ซึ่งมีทรัพย์สินมูลค่า 5.9 ล้านล้านบาท
ถ้าเปรียบเทียบ Amazon เป็นเมืองจริงในโลกนี้ก็คงต้องเป็น “เมืองปารีส” ที่เป็นเหมือนศูนย์กลางการชอปปิงในโลกนี้ และมีสินค้าแบรนด์เนมมากมายเกิดขึ้นที่เมืองนี้
Cr. Adweek
เมืองที่สาม - Netflix
นี่อาจเป็นเมืองในฝันของคนที่ชื่นชอบความบันเทิง เนื่องจาก Netflix คือผู้ให้บริการแพลตฟอร์มภาพยนตร์ออนไลน์ ที่ได้รับความนิยมไปทั่วโลก ล่าสุดมีจำนวนสมาชิกอยู่ทั้งหมด 183 ล้านบัญชี
ถ้าเปรียบเทียบ Netflix เป็นเมืองจริงในโลกนี้ก็คงต้องเป็น “เมืองลอสแอนเจลิส” ที่เป็นเหมือนศูนย์กลางความบันเทิง และเป็นที่ตั้งของฮอลลีวูด แหล่งรวมสตูดิโอภาพยนตร์หลายค่าย
Cr. What’s on Netflix
เมืองที่สี่ - Google หรือชื่อทางการคือ Alphabet
ที่นี่เป็นเหมือนหอสมุดแห่งชาติ เพราะว่ามีคนเข้าไปค้นหาข้อมูลบนเว็บไซต์ Google สูงถึง 3,500 ล้านครั้งต่อวัน รวมทั้งยังให้บริการแพลตฟอร์มที่เกี่ยวข้องกับข้อมูลประเภทต่างๆ อีกมากมาย เช่น YouTube, Google Chrome, Google Maps, Gmail, Google Drive
Cr. PCMag
ถ้าเปรียบเทียบ Google เป็นเมืองจริงในโลกนี้ก็คงต้องเป็น “เมืองบอสตัน” ที่เป็นเหมือนศูนย์กลางความรู้ และเป็นที่ตั้งของมหาวิทยาลัยชื่อดังมากมาย ทั้งมหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ด และ สถาบันเทคโนโลยีแมสซาชูเซตส์ (MIT)
เมืองที่ห้า - Microsoft
นักธุรกิจ คนทำงาน จะชอบเมืองนี้เป็นอย่างมาก เพราะเมืองนี้จะมีเครื่องมือให้นักธุรกิจได้ต่อยอดการทำงานของพวกเขาให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น รวมไปถึงเป็นเมืองที่เป็นศูนย์กลางการรับสมัครตำแหน่งงานใหม่ๆ อีกด้วย เมืองนี้ก็คือ Microsoft เป็นผู้พัฒนาซอฟต์แวร์สำหรับคอมพิวเตอร์รายใหญ่ ที่ทุกคนต้องเคยใช้ทำงาน ไม่ว่าจะเป็น ระบบปฏิบัติการ Windows หรือโปรแกรม Microsoft Office ซึ่ง Microsoft Team ซอฟต์แวร์ประชุมทางไกลก็กำลังเป็นที่นิยมในเวลานี้ และ Microsoft ยังเป็นเจ้าของแพลตฟอร์ม Linkedin ที่เป็นตัวกลางในการหางานของผู้คนทั่วโลกอีกด้วย
Cr. Lineal
ถ้าเปรียบเทียบ Microsoft เป็นเมืองจริงในโลกนี้ก็คงต้องเป็น “เมืองฮ่องกง” ที่เป็นเหมือนศูนย์กลางของนักธุรกิจจากทั่วโลก งานประชุม สัมมนาระดับโลก ก็มักจัดกันที่ฮ่องกง
เมืองที่หก - Apple
นี่คือเมืองใหญ่สุดของประเทศ FANGMAN เป็นผู้ผลิตและจำหน่ายอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ ที่คอยคิดค้นนวัตกรรมใหม่ๆ มาตอบโจทย์การใช้งานผู้บริโภคอยู่เสมอ เช่น iPhone, iPad, Apple Watch, AirPods
ถ้าเปรียบเทียบ Apple เป็นเมืองจริงในโลกนี้ก็คงต้องเป็น “เมืองโตเกียว” ที่เป็นเหมือนศูนย์กลางของนวัตกรรมด้านนี้ ถ้าจะหาอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ชั้นนำรุ่นล่าสุด ก็คงต้องมาที่เมืองนี้
เมืองสุดท้าย - Nvidia
นี่คือเมืองแห่งสีสัน เมืองที่สามารถทำให้เรื่องราวในชีวิตของเราสนุกขึ้นได้ สินค้าขึ้นชื่อของเมืองนี้คือ หน่วยประมวลผลกราฟิกคอมพิวเตอร์ ซึ่งปัจจุบันครองส่วนแบ่งธุรกิจได้สูงถึง 73% ของตลาด หน่วยประมวลผลกราฟิกคอมพิวเตอร์จะใช้ในการประมวลภาพให้เราได้เล่นเกมอย่างลื่นไหล ประมวลภาพให้เราผลิตงานวิดีโอได้สวยงาม ประมวลภาพให้รถขับด้วยตัวเองโดยอัตโนมัติ
Cr. Nvidia
ถ้าเปรียบเทียบ Nvidia เป็นเมืองจริงในโลกนี้ก็คงต้องเป็น “กรุงเทพมหานคร” ที่เป็นเหมือนศูนย์กลางของความสนุก ทุกคนที่ได้มาท่องเที่ยวเมืองนี้ จะได้ภาพสวยงามที่ประทับใจกลับไป และอยากจะกลับมาที่เมืองนี้อีกครั้ง
2
จะเห็นได้ว่า ทุกเมืองมีจุดเด่นแตกต่างกันไปตามเทคโนโลยีที่ตัวเองถนัด
แต่ไม่ว่าจะเป็น ลอนดอน ปารีส ลอสแอนเจลิส บอสตัน ฮ่องกง โตเกียว กรุงเทพมหานคร
ทุกเมืองที่มีอยู่จริงเหล่านี้กำลังจะถูกประเทศ FANGMAN แย่งตลาดเข้าไปในโลกเสมือน
คำถามคือ เมื่อเมืองเสมือนจริงเหล่านี้ รวมตัวกันเป็นประเทศ FANGMAN จะมีขนาดใหญ่แค่ไหน?
ทุกวันนี้ สินค้าและบริการที่เกี่ยวข้องกับเทคโนโลยี กลายเป็นสิ่งที่เราขาดไม่ได้เสียแล้ว เพราะมันช่วยทำให้ชีวิตมีความสะดวกสบายขึ้นกว่าเดิมมาก
ด้วยเหตุนี้ ผลการดำเนินงานของบริษัทกลุ่ม FANGMAN จึงเติบโตอย่างต่อเนื่อง เช่นเดียวกับมูลค่าหลักทรัพย์ ที่เพิ่มขึ้นจนสูงเป็นอันดับต้นๆ ของโลก
อันดับ 1 Apple มูลค่า 52 ล้านล้านบาท
อันดับ 2 Microsoft มูลค่า 51 ล้านล้านบาท
อันดับ 3 Amazon มูลค่า 50 ล้านล้านบาท
อันดับ 4 Alphabet มูลค่า 33 ล้านล้านบาท
อันดับ 6 Facebook มูลค่า 22 ล้านล้านบาท
อันดับ 18 Nvidia มูลค่า 8 ล้านล้านบาท
อันดับ 20 Netflix มูลค่า 7.5 ล้านล้านบาท
และถ้ารวมทุกบริษัทเข้าด้วยกัน FANGMAN จะมีมูลค่าทั้งหมด 223 ล้านล้านบาท
ซึ่งตัวเลขดังกล่าวคิดเป็น 28% ของดัชนี S&P 500 หรือพูดง่ายๆ หุ้นแค่ 7 ตัว ก็มีสัดส่วนมากกว่า 1 ใน 4 ของมูลค่าหุ้นใหญ่ 500 ตัวแรกของตลาดหุ้นสหรัฐอเมริกาแล้ว
ต่อมา ลองนำ FANGMAN ไปเปรียบเทียบกับประเทศ
เนื่องจากประเทศต่างๆ จะไม่มีมูลค่า Market Cap ที่เราใช้วัดมูลค่าบริษัท
ดังนั้นเราจะประเมินมูลค่าประเทศ จาก GDP แทน
โดยให้ GDP ต่อ มูลค่าประเทศ เท่ากับ 1:1
1
(จริงๆ แล้ว GDP เปรียบเสมือนรายได้ ในที่นี้ก็คือการให้ Price/Sale = 1 ซึ่งบริษัทเทคโนโลยีจะมี Price/Sale ที่สูงกว่า 1 แต่อย่างไรก็ตาม Price/Sale = 1 เป็นตัวเลขที่เหมาะสมในการให้มูลค่าของบริษัทโดยทั่วไป)
GDP ประเทศที่มีขนาดเศรษฐกิจใหญ่สุด 5 อันดับแรกของโลก มีดังนี้
สหรัฐอเมริกา 671 ล้านล้านบาท
จีน 449 ล้านล้านบาท
ญี่ปุ่น 159 ล้านล้านบาท
เยอรมนี 120 ล้านล้านบาท
อินเดีย 90 ล้านล้านบาท
หมายความว่า หาก FANGMAN เป็นประเทศจริงๆ พวกเขาจะใหญ่เป็นอันดับ 3 ของโลกทันที เป็นรองเพียงแค่ สหรัฐอเมริกา และจีน
นอกจากนั้น ยังใหญ่กว่าเศรษฐกิจเยอรมนีกับอินเดีย สองประเทศรวมกันเสียอีก
และใหญ่กว่ามูลค่า GDP ประเทศไทยถึง 13 เท่า..
ที่น่าสนใจคือ ในช่วงเดียวกันของปีที่แล้ว FANGMAN เพิ่งมีมูลค่าอยู่ที่ 131 ล้านล้านบาท
เท่ากับว่า ทั้งกลุ่มมีขนาดใหญ่ขึ้น 70% ภายในระยะเวลา 365 วัน
ซึ่งหลายคนอาจประหลาดใจ ถ้าบอกว่าปัจจัยสำคัญต่อการเติบโตอย่างรวดเร็วนี้ คือการแพร่ระบาดของโรคระบาด COVID-19
เพราะการที่ต้องเว้นระยะห่างทางสังคม ไม่สามารถทำกิจกรรมบางอย่างได้เหมือนอดีต ได้กลายเป็นตัวเร่งให้ผู้คนเปลี่ยนแปลงพฤติกรรม และหันมาพึ่งพาเทคโนโลยีมากขึ้น ส่งผลให้หลายธุรกิจของ FANGMAN ได้รับประโยชน์ไปเต็มๆ
เรื่องราวนี้สะท้อนให้เห็นชัดเจนว่า
มนุษย์กำลังเดินเข้าสู่ยุคใหม่ของประวัติศาสตร์ ที่เทคโนโลยีจะเข้ามามีบทบาทในทุกย่างก้าวของชีวิต
ดังนั้นต่อไป ผู้ที่สามารถกำหนดทิศทางความเป็นไปของโลกได้
อาจไม่ใช่ประเทศมหาอำนาจ อย่างสหรัฐอเมริกา จีน ญี่ปุ่น สหภาพยุโรป หรือรัสเซีย
แต่เป็นขั้วอำนาจใหม่ที่ถือครองเทคโนโลยี
ซึ่งก็คือประเทศ FANGMAN..
โฆษณา