25 ก.ค. 2020 เวลา 05:28 • กีฬา
แพทริค แบมฟอร์ด ลูกคุณหนูผู้พาลีดส์กลับสู่พรีเมียร์ลีก
ลูกคุณหนู เรียนเก่ง เล่นดนตรีดี เป็นนักภาษาศาสตร์พูดได้ทั้งภาษาเยอรมัน และฝรั่งเศส คุณสมบัติที่กล่าวมาคือตัวตนของแพทริค แบมฟอร์ด ล้วนเป็นสิ่งที่แตกต่างกับนักฟุตบอลหลายคน ที่มักจะมีภูมิหลังชีวิตที่ยากลำบาก และมีฟุตบอลเป็นความหวังเดียวที่จะนำพาชีวิตออกจากจุดนั้น
แต่สำหรับแบมฟอร์ด เขามีทางเลือกมากมาย ทว่ามีเพียงฟุตบอลเป็นสิ่งเดียวที่เขาเลือก ถึงขั้นยอมทิ้งทุนเรียนต่อที่มหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ด เพื่อเดินตามฝันสู่เส้นทางการเป็นนักฟุตบอล สามารถติดตามเรื่องราวของแพทริค แบมฟอร์ด ผู้พาลีดส์ ยูไนเต็ด กลับสู่พรีเมียร์ลีกได้ที่นี่
คุณหนูแพทริค
อย่างที่กล่าวไปข้างต้นแพทริค แบมฟอร์ด นั้นเกิดมาในครอบครัวฐานะดี พ่อทำงานสถาบันทางการเงิน แม่เป็นนักกฏหมาย เขาถูกเลี้ยงดูมาอย่างดีโดยพ่อและแม่ที่เลือกสรรแต่สิ่งที่ดีที่สุดแก่ลูกชาย เขามีชีวิตความเป็นอยู่ที่ดี ได้เรียนในโรงเรียนเอกชนชื่อดัง ชีวิตในทุกด้านของเขาเพรียบพร้อมไปเสียหมด อยากได้อะไรพ่อแม่ก็พร้อมจะหามาให้ หรือแม้แต่อยากจะทำอะไรพ่อแม่ก็พร้อมจะส่งเรียนคอร์สพิเศษในเรื่องนั้นๆ
เขาเป็นเด็กเรียนเก่งได้สมกับสิ่งที่พ่อและแม่เลือกให้ เขาทำทุกอย่างได้อย่างดีเยี่ยม ทั้งเรื่องเรียน ดนตรี และกีฬา ทว่าเป็นอย่างหลังที่ดูจะเข้าไปกินใจเขามากกว่าสิ่งอื่น เขาหลงรักฟุตบอลเข้าอย่างจัง และเริ่มจริงจังกับมันมากขึ้น โดยเริ่มเส้นทางฟุตบอลด้วยการเป็นเด็กฝึกของ น็อตติ้งแฮม ฟอเรสต์ ตั้งแต่เอายุ 8 ขวบ
ฟุตบอลและการเรียนของเขาอยู่ควบคู่กันมาโดยตลอด เขาไม่ได้ทิ้งสิ่งใดสิ่งหนึ่งไปเสียทีเดียว เขาพยายามทำทั้งสองอย่างให้เต็มที่ แต่ถึงอย่างนั้นเมื่อชีวิตเดินมาถึงทางแยก ในวัยต้องเลือกจะเอาดีสักทาง ทางหนึ่งก็เรื่องเรียนที่เขาก็ทำมันได้ดีเช่นกัน เขาได้ทุนไปเรียนต่อที่มหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ด มหาลัยในฝันของใครหลายคน อีกทางก็ฟุตบอลที่เขายังอยู่ในเส้นทางที่มีอนาคต ทว่าท้ายที่สุดเขาเลือกปฏิเสธโอกาสที่ฮาร์วาร์ด และเลือกเดินหน้าสานฝันในเส้นทางฟุตบอลต่อไป
“ความฝันของผมคือการเล่นฟุตบอลเสมอ ดังนั้นเมื่อผมรู้ว่าผมมีโอกาสที่เป็นนักเตะอาชีพ และสามารถทำตามความฝันของผมให้สำเร็จได้ ฮาร์วาร์ดจึงเป็นเพียงตัวเลือกรอง" แบมฟอร์ด เลือกสิ่งที่เขารักโดยไม่ลังเลเพราะฟุตบอลคือฝันของเขา
หากเขาไม่ได้อยู่ในเส้นทางฟุตบอลที่พอจะมองเห็นอนาคต ที่จะสามารถเล่นในระดับพรีเมียร์ลีกได้ ก็อาจจะทำให้เขาเลือกเรียนก็เป็นได้ ทว่าฝีเท้าของเขานั้นดีไปถึงระดับเยาวชนทีมชาติ (ทั้งทีมชาติไอร์แลนด์ และทีมชาติอังกฤษที่เขาเลือกเปลี่ยนในภายหลัง) ทำให้เขาไม่มีสิ่งใดให้ต้องกังวล เพราะในใจของเขานั้นได้เลือกฟุตบอลมาตั้งแต่ต้น
อย่างไรก็ดีชีวิตที่แสนจะสมบูรณ์แบบไม่ได้หมายความว่า เขาจะไม่ต้องพยายาม ไม่ต้องดิ้นรนเหมือนกับคนอื่นๆ แต่กลับกันเขายิ่งต้องพยายามทำทุกอย่างให้ดีที่สุด เพื่อพิสูจน์ว่าสิ่งที่ได้มานั้นมาจากความสามารถของเขาจริงๆ ไม่ใช่ได้มาจากครอบครัวของเขาแต่อย่างใด และสิ่งที่ตอบทำถามได้ดีที่สุดก็คือผลงานในสนาม เพราะมันไม่สามารถโกหกกันได้ เขาเล่นได้ดีก็เป็นเพราะความสามารถที่เกิดจากความพยายามของตัวเขาเอง
“นักฟุตบอลส่วมมากจะมาจากชนชั้นแรงงาน ด้วยเหตุที่ผมเรียนในโรงเรียนเอกชน และถูกเลี้ยงดูมาในครอบครัวที่แตกต่างออกไปเล็กน้อย ผู้คนคิดว่านั่นทำให้ผมเป็นคนที่แตกต่างออกไป” เขากล่าวกับเดอะซัน
“แต่ถ้าคุณถามใครก็ตามที่ทำงานร่วมกับผม พวกเขาจะบอกว่าผมไม่ได้มีความแตกต่าง”
“ผมจะเถียงจนถึงที่สุดกับใครก็ตามที่พูดว่า มันเป็นเพราะสิ่งที่ผมถูกเลี้ยงดูมา พ่อและแม่มอบมันให้กับผม มันเป็นเรื่องไร้สาระมาก ไม่มีใครในวงการฟุตบอลที่มาถึงจุดนี้ได้ ด้วยสิ่งที่พ่อแม่มอบให้” คำสัมภาษณ์ของแบมฟอร์ด หลังเข้าสู้เส้นทางค้าแข้ง ซึ่งมันเป็นคำตอบของทุกคำถามที่คนอื่นมีต่อตัวเขา ที่เขาได้พิสูจน์ให้เห็นแล้วว่าสิ่งที่เขาได้มา เกิดจากความสามารถของตัวเขาเองอย่างแท้จริง
นักเตะตัวยืมที่เชลซี
แบมฟอร์ดก้าวขึ้นมาสู่ทีมชุดใหญ่ของฟอรเรสต์ตั้งแต่อายุเพียง 18 ปี ทว่าเขาได้เล่นกับฟอร์เรสเพียง 2 เกม ก่อนที่จะถูกยักใหญ่ในพรีเมียร์ลีกอย่างเชลซีซื้อไปด้วยค่าตัว 1.5 ล้านปอนด์
แบมฟอร์ดคือหนึ่งในแข้งดาวรุ่ง ในยุคที่เชลซีกว้านซื้อเด็กฝีเท้าดีเข้าสู่ทีมนับสิบๆคน แข้งดาวรุ่งรุ่นราวคราวเดียวกันกับเขาที่เชลซีซื้อมาเช่น ลูกากู , โรเมอู , เดอ บรอยน์ , ลูคัส เปียซอน และอีกหลายๆ คน พวกเขาเหล่านี้นั้นต่างถูกเชลซีซื้อมากองไว้ ก่อนจะถูกปล่อยยืมให้ไปเก็บประสบการณ์กับทีมในลีกรอง และลีกนอกอังกฤษ
แน่นอนว่าแบมฟอร์ดคือหนึ่งในนั้น เขาถูกปล่อยให้เอ็มเค ดอนส์ ยืมตัวไปเล่นในลีกวัน เพื่อรอคอยวันที่เขาจะดีพอกับตำแหน่งในสแตมฟอร์ด บริดจ์ ทว่าฝันของเขาที่จะได้สวมเสื้อสีน้ำเงินครามลงสนามมันกลับไม่เคยเกิดขึ้น เขาถูกเชลซีปล่อยยืมครั้งแล้วครั้งเล่าไม่ว่าจะเป็น ดาร์บี้ เค้าท์ตี้ , มิดเดิ้ลสโบรช์ ในเดอะ แชมเปียนชิพ คริสตัล พาเลซ , นอริช ซิตี้ และเบิร์นลี่ย์ ในพรีเมียร์ลีก
หากจะมองหาช่วงเวลาที่ดีที่สุดในการถูกปล่อยยืมของเขา เห็นจะเป็นช่วงที่ถูกมิดเดิ้ลสโบรช์ ยืมไปใช้งานในฤดูกาล 2014/15 ในเดอะ แชมเปียนชิพ เขาโชว์ฟอร์มได้อย่างร้อนแรงซัดไป 17 ประตู จากการลงสนามไป 38 เกม ส่งผลให้เขาผงาดคว้ารางวัลนักเตะยอดเยี่ยมแห่งปีของเดอะ แชมเปียนชิพ
ด้วยฟอร์มอันร้อนแรงในตอนนั้น อีกทั้งยังการันตีด้วยตำแหน่งนักเตะยอดเยี้ยม ทำให้เขาคาดหวังว่าถึงเวลาที่เขาดีพอกับตำแหน่งในเชลซีเสียที
"ในช่วงออกสตาร์ทฤดูกาล ผมได้คุยกับเชลซีและพวกเขาตัดสินใจปล่อยผมออกมาให้กับทีมที่สนใจ และมิดเดิลสโบรช์ก็เป็นทีมที่ดีที่สุด" แบมฟอร์ดกล่าว
"ไม่ใช่แค่ผมในฐานะนักเตะ แต่มันจะทำให้ผมพร้อมสำหรับเชลซีในปีหน้า ในตอนนี้ไม่มีเหตุผลว่าทำไม ผมถึงจะไม่ต้องการเป็นตัวจริงที่เชลซี นั่นคือความฝันของผม ในการสวมเสื้อสีน้ำเงิน ผมหวังว่ามันจะเป็นความจริง"
"มันเป็นงานที่ยากที่ก้าวขึ้นไปเล่นทีมชุดใหญ่ เพราะกองหน้าในพรีเมียร์ลีกหลายคนจะมีอายุราว 23-24 ปี ที่สโมสรอย่างเชลซี พวกเขามีเงินซื้อนักเตะระดับโลกอย่างดีเอโก้ คอสต้า และมีแรงกดดันที่ต้องคว้าแชมป์ ผมแค่ต้องคิดว่าผมต้องอดทน และหวังว่าผมจะได้รางวัลตอบแทน"
ด้วยผลงานในฤดูกาลที่ผ่านมาทำให้เขามีความมั่นใจ ที่จะกลับไปสู้ที่เชลซีอีกครั้ง แต่กลับกลายเป็นว่านายใหญ่ของเชลซีในตอนนั้นอย่างมูรินโญ่ มองว่าแบมฟอร์ดยังไม่ดีพอจะอยู่ในทีม จึงตัดสินใจปล่อยเขาให้คริสตัล พาเลซ ยืมไปใช้งาน
 
เมื่อขึ้นมาเล่นในพรีเมียร์ลีก ฟอร์มนักเตะยอดเยี่ยมในเดอะ แชมเปียนชิพ กลับไม่เคยถูกโชว์ออกมา เขาไม่สามารถยกระดับฝีเท้าของตัวเองในการเล่นบนลีกสูงสุดได้ ทำให้โอกาสได้ลงสนามจึงลดน้อยถอยลง เมื่อได้โอกาสก็ไม่ได้มีผลงานอะไรที่เป็นชิ้นเป็นอันสักเท่าไหร่ เวลาส่วนใหญ่ของเขาจึงถูกใช้ไปบนม้านั่งสำรอง
จากนั้นเขาถูกปล่อยให้นอริช ซิตี้ และเบิร์นลี่ย์ ยืมตัวไปเล่นในพรีเมียร์ลีก แต่ก็เข้าอีหรอบเดิม เขายังไม่สามารถก้าวผ่านคำว่าดาวรุ่งได้เสียที เขาถูกมองว่าเป็นแข้งดาวรุ่งตลอดกาล ที่ไม่สามารถพัฒนาฝีเท้าขึ้นไปเป็นแข้งตัวหลักของทีมได้
กับบรรดาที่เล็กเขายังไม่สามารถพิสูจน์ตัวเองได้ จึงไม่ต้องคิดฝันไกลไปถึงการได้เล่นให้เชลซี ประตูสู่ฝันที่จะได้เล่นในสแตมฟอร์ด บริดจ์ ถูกปิดลง ทว่าประตูสู่บ้านหลังเก่าได้แง้มเปิดขึ้น มิดเดิ้ลสโบรช์ยอมจ่ายเงินจำนวน 5.5 ล้านปอนด์ เป็นค่าตัวคว้าแบมฟอร์ดจากเชลซี
ด้วยภาพวันวานที่เขาเคยโชว์ฟอร์มอันร้อนแรงในช่วงที่ถูกยืมตัวมา จึงถูกคาดหวังว่าเขาจะเป็นจิ๊กซอว์ตัวที่จะเข้ามาเติมเต็มทัพเดอะ โบโร่ ให้มีผลงานกระเตื้องขึ้นเพื่ออยู่รอดในพรีเมียร์ลีก แต่ภาพวันวานไม่เคยหวนกลับมา เขาไม่สามารถงัดฟอร์มเก่งกลัมมาได้ จนท้ายที่สุดทัพโบโร่ไม่วายต้องตกชั้นกลับสู่ เดอะ แชมเปียนชิพ ไปในที่สุด
จิ๊กซอว์ตัวสำคัญของมาร์เซโล บิเอลซา
ในเดอะ แชมเปียนชิพ ด้วยคุณภาพลีกที่ต่ำลง แบมฟอร์ดสามารถเรียกฟอร์เก่งกลับมาได้อีกครั้ง ในฤดูกาล 2017/18 เขาทำไป 13 ประตูจากการลงสนาม 44 เกมรวมทุกรายการ
ด้วยฟอร์มที่เหมือนกลับมาเกิดใหม่ ไปเข้าตานายใหญ่คนใหม่แห่งทัพยูงทองอย่างมาร์เซโล บิเอลซา ทำให้ลีดส์ ยูไนเต็ด ยอมทุ่มเงินสูงเป็นสถิติสโมสรในรอบ 17 ปี คว้าตัวแบมฟอร์ดจากมิดเดิ้ลสโบรช์ด้วยราคา 7 ล้านปอนด์ จริงอยู่ที่เงินจำนวนนี้สำหรับทีมในพรีเมียร์ลีกมันอาจจะดูน้อยนิดมาก แต่สำหรับทีมที่มีปัญหาการเงินมานับสิบปีอย่างลีดส์แล้ว มันเป็นเงินมากโขสำหรับค่าตัวนักเตะสักคน
ฤดูกาลแรกกับทัพยูงทองหลายสิ่งหลายอย่างไม่ได้เป็นไปตามหวัง เขาถูกอาการบาดเจ็บที่หัวเข่าเล่นงานถึงสองครั้ง จนพลาดการลงสนามไปกว่าครึ่งฤดูกาล เขาลงเล่นไปเพียง 22 เกม แต่ถึงอย่างนั้นก็สามารถทำได้ถึง 9 ประตู ส่วนผลงานของลีดส์นั้นกลับพลาดท่าในช่วงสิบเกมสุดท้ายของฤดูกาล จนทำได้เพียงจบที่อันดับสาม ไม่หนำซ้ำยังแพ้ให้กับดาร์บี้ในรอบรองของศึกเพลออฟ ต้องผิดหวังอดเลื่อนชั้นสู่พรีเมียร์ลีก
ภายใต้มันสมองของกุนซือวัยเก๋าอย่างบิเอลซา ไม่เพียงแต่สร้างให้ทีมอย่างลีดส์ให้กลับมามีลุ้นเลื่อนชั้นกลับสู่พรีเมียร์ลีกอีกครั้งเท่านั้น แต่เขาได้ปลุกให้แบมฟอร์ดกลับมาอยู่ในฟอร์มที่ดีอีกครั้ง เขาไม่ได้เป็นเพียงดาวรุ่งตลอดกาลอีกต่อไป แต่ด้วยน้ำมือของบิเอลซา เขาเปลี่ยนแบมฟอร์ดให้กลายเป็นดั่งแม่ทัพคนสำคัญของลีดส์ ในการบุกทลวงประตูคู่แข่ง
ตำแหน่งและวิธีการเล่นที่บิเอลซาเลือกใช้แบมฟอร์ดนั้นเปลี่ยนไปจากเดิม เขาไม่ได้มีหน้าที่เพียงยืนค้ำคอยทำประตูอยู่แต่ในกรอบเขตโทษ บิเอลซาให้เขามีอิสระในเกมบุกมากขึ้น ไม่ว่าจะลงมาล้วงบอลต่ำ โยกไปอยู่ทางซ้ายที ทางขวาที ทำให้เขามีส่วนร่วมกับเกมอยู่เสมอ ไม่ได้เงียบหายไปจากเกมอย่างเมื่อก่อน และที่สำคัญมันช่วยดึงศักยภาพในตัวเขาออกมาใช้งานได้อย่างเต็มประสิทธิภาพ
“ผมเป็นหนี้บุญคุณมาร์เซโล เพราะเขาเป็นผู้จัดการทีมคนแรกที่เห็นความสามารถผม ในตำแหน่งเบอร์เก้าแบบ Out-and-out (กองหน้าที่ไม่ได้ปักหลังอยู่แต่ในกรอบเขตโทษ)” แบมฟอร์ดกล่าว
“ผู้จัดการทีมคนอื่นรู้ว่าผมสามารถเล่นได้เพียงตำแหน่งกองหน้า หรือในตำแหน่งตัวริมเส้น แต่บิเอลซาเชื่อมั่นในตัวผม และทำให้ผมเป็นผู้เล่นที่ดีขึ้น”
ในฤดูกาล 2019/20 เมื่อไม่มีอาการบาดเจ็บมารบกวนอีก ทำให้เขาสามารถเป็นกำลังสำคัญให้กับลีดส์ในทุกๆ เกม อีกทั้งยังโชว์ฟอร์มได้อย่างยอดเยี่ยมซัดไปถึง 16 ประตู จนเป็นดาวซัลโวล์ของทีม และมันส่งผลไปถึงฟอร์มของลีดส์ให้เก็บชัยชนะได้อย่างต่อเนื่อง จนท้ายที่สุดพวกเขาสามารถคว้าแชมป์ เดอะ แชมเปียนชิพ เลื่อนชั้นสู่พรีเมียร์ลีก ได้สำเร็จ หลังจากรอมานานถึง 16 ปี
แต่ถึงอย่างนั้นพรีเมียร์ลีกก็ยังคงเป็นของแสลงสำหรับเขาอยู่เสมอ ในทุกครั้งที่ต้องเล่นบนพรีเมียร์ลีก ที่ผ่านมาเขาไม่สามารถเรียกฟอร์กเก่งในเดอะ แชมเปียนชิพ กลับมาได้เลยสักครั้ง และครั้งนี้ถือเป็นโอกาสครั้งสำคัญ ที่เขาจะได้พิสูจน์ตัวเองบนลีกสูงสุดอีกครั้ง
ด้วยบริบทที่ต่างออกไป เขามีโค้ชที่เลือกใช้งานเขาได้อย่างถูกจุด และดึงขีดความสามารถเขาออกมาได้อย่างเต็มขีดจำกัด นับเป็นโอกาสที่ดี ที่เขาจะได้ตอบคำถามที่คาใจมาตลอดว่า เขาดีพอที่จะเล่นในพรีเมียร์ลีกหรือไม่
ไม่มีใครบอกได้ว่าเขาจะสามารถทำได้หรือไม่ เขาจะเป็นเพียงนักเตะในระดับเดอะ แชมเปียนชิพ หรือจะสามารถยกระดับตัวเองให้เป็นแข้งระดับพรีเมียร์ลีกได้ แล้วเรามาคอยดูคำตอบนั้นในฤดูกาลหน้ากันครับ
บทความโดย : ฐกฤต กล่ำพันธ์ดี
#ฟุตบอล #เชลซี #ลีดส์ #ยิงตรง
โฆษณา