Paella เป็นอาหารที่มีชื่อเสียงของประเทศสเปน เป็นข้าวที่หุงบนกระทะก้นแบนที่มีขนาดเส้นผ่าศูนย์กลางตั้งแต่ 8 นิ้ว(สำหรับทานคนเดียว)ไปจนถึงขนาดใหญ่โตมโหฬาร 60 นิ้ว ส่วนประกอบนอกจากข้าวแล้ว เครื่องเคราก็แล้วแต่จะใส่กัน อาจจะเป็นเนื้อหมู เนื้อไก่ไปจนถึงกุ้งหอยปูปลาชนิดต่าง ๆ ปรุงด้วยเครื่องปรุงนานาชนิดมีมากมายหลายสูตร โดยเราจะพบเห็น Paella มีสีต่าง ๆ กันตามแต่ว่าจะปรุงเป็นอะไรเช่น สีเหลืองเพราะใส่หญ้าฟรั่น สีน้ำตาลเหมือนกับใส่ซีอิ๊วแต่ความจริงเป็นสีที่เกิดจากการทอดหัวหอมใหญ่ หรือสีดำเพราะใส่หมึกของปลาหมึก
คำว่า Paella นั้นจริง ๆ แล้วแปลว่า “กระทะ” หมายถึงตัวกระทะท้องแบนที่นำมาหุง แต่ก็เรียกกันจนกลายเป็นชื่อของอาหารไปแล้ว ภาษาไทยเราเรียกว่า “ข้าวผัดสเปน” ก็อาจจะไม่ตรงกับความเป็นจริงนัก เพราะเขาไม่ได้เอาข้าวมาผัดในกระทะ แต่หุงข้าวบนกระทะนั้นเลย แต่หน้าตาที่ออกมาก็ดูคล้ายข้าวผัด เพราะฉะนั้นก็คงจะเรียกข้าวผัดเพื่อให้เข้าใจง่าย
แล้วชาวสเปนมากินข้าวได้อย่างไร ในขณะที่ฝรั่งชาติอื่น ๆ เห็นกินกันแต่ขนมปังหรือเส้นพาสต้า ว่ากันว่าพวกแขกมัวร์(Moors)ซึ่งปกครองประเทศสเปนอยู่ถึง 800 ปีจนถึงศตวรรษที่ 15 เป็นคนเอาข้าวมาปลูกในแถบแคว้น Valencia เลยทำให้พวกฝรั่งที่อยู่แถวนั้นรับเอาข้าวมาเป็นอาหารหลักอย่างหนึ่งของตน
ข้าวที่ใช้ทำ Paella เป็นคนละชนิดกับข้าวบ้านเรานะครับ ข้าวที่เขาใช้เป็นข้าวพันธุ์ Bomba ซึ่งมีเมล็ดสั้นกว่าข้าวเจ้าแต่ดูดซึมน้ำได้มากกว่า ตามปกติ การหุงข้าวของฝรั่งจะใช้น้ำ 1-2 ถ้วย แต่ถ้าเป็นข้าว Bomba จะต้องใช้น้ำถึง 3 ถ้วย จึงทำให้รสชาติต่าง ๆ ของการปรุงซึมซับเข้าไปในเม็ดข้าวด้วย
แล้วทำไม Paella ซึ่งเป็นอาหารท้องถิ่นของแคว้น Valencia สามารถกลายเป็นอาหารประจำชาติของประเทศสเปนได้? มีเรื่องเล่าว่า นายพลฟรังโก ซึ่งยึดอำนาจปกครองประเทศสเปนเป็นเวลากว่า 40 ปีชอบรับประทาน Paella มาก และในทุกวันพฤหัสบดี ท่านจะต้องออกไปกิน Paella เป็นอาหารกลางวันตามร้านอาหารต่าง ๆ ในกรุงมาดริด พวกภัตตาคารและร้านอาหารเลยต้องมีเมนู Paella ไว้ เผื่อไว้ว่า ถ้าเกิดท่านนายพลเลือกมาร้านของตนจะได้มี Paella ไว้ต้อนรับท่าน ก็เลยทำให้ Paella มีความแพร่หลายเกิดขึ้น ซึ่งอันนี้ก็เป็นเรื่องเล่านะครับ จริงเท็จอย่างไรไม่ทราบได้ รู้แต่ว่าทุกวันนี้มี Paella ให้กินได้ในร้านอาหารทั่วทั้งประเทศสเปน