Blockdit Logo
Blockdit Logo (Mobile)
สำรวจ
ลงทุน
คำถาม
เข้าสู่ระบบ
มีบัญชีอยู่แล้ว?
เข้าสู่ระบบ
หรือ
ลงทะเบียน
TheOldMaster
•
ติดตาม
20 ก.ค. 2020 เวลา 11:48 • การศึกษา
ปั ญ ห า ก า ร เ วี ย น ว่ า ย ต า ย เ กิ ด นี้เป็นปัญหาที่ขบเขี้ยวกันจริงๆ มันเป็นปัญหาเฉพาะหน้า ที่จะต้องปลดปล่อยให้ตัวเองเป็นอิสระจากพันธนาการ เครื่องยึดถือทั้งหลาย
ก็ เ พ ร า ะ ข อ ง ที่ เ กิ ด ม า ต า ย เราหมายมั่นว่าเป็นของๆเราซะหมด มาหยิบมาฉวยเอาอารมณ์ต่างๆ จากของที่เกิดมาตายนี้ว่าเป็นของเราเป็นของเขา เป็นเราเป็นเขา เราจึงตกเป็นทาสของอารมณ์ต่างๆทั้งดีทั้งชั่ว ทั้งสุขทั้งทุกข์ ก็เพราะว่าอวัยวะรับรู้และรู้สึกนึกคิดของสัตว์ทั้งหลาย ที่มันเป็นโทษอยู่เพราะความหมายมั่นหลงผิดว่าเป็นของๆเรา หลงผิดว่าเป็นตนแท้ของเรา
รู ป คือร่างกายที่ประกอบกันขึ้นโดยธาตุสี่ดินน้ำลมไฟ
เ ว ท น า คือสิ่งที่แสดงออกมา เป็นความร้อน ความหนาว ความสุข ความทุกข์ ความดีใจเสียใจ
สั ญ ญ า คือความจดจำหมายรู้ในรูปธรรมนามธรรมทั้งหลาย ทุกอย่างที่ผ่านเข้ามาทางอายตนะ สัญญาจะเก็บเกี่ยวเอาไว้เพื่อส่งผลต่อไป
สั ง ข า ร คือการปรุงแต่งที่จิตเจตนาให้เกิดขึ้นเช่นนั้น คือปรุงว่าดีปรุงว่าชั่ว ปรุงว่านี่เรานี่เป็นเขา ปรุงว่านี่มืดนี่สว่าง นี่ผิดนี่ถูก นี้โง่นี้ฉลาด ซึ่งมันเป็นตัวการสำคัญในการทำหน้าที่แทนจิต จนเราเข้าใจว่านี่เป็นจิตแท้ของเรา
วิ ญ ญ า ณ คือการรับรู้ความรู้สึกทุกชนิด ที่ผ่านมาทางกายและใจ ทันทีที่เรามีความรู้สึกนึกคิด จิตของเราจะแปรเปลี่ยนออกมาในรูปของวิญญาณ แล้วจิตก็ดั้นด้นมาเสวยเวทนาตามความรู้สึกนึกคิด ตามความหมายมั่นทางสังขารว่าเป็นเช่นนั้นเช่นนี้จริงๆ
ซึ่ ง ส ภ า ว ะ เ ดิ ม แ ท้ ของจิตนี้เป็นของบริสุทธิ์มาแต่เดิมแล้ว มันเป็นความว่างที่ไร้ตัวตนไม่มีอัตตาจริงๆ แต่เพราะมันยังง้วนง้านอยู่ในความมืดบอดของอวิชชา มันจึงหลงมาเกิดในสังขารและอวัยวะรับรู้และรู้สึกของสัตว์ทั้งหลาย มันตกเป็นทาสและถูกลากไปโดยความปรุงแต่งแห่งสังขาร รวมทั้งอารมณ์ทั้งหลาย
