Blockdit Logo
Blockdit Logo (Mobile)
สำรวจ
ลงทุน
คำถาม
เข้าสู่ระบบ
มีบัญชีอยู่แล้ว?
เข้าสู่ระบบ
หรือ
ลงทะเบียน
รู้เรื่องบ้าน
•
ติดตาม
25 ก.ค. 2020 เวลา 16:13 • บ้าน & สวน
เลือกกระเบื้องให้เป็นเรื่องง่าย
กระเบื้องจัดเป็นวัสดุที่สำคัญอย่างหนึ่งในการสร้างหรือตกแต่งบ้านและยังช่วยเพิ่ม ความสวยงามให้กับบริเวณที่ปูกระเบื้องด้วย ซึ่งกระเบื้องมีหลากหลายประเภทและมีคุณสมบัติแตกต่างกันออกไป ทีนี้เมื่อพูดถึงเรื่องของกระเบื้องหลายคนเวลาไปเลือกซื้อก็น่าจะเคยได้ยินชื่ออย่างกระเบื้องเซรามิคหรือแกรนิตโต้มาบ้าง แต่คงอดสงสัย ไม่ได้ว่ามันแตกต่างกันอย่างไร วันนี้เราจะมาพูดถึงกระเบื้องที่ปัจจุบันนิยมใช้ว่ามีแบบไหนบ้าง มาดูกันครับ
1.กระเบื้องดินเผา (Earthenware Tiles)
กระเบื้องดินเผาถือว่าเป็นกระเบื้องที่ได้รับความนิยมมาตั้งแต่สมัยโบราณ โดยส่วน มากจะมีสีแดงอิฐหรือสีน้ำตาลแดงเข้ม ทำมาจากดินเหนียวผสมน้ำแล้วนำมาขึ้นรูป และเผาไฟด้วยเทคนิคแบบดั้งเดิม ปัจจุบันมีรูปแบบให้เลือกหลากหลาย ขนาดของกระเบื้องดินเผามีตั้งแต่ 4 x 4 นิ้ว ไปจนถึง 8 x 8 นิ้ว ลักษณะของกระเบื้องประเภทนี้คือให้ผิวสัมผัสเป็นธรรมชาติโดยมีทั้งแบบผิวด้านและเคลือบเงา
Credit : Baanthaitiles
ข้อดีของกระเบื้องดินเผาคือให้ความรู้สึกเป็นธรรมชาติและมีราคาย่อมเยา แต่ข้อเสียของมันก็คือมีความแข็งแรงไม่มาก เนื้อกระเบื้องจะมีรูพรุนทำให้มีอัตราการดูดซึมน้ำค่อนข้างมาก (15-22%) กระเบื้องจึงยืดหรือหดตัวได้สูงเมื่อโดนความชื้นและความ ร้อน ดังนั้นควรเลือกใช้กระเบื้องดินเผาในบริเวณที่ไม่ต้องการความแข็งแรงมากนัก เช่น พื้นที่ระเบียงหรือเฉลียง แต่ไม่แนะนำให้ใช้ปูพื้นห้องน้ำนะครับ เพราะจากการที่ตัวกระเบื้องมีอัตราการดูดซึมน้ำสูง เมื่อผ่านไประยะเวลาหนึ่งกระเบื้องอาจหลุดล่อนได้
2.กระเบื้องเซรามิค (Ceramic Tiles)
กระเบื้องเซรามิคเป็นกระเบื้องที่พบเห็นได้ทั่วไปตามร้ายจำหน่ายวัสดุก่อสร้าง ทำมาจากการผสมดินเหนียว หิน แร่ หรือทรายแก้วรวมกันแล้วนำมาขึ้นรูปและเผาด้วยความร้อนสูง 900 - 1,000 องศาเซลเซียส หลังจากนั้นนำมาผ่านกระบวนการเคลือบผิวเพื่อทำให้เกิดลวดลายตามต้องการ ขนาดของกระเบื้องเซรามิคมีตั้งแต่ 10 - 30 เซนติเมตร จากการที่กระเบื้องเซรามิคผลิตโดยการเผาที่อุณหภูมิสูงขึ้นเนื้อกระเบื้องจึงมีความแน่นและแข็งแรงมากกว่ากระเบื้องดินเผา มีอัตราการซึมน้ำค่อนข้างต่ำ (5-7%) ซึ่งสามารถใช้ปูได้ทั้งภายในและภายนอกอาคาร แต่โดยส่วนตัวแล้วแนะนำว่าเหมาะกับภายในอาคารมากกว่า ส่วนราคาของกระเบื้องเซรามิคนั้นมีหลายระดับ ราคาตามเกรด ขนาด และลวดลายครับ
