Blockdit Logo
Blockdit Logo (Mobile)
สำรวจ
ลงทุน
คำถาม
เข้าสู่ระบบ
มีบัญชีอยู่แล้ว?
เข้าสู่ระบบ
หรือ
ลงทะเบียน
To-Do List
•
ติดตาม
23 ก.ค. 2020 เวลา 11:00 • ภาพยนตร์ & ซีรีส์
5 เหตุผลที่อยากให้ดูซีรีส์ “It’s okay to not be okay”
Cr: Netflix
หยุดยาวนี้ใครกำลังชั่งใจอยู่ระหว่าง การออกไปเที่ยวทุกวัน ทำกิจกรรมแน่นๆ กับ นอนดูหนัง ซีรีส์ อยู่บ้าน ทางนี้อยากจะขอแนะนำว่า ถ้าทุกคนจัดสรรเวลาได้ จะไปเที่ยว หรือ ดูซีรีส์ ก็เป็นใช้เวลากับครอบครัว และคนที่เรารักได้ทั้งนั้น ที่สำคัญ อย่าลืม “ใช้เวลากับตัวเอง” กันบ้างนะคะ
เชื่อเลยว่า หลายคนต้องแอบคิดบ้างแหละว่า ทำไมชีวิตทุกวันนี้ เราต้องมีเรื่องให้ขบคิด ให้เครียดกันมากจัง ไหนจะเรื่องส่วนตัว เรื่องงาน เรื่องเงิน เรื่องความรัก เรื่องครอบครัว บางคนรู้สึกเหนื่อย อ้างว้าง โดดเดี่ยว
หมดกำลังใจ เศร้า จิตตก เครียด กังวล กลัว ฯลฯ ซึ่งไม่รู้จะทำยังไงดี
มันไม่ผิดที่เราจะคิดแบบนี้ และไม่ผิดที่เราจะมีความรู้สึกที่มันไม่โอเค เพราะมันก็คือ ความจริงของชีวิต
ไม่มีทางที่มันจะ Perfect ไปซะทุกอย่าง และไม่มีใครสมหวังในทุกๆ วัน แต่อย่าลืมว่า ความรู้สึกแย่ๆ ทุกอย่างที่เราเจอ และรู้สึกไม่โอเค ใช่ว่ามันจะอยู่กับเราตลอดไปซะเมื่อไหร่ เพราะ ชีวิต อารมณ์ เหตุการณ์ต่างๆ ก็คล้ายกับสายน้ำ มีขึ้น มีลง เป็นธรรมดา ที่สำคัญ คือ เราทุกคนมีสิทธิจะมี และ หาความสุขให้ตัวเอง แม้ในวันที่ดูเหมือนว่าจะไม่มีใครเลยก็ตาม
เพราะมันจะผิดปกติมาก ถ้าเราไม่ยอมรับว่า “วันนี้เราไม่โอเค” และ มัวแต่เก็บกดความรู้สึกไม่โอเคอยู่แบบนั้น จนลืมความจริงของชีวิตไป
เกริ่นมาขนาดนี้ วันนี้ Charlotte เลยอยากชวนทุกคนมาดู ซีรีส์เด็ด เรื่อง It’s okay to not be okay
ซีรีส์สุดเปรี้ยงปังที่ไม่ได้มีดีแค่เพราะกระแส พร้อมกับ 5 เหตุผล ที่อยากให้ดูซีรีส์เรื่องนี้ ถือเป็นอีกหนึ่ง To-do list ที่อยากชวนทำในวันหยุดยาวนี้กันนะคะ
เนื้อเรื่องย่อ
มุนคังแท (คิมซูฮยอน) พระเอกทำงานที่แผนกผู้ป่วยจิตเวช คอยดูแลและจดบันทึกสภาพของผู้ป่วย
เพื่อรับมือกับสถานการณ์ที่ไม่คาดคิด คังแทเป็นผู้ชายที่เพียบพร้อม ทั้งหน้าตาหล่อเหลา รูปร่างที่ดึงดูด ความฉลาด นิสัยดี เห็นอกเห็นใจผู้อื่น ความอดทน เก่งการต่อสู้ยูโด สามารถตอบสนองปฏิกิริยาต่างๆ ได้อย่างฉับไว
Cr: Netflix
แต่ชีวิตของเขากลับมีปม เพราะต้องทุ่มเทให้กับการดูแลเอาใจใส่พี่ชาย มุนซังแท (โอจองเซ) ที่อายุห่างกัน 8 ปี และป่วยเป็นออทิสติก ตั้งแต่ยังเด็ก แม้ในขณะที่แม่ยังมีชีวิต ก็ต้องคอยดูแลพี่ชาย จนกระทั่งแม่จากไป ปมที่ว่า “เค้าเกิดมาเพื่อมีหน้าที่ดูแลพี่ชายของเค้าเท่านั้น และแม่ก็รักพี่ชายมากกว่า” ก็ยังฝังลึกอยู่ในใจเงียบๆ
Cr: Netflix
แต่แล้วโชคชะตาก็นำพา มุนคังแท มาพบกับสาวนักเขียนวรรณกรรมเยาวชนชื่อดังอย่าง โกมุนยอง
(ซอเยจี) โกมุนยองมีนิสัยเห็นแก่ตัว คิดถึงแต่ตัวเอง เย่อหยิ่ง หยาบคาย อยากได้อะไรก็ต้องได้ ไม่มีความอดทน ไม่สามารถเก็บกลั้นความรู้สึกโกรธได้ ถ้าใครบังเอิญมามีเรื่องด้วย คนนั้นอาจจะถึงขั้นบาดเจ็บหรือเสียชีวิตเลยก็ว่าได้ เพราะโกมุนยองเองก็มีปมเช่นกัน ซึ่งปมที่ซีรีส์ไม่เปิดให้เห็นทั้งหมด แต่พอจะเห็นในตอนแรกก็คือ “เธอถูกพ่อแม่ปฏิบัติ หล่อหลอม มาให้เธอมีบาดแผลที่ทำให้เธอมีนิสัยและพฤติกรรมเช่นนั้น”
Cr: Netflix
เมื่อทั้งสองมาพบกัน แม้ว่าบุคลิกและนิสัย จะต่างกัน แต่ปมทั้งคู่กลับกลายเป็นเหมือนแม่เหล็กขั้วตรงข้ามที่ดึงดูดเข้าหากัน เมื่อเหตุการณ์แต่ละฉากพาไป ทั้งสองก็ได้เยียวยากันและกันโดยไม่รู้ตัว
5 เหตุผล ที่ควรดูซีรีส์ It’s okay to not be okay
1. การวางเนื้อเรื่องดี ทันสมัย สอดแทรกความรู้เกี่ยวกับการดูแลผู้ป่วยออทิสติก และจิตเวช รวมถึง การถ่ายทอดเรื่องราวแต่ละตอนผ่านการเล่าผ่านวรรณกรรม หรือ นิทาน โดยใช้ animation ที่บรรจงวาด และ ตัดต่อเชื่อมกับภาพจริงได้อย่างเนียน เรียกได้ว่า ทีม Content และ ทีม Production ที่ถ่ายทำซีรีส์เรื่องนี้ ตั้งใจทำออกมาได้ยอดเยี่ยมจริงๆ
Cr: Netflix
2. การถ่ายทำ ภาพ แสง สี mood and tone สถานที่ถ่ายทำ องค์ประกอบภาพ แทบทุกฉากสำคัญ รวมถึงเพลงประกอบแต่ละตอน เก็บรายละเอียดดีมาก อย่างมุมภาพใหม่ๆ จะมีการใช้โดรนถ่ายทำให้เห็นภาพมุมสูงบางฉาก ทำให้คนดูได้ให้เห็นภาพมุมกว้างในระดับสูงกว่าสายตา ซึ่งทำให้สบายตา และ ได้สัมผัสมุมมองใหม่ๆ ที่ต่างจากซีรีส์เรื่องอื่นๆ นอกจากนี้ทีมผู้สร้างยังเก็บรายละเอียดแสง สี mood and tone รวมถึงเพลงที่ปล่อยมาแต่ละฉาก ทำให้รู้สึก กระตุ้นอารมณ์ ได้ feel เหมือนเราเข้าไปอยู่ในฉากนั้นจริงๆ สัมผัสได้ถึงความละมุน อบอุ่น กุ๊กกิ๊ก เศร้า ได้จริงๆ
Cr: Netflix
ซีรีส์เรื่องนี้ทำให้เราสามารถเข้าถึงปมนั้นได้อย่างลึกซึ้งอย่างบอกไม่ถูก เหมือนว่า เราถูกองค์ประกอบศิลป์
ทุกอย่างดึงให้สัมผัสถึงตัวละคร สถานที่ คำพูดเหล่านั้น จนทำให้ไม่สามารถดึงความรู้สึกตัวเองกลับมาเป็นตัวเรา 100% ขณะที่เพิ่งดูจบ ได้เลย
เรียกได้ว่า ต้องใช้เวลาในการ move on ความรู้สึกที่กำลังจมดิ่งไปกับตัวละคร สักพักอยู่เหมือนกัน และมันคือ ความสุข ความอิ่มเอม ที่ได้จากการนึกถึงบางความรู้สึกที่เคยรู้สึก บางเหตุการณ์ที่เคยพบเจอในอดีต ที่เราอาจจะหลงลืมไปแล้ว ให้กลับมาวนเวียนอีกครั้ง ระหว่างการเสพซีรีส์เรื่องนี้
3. ตัวละครหลัก พระเอก (มุนคังแท) นางเอก (โกมุนยอง) พี่ชายพระเอก (มุนซังแท) เล่นได้เข้าขา เข้าถึงบทบาท เข้าถึงตัวละคร ได้ดีมาก อย่างเช่น ฉากดราม่าต่างๆ ทั้งบทพูด สีหน้า ท่าทาง แววตา การแสดงทั้งหมด มันกระแทกใจ จี้ใจดำ ทำให้เรารู้สึกลึกเข้าไปถึงใจได้โดยที่เราไม่รู้ตัว คือ รู้ตัวอีกที น้ำตาก็ไหลออกมาแล้ว ขณะที่ ฉากคอมเมดี้ ก็ทำให้หัวเราะตามออกมาอย่างง่ายดาย รวมถึงฉากอินเลิฟ กุ๊กกิ๊ก ระหว่างคู่พระ นาง เชื่อได้เลยว่า สาวๆ ที่ได้ดูจะต้องรู้สึกว่าอยากจะเป็นนางเอกเสียเหลือเกินแน่นอน และในขณะเดียวกัน หนุ่มๆ หลายคนก็อาจจะแอบอยากเป็นมุนคังแท แน่นอน โดยเฉพาะเวลาที่อยู่กับโกมุนยอง ^^
Cr: Netflix
4. Costume ดีมาก เรียกได้ว่า เราสามารถดึงเอา Trend การแต่งตัว จากโกมุนยอง นางเอกของเรื่องมา adapt กับเราได้เลย เชื่อว่าสาวๆ หลายคนที่ได้ดูเรื่องนี้น่าจะมีแรงบันดาลใจในการลดน้ำหนัก และการแต่งตัว แม้กระทั่งสาวๆ น่าจะได้ ref ดีๆ สำหรับการแต่งหน้าในลุค “น้อยแต่มาก” มาแต่งกันในวันทำงานแน่นอน ส่วนหนุ่มๆ ก็จะมี ref จากมุนคังแท ในลุค “เท่แต่ละมุน” รับรองไม่ผิดหวัง
Cr: Netflix
5. ดูได้ทุกเพศ ทุกวัย ทุกช่วงอารมณ์ความรู้สึก เพราะมีครบทุกรส เปิดทุกปม
เชื่อได้ว่า กว่าที่เราจะมาถึงตรงนี้ หลายคนผ่านเรื่องราวหลากหลายมากมายในชีวิต ผ่านทุกความรู้สึกมาแล้ว ตั้งแต่ เหนื่อย อ้างว้าง โดดเดี่ยว หมดกำลังใจ เศร้า จิตตก เครียด กังวล กลัว แอบรัก สมหวัง อกหัก ฯลฯ ไม่ว่าจะเด็ก วัยรุ่น หรือ ผู้ใหญ่ ก็ล้วนเคยมี หรือ อาจจะกำลังมีความรู้สึกแบบนี้อยู่
ซีรีส์เรื่องนี้แค่กำลังจะถ่ายทอดทุกอารมณ์ที่เราเคยรู้สึก หรือ เหตุการณ์หลายอย่างที่เราเคยเจอ แต่ถูกฝังอยู่ลึกๆ เรียกได้ว่า ทุกปมที่เราล้วนเคยรู้สึกถูกขุดขึ้นมาใหม่ และถูกปรุงแต่งผ่านทุกตัวละคนที่ล้วนก็มีปม ซึ่งมันทำให้คนดูรู้สึก touch กับความรู้สึกของทุกตัวละคร หรือ หลายตัวละครในเรื่องนี้มากเลยทีเดียว
Cr: Netflix
หลักๆ ซีรีส์เรื่องนี้แค่จะสะท้อนว่า ชีวิตทุกคนไม่มีใครไม่เคยเจอปัญหา ไม่มีใครที่ไม่เคยเจอเรื่องทุกข์ใจ หรือ ไม่มีใครไม่เคยรู้สึกต่างๆ นานา ที่ได้กล่าวแล้ว มันไม่แปลกที่เราจะรู้สึกแบบนี้ เราอาจจะกำลังจมอยู่กับมัน ยังหาทางออกไม่ได้ ซึ่งมันก็ไม่แปลก ถ้ามันยังไม่ผ่านเวลามากพอจนเหตุการณ์ทุกอย่างผ่านไป
แต่มันจะแปลกถ้าแต่ละคนที่ต่างมีความรู้สึก ไม่แสดงความรู้สึกนั้นออกมาบ้าง
เศร้า… แต่ไม่เคยร้องไห้ ออกมาซักแหมะ
เครียด…แต่ไม่เคยระบายกับใครซักคน แม้กระทั่งตัวเอง
เหนื่อย...แต่ก็ไม่เคยนอนพัก หรือ หยุดพักบ้าง
โดดเดี่ยว อ้างว้าง...แต่ก็ไม่เคยอยากคุยกับใคร
ไม่อยากเจอเพื่อนใหม่ เปิดใจกับอะไรใหม่ๆ บ้าง
จิตตก...แต่ก็ยังคิดเรื่องเดิมซ้ำๆ
กังวล...แต่ก็ไม่เคยพาตัวเองไปทำอะไรซักอย่างให้ความกังวลนั้นหายไป
กลัว...แต่ก็ไม่เคยทดลองทำ ว่าผลมันจะเป็นยังไง หรือ ยังวนเวียนกับความรู้สึกกลัวอยู่แบบนั้น ไม่หาทางออก
แอบรัก...แต่ก็ไม่เคยสารภาพออกไป ไม่กล้าพูดกับตัวเองด้วยซ้ำว่า “เราก็มีสิทธิจะแอบรักใครได้นะ มันไม่ผิด แต่แค่ต้องอยู่ในขอบเขต และสถานะที่เหมาะสม”
อกหัก...แต่ก็ไม่เคยออกไปเจอใครใหม่ ยังคิดวนอยู่กับเรื่องเดิมๆ ไม่เปิดโอกาสให้กับชีวิตที่สมควรจะสดใสให้กับตัวเอง
“มันเป็นเรื่องที่ไม่แปลก เป็นเรื่องที่โอเคนะ ถ้าเราจะรู้สึกไม่โอเค”
อยู่ที่ว่า เราจะเลือกทำแบบไหน เป็นคนยังไง
บางคนเวลาที่รู้สึกไม่โอเค อาจจะชอบแสดงมันออกมาบ้าง ต่อให้บางทีไม่ได้คิดหน้าคิดหลัง คิดถึงผลอะไร
แต่ก็ดีกว่าเก็บไว้
บางคนก็ชอบเก็บทุกอย่างไว้ข้างใน ไม่ยอมให้ตัวเองมีความสุข เพราะคิดแต่ว่า ชีวิตมีข้อจำกัด หรือ เงื่อนไขอะไรบางอย่าง สารพัดนั่นนี่ ที่จะคิด
เห็นมั๊ยว่า แต่ละแบบ มันสะท้อนถึง ปมอะไรบางอย่าง แม้มันจะไม่ค่อยมีความพอดีก็ตาม หลายคนน่าจะเคยทำทั้งสองแบบมาแล้วทั้งนั้น
จริงๆ ชีวิตคนเรามันไม่จำเป็นต้องพอดีตลอดเวลา แม้ว่าแบบแรก อาจจะดูโหด และ โลดโผนไปซักหน่อย แต่ถ้าลองปรับๆ ขยับๆ นับถอยหลังก่อนที่จะพูด หรือ ทำอะไร มันก็จะพอดี เหมือนกับที่มุนคังแทคอยดูแลและพยายามปรับให้โกมุนยองดีขึ้น
ส่วนแบบหลัง อาจจะดูเป็นคนประเภทโจ๊กเกอร์ เศร้านะแต่ไม่แสดงออก มันก็ไม่แปลก แค่ต้องระวังว่า วันหนึ่งพอมันกดทับอยู่เรื่อยๆ ไม่ยอมให้ตัวเองได้พัก ไม่ยอมให้ตัวเองได้ทำอะไรที่อยากทำ ได้มีความสุข ได้รักใคร ได้ลองทำอะไรใหม่ๆ ได้รู้สึกดีๆ กับใครบ้าง ที่สำคัญ ไม่ยอมให้ตัวเองได้ทำอะไรที่ใจอยากจะทำบ้าง มันก็ต้องระเบิดเข้าซักวัน
บางทีการได้แสดง หรือ ระบายความรู้สึกว่าเราไม่โอเคกับใครซักคน มันน่าจะดีกว่าการเก็บหมักหมมความรู้สึกอยู่คนเดียว เหมือนกับที่โกมุนยองอยากให้มุนคังแทได้มีความรู้สึกแบบนั้นบ้าง
แต่ละคนมีปม มีภูมิหลัง มีเรื่องราวในชีวิต บางคนถูกสอน หรือ ถูกครอบงำด้วยความคิด มายาคติ อะไรบางอย่าง จากคนบางคน สุดท้าย เราทุกคนจะต้องมีชีวิตเป็นของตัวเองในแบบที่ตัวเองจะรู้สึกพอใจกับตัวเองได้ดีที่สุด ดังนั้น ไม่สำคัญว่าเราจะเคยถูกครอบงำมาด้วยคำสอน หรือ มายาคติแบบไหน แต่สำคัญที่ว่า วันนี้ เราได้ทำอะไรที่เรามีสิทธิที่จะทำได้ เพื่อให้เรามีความสุข แล้วหรือยัง
และนี่คือ เหตุผลดีๆ ที่อยากชวนให้ใครที่ยังไม่เคยดูซีรีส์เรื่องนี้ ได้ลองเข้าไปสำรวจทุกซอกใจ ถือเป็นซีรีส์ที่ช่วยขุดทุกห้วงความรู้สึกของพวกเรา เพราะเราอาจจะเผลอมีปมอะไรบางอย่างโดยที่เราก็ไม่รู้ตัว และ เราอาจจะได้มีโอกาสหวนระลึกถึงความรู้สึกที่เคยรู้สึกมากๆ แต่ลืมไปแล้ว ให้ได้กลับมาชุ่มชื่น และปลอบประโลมใจเราอีกครั้งก็ได้ นอกจากนี้ เราจะได้รู้วิธีจัดการกับความรู้สึก วิธีเยียวยาตัวเอง ปลอบประโลมใจตัวเอง เพื่อเอาไปใช้กับชีวิตจริงได้แน่นอน
บันทึก
3
1
6
3
1
6
โฆษณา
ดาวน์โหลดแอปพลิเคชัน
© 2024 Blockdit
เกี่ยวกับ
ช่วยเหลือ
คำถามที่พบบ่อย
นโยบายการโฆษณาและบูสต์โพสต์
นโยบายความเป็นส่วนตัว
แนวทางการใช้แบรนด์ Blockdit
Blockdit เพื่อธุรกิจ
ไทย