เมื่อจิตถูกพันธนาการจากเครื่องข้องทั้งหลายแล้ว หนทางการเวียนว่ายตายเกิดก็ปรากฎเป็นลูกโซ่ที่ยากต่อการถอดถอน และมันย่อมเกิดความเข้าใจว่าสังขารทั้งหลายทั้งปวง ทั้งรูปธรรมนามธรรมนี้เป็นตัวเป็นตนที่มีอยู่จริงในโลก
จิตนี้มันถูกดูดซึมซับให้ไปอยู่ไปเกิดกับทุกสัดส่วนของขันธ์ห้า มันจึงตกเป็นทาสอย่างสาหัสกับการที่ต้องทำงาน เป็นอยู่เสวยเวทนาต่างๆของร่างกายและใจ ก็เพราะผลของจิตที่เก็บเกี่ยวเอาอารมณ์ต่างๆนั้นไว้ในตัวของมันนั่นเอง
จิ ต ข อ ง ผู้ ที่ ต รั ส รู้ แ ล้ ว นั้ น เปรียบได้กับความว่างในเวลากลางวัน ที่มันสามารถมองเห็นทุกๆสิ่งและทุกๆสิ่งที่มีอยู่ในตัวมันนั่นเอง โดยไม่หมายยึดข้องเกี่ยวว่าเป็นตัวของมันแต่อย่างใดเลย ส่วนจิตของผู้ที่ยังมิได้ตรัสรู้นั้นก็เปรียบเหมือนความว่างในเวลากลางคืนที่มืดมิดไม่สามารถมองเห็นสิ่งใดได้อย่างชัดเจน มันจึงมืดและคลื้มเศร้าหมอง และหมายเอาวัตถุทุกอย่างเป็นตัวของมัน แต่ถึงจะสว่างหรือมืดมิดจิตก็ลงตัวเป็นความว่างอย่างไม่เปลี่ยนแปลง
ความสว่างอาจทำให้มองเห็นทุกๆสิ่งอย่างที่อยู่ในจิตว่าเป็นของไร้ตัวตน และความมืดทำให้หลงไหลและเศร้าหมอง ถึงกระนั้นจิตก็มิได้เกิดขึ้นหรือดับลง สิ่งที่เปลียนแปลงคือปรากฎการณ์ภายนอกของจิตเพียงเท่านี้เอง เมื่อใดจิตเป็นอิสระอย่างเด็ดขาดจากความมืดและความสว่าง เมื่อนั้นจึงได้ชื่อว่า...ผู้ไม่ข้องแวะต่ออารมณ์
ท่ า น ผู้ มี ปั ญ ญ า ทั้ ง ห ล า ย จิตนี้แหล่ะคือสิ่งที่ผลักดันให้มีสิ่งทั้งหลายขึ้น คือสังขารร่างกายนี้มันเกิดจากสิ่งที่ไม่มีอะไรมาก่อน และคงดับไปสู่ความไม่มีอะไรนั่นเเหล่ะ เปรียบกับต้นไม้ที่มีผลเกิดมาจากพื้นดินและอาศัยพื้นดินอยู่ตลอดเวลา ที่สุดมันก็ย่อมแตกสลายไปสู่พื้นดิน
รูปลักษ์สันฐานในการตั้งอยู่นี้เท่านั้นที่มันดูเปลี่ยนแปลงไป แต่ในความเป็นจริงแล้วเมื่อผลเกิดเป็นไปเพื่อผลดับ การตั้งอยู่ตลอดเวลานี้ต้นไม้ก็คงความเป็นธาตุดินอยู่อย่างนั้นถาวรเช่นกัน ความคิดความปรุงแต่งคาดเดามั่นหมายของสังขารนี้เท่านั้น ที่ทำให้เกิดการเวียนว่ายตายเกิด มีภพมีชาติ มีความสุขมีทุกข์ มีดีมีชั่ว มีเรามีเขาขึ้นมา ก็เพราะจิตเดิมของเรานั้นถูกครอบงำด้วยอวิชชาคือความมืดหลง มันจึงดั้นด้นไปเกิดในสัตว์ที่มีความรู้สึกนึกคิดหรือสังขารและได้รับเวทนาต่างๆทางร่างกายและจิตใจหรืออายตนะ
เ มื่ อ ธ า ตุ ทั้ ง สี่ รวมตัวกันขึ้นแล้วก่อเป็นขันธ์ห้า ซึ่งรวมเอาอายตนะภายในหกอย่างด้วย มันไม่มีส่วนไหนเลยที่บ่งบอกว่าเป็นตนแท้ของเรา เพราะทุกสิ่งที่กล่าวมานี้ล้วนแต่เป็นของที่เกิดมาที่อยู่ภายใต้การแตกสลาย แต่อวิชชานี้เป็นตัวชักนำจิตให้เกิดในสังขาร สังขารก็เป็นตัวก่อให้เกิดวิญญาณและเกิดอารมณ์ต่างๆตามมา เมื่ออวิชชามันเจือปนกับจิตแท้ของเรา เหมือนน้ำที่เจืออยู่ด้วยโคลนสกปรก มันย่อมผลักดันให้เกิดมีสิ่งต่างๆขึ้น เช่นความดีความชั่ว ถูกกับผิด โง่กับฉลาด หญิงกับชาย หนาวกับร้อน เรากับเขา และกิเลสกับธรรมะ เหมือนโคลนสกปรกผลักดันให้มีสิ่งมีชีวิตต่างๆทั้งที่เป็นเชื้อโรคและผักที่มีประโยชน์
ดั่งที่เราหลับตาซึ่งมีแต่ความมืด แต่เมื่อเราหลับสนิทเราย่อมเกิดความฝันต่างๆ เมื่อเราตื่นขึ้นมาเราจึงรู้ว่าเหตุการณ์ต่างๆมันเป็นเพียงความฝัน ชีวิตในปัจจุบันของเรานี้ก็เช่นกัน ที่เรากำลังประสบกับเหตุการณ์ต่างๆรวมทั้งความรู้สึกนึกคิดของเราด้วยต่างก็เป็นแค่ความฝัน เมื่อใดเราตื่นขึ้นจากความฝันเราจะรู้ว่าสังขารร่างกายทั้งรูปธรรมนามธรรมทั้งหมดทั้งสิ้นนี้ไม่ใช่ตัวไม่ใช่ตน ไม่ใช่เขาไม่ใช่เรา มันเป็นแต่ภาพมายาฝันเท่านั้น
ก า ร ค้ น ห า สั จ ธ ร ร ม ความเป็นจริงแห่งชีวิตก็หมายถึง การค้นหาภาวะเดิมแท้ของจิตเพราะจิตแท้นั้นคือแหล่งธรรมะ เมื่อเราแจ้งต่อจิตนี้นั้นการรู้ธรรมและการศึกษาธรรมของจริงจึงจะเริ่มมีขึ้น เพราะการแสวงหาสัจธรรมที่ลูบไล้อยู่แต่ภายนอกของจิต เราย่อมไม่ได้รับประโยชน์อะไรเลยจากการกระทำเช่นนั้น และมันจะทำให้เสียเวลาอยู่ตั้งแสนๆกัป แต่เราก็ไม่สามารถบรรลุธรรมชั้นยอดได้
สัจธรรมที่มีอยู่แล้วตลอดกาลคือจิตเดิมแท้ของเรานั่นเอง มันเป็นของที่มีอยู่กับเราตลอดเวลา และมันไม่ได้เกิดขึ้นจากการกระทำหรือปฏิบัติใดๆเลย มันไม่ใช่ทั้งความมีอยู่และไม่ใช่ความขาดสูญ มันไม่ได้เกิดขึ้นด้วยอานิสงส์ผลบุญใดๆเลย เพราะมันไม่ใช่ของที่เกิดและไม่ใช่ของที่ดับ มันไม่ได้หายไปไหนในขณะที่เราหลงอยู่ด้วยอวิชชา และไม่ได้รับกลับมาเมื่อเรามีการรู้แจ้ง มันเป็นสิ่งที่เพิกถอนไม่ได้และไม่มีการเริ่มต้น มันมีความเสมอกันกับจิตทุกดวง ไม่ว่าจะเป็นจิตของพระพุทธเจ้าหรือจิตของสรรพสัตว์ ต่างกันก็เพียงจิตของพระพุทธเจ้าได้ขับไล่อวิชาไปหมดสิ้นแล้วเท่านั้น
ท่ า น ผู้ มี ปั ญ ญ า ทั้ ง ห ล า ย ธรรมะที่ท่านกำลังอ่านอยู่นี้อ่านแล้วอาจจะขัดตาอยู่ซะหน่อย และอาจจะไม่เข้าตรงลงรอยกับธรรมะตามหนังสือบางเล่มบางตำราที่เอาแต่พูดกับเขียน จนไปไกลเกินกว่าธรรมที่ปรากฎอยู่ในจิตนี้ และธรรมะนี้ก็มุ่งชี้ตรงลงที่จิตนี้อย่างเดียวไม่แวะเทียวตามผลบุญผลบาป นรกสวรรค์ อันเป็นเครื่องของการเวียนว่ายตายเกิดอยู่อย่างไม่หยุดหย่อน
ธรรมมะของแต่ละสำนักก็อ้างเอาคุณลักษณะภายนอกของพระพุทธเจ้ามากล่าวอ้างเพื่อความน่าเชื่อถือ แต่สัจธรรมที่พระองค์ทรงประกาศนั้น มีแต่จะเน้นลงที่อนัตตาซึ่งเป็นเรื่องของความว่างเปล่า ที่ไม่ต้องซื้อต้องหาด้วยอานิสงส์ผลบุญใดๆเลย และจิตปัจจุบันก็มีค่าเท่ากันกับอนัตตา ที่ไม่มีสิ่งใดก่อเกี่ยวกับมันได้ และไม่อาจจะระบุตัวตนของมันได้ที่ไหน
เ มื่ อ จิ ต เ ป็ น ข อ ง ว่ า ง เ ป ล่ า พุทธะก็คืออนัตตา ธรรมะก็เป็นอนัตตา นิพพานก็เป็นความว่างเปล่า ทั้งพุทธะทั้งธรรมะและทั้งนิพพานจึงเป็นความว่างเปล่าอย่างไร้ขอบเขต ที่มีอยู่ในความว่างคือจิตเดิมแท้อย่างเดียวกัน เพียงแต่เราต้องทำลายอวิชชาลง ธรรมะแท้ก็ปรากฎตัวออกมาเองในทุกๆที่ อะไรที่มันเกิดขึ้นได้มันก็ย่อมดับได้
ที่ สุ ด ข อ ง ก า ย คือความตายไปสู่ความไม่มีอะไร
ที่ สุ ด ข อ ง ใ จ คือไร้ตัวตนที่ยึดมั่น
เ มื่ อ ทั้ ง ก า ย แ ล ะ ใ จ ต่างก็เป็นความว่าง
ทุ ก อ ย่ า ง ที่ปรากฎตัวล้วนคือ ภ า พ ม า ย า
บันทึก
โฆษณา
ดาวน์โหลดแอปพลิเคชัน
© 2025 Blockdit
เกี่ยวกับ
ช่วยเหลือ
คำถามที่พบบ่อย
นโยบายการโฆษณาและบูสต์โพสต์
นโยบายความเป็นส่วนตัว
แนวทางการใช้แบรนด์ Blockdit
Blockdit เพื่อธุรกิจ
ไทย