กระเบื้องเซรามิคแบ่งเป็น 2 ประเภท ได้แก่ กระเบื้องปูพื้น (Floor Tiles) และกระเบื้องปูผนัง (Wall Tiles) ดังนั้นเวลาเลือกซื้อต้องดูชนิดของกระเบื้องให้ดีนะครับ เพราะว่าถ้าเป็นกระเบื้องชนิดปูผนังจะเผาด้วยอุณหภูมิที่ต่ำกว่ากระเบื้องปูพื้นทำให้มีความแข็งแรงน้อยกว่า ซึ่งเวลาที่เราไปเลือกซื้อกระเบื้องเซรามิคถ้าในเบื้องต้นอยากรู้ว่าอันไหนป็นกระเบื้องใช้ปูผนัง ให้สังเกตุว่าขนาดแผ่นกระเบื้องจะเล็กกว่ากระเบื้องที่ใช้ปูพื้นและเมื่อลองใช้มือเคาะดูจะพบว่าเนื้อกระเบื้องจะโปร่งกว่าครับ
Credit : umi-tiles
ข้อดีของกระเบื้องเซรามิคที่เห็นได้ชัดเจนที่สุดคือมีขนาดและลวดลายให้เลือกใช้ มากที่สุด โดยจะมีข้อสังเกตุอย่างหนึ่งคือกระเบื้องชนิดนี้จะไม่ตัดขอบ ทำให้เวลาปู ต้องเว้นระยะยาแนวไม่ต่ำกว่า 3 มิลลิเมตร เมื่อปูเสร็จแล้วจะเห็นร่องยาแนวค่อนข้างชัดเจน
3.กระเบื้องพอร์ซเลน (Porcelain Tiles)
กระเบื้องพอร์ซเลนเป็นกระเบื้องที่มีส่วนผสมหลักเป็นดินขาวและผ่านกระบวนการ เผาในอุณหภูมิที่สูง 1,200 - 1,300 องศาเซลเซียส จึงมีความแข็งแรงมากกว่า กระเบื้องเซรามิค ทนรอยขีดข่วนได้ดีกว่า มีอัตราการดูดซึมน้ำต่ำ (0.5 - 1%) สามารถใช้ได้ทั้งภายในและภายนอกอาคาร
Credit : Paradyz
กระเบื้องพอร์ซเลนจะมีการพิมพ์และเคลือบผิวเป็นลวดลายต่างๆ ขนาดที่นิยมใช้คือ 60 x 60 เซนติเมตร ซึ่งส่วนใหญ่จะเป็นกระเบื้องตัดขอบ เวลาปูจะเว้นระยะยาแนว ประมาณ 2 มิลลิเมตร ทำให้เมื่อปูแล้วกระเบื้องจะอยู่ค่อนข้างชิดกันและดูสวยงาม กว่ากระเบื้องเซรามิค โดยส่วนตัวแล้วแนะนำว่ากระเบื้องประเภทนี้เหมาะที่จะใช้กับ พื้นภายในบ้านและห้องน้ำครับ
จากที่พูดถึงข้างต้นจัดได้ว่าเป็นข้อดีของกระเบื้องพอร์ซเลน แต่ข้อเสียของกระเบื้องประเภทนี้คือมีราคาสูงกว่ากระเบื้องเซรามิค แต่ถึงจะต้องจ่ายแพงกว่าก็แลกมาด้วย ความแข็งแรงและสวยงามมากกว่าครับ
4. กระเบื้องแกรนิตโต้ (Granitto Tiles)
ได้ยินชื่อแกรนิตโต้แล้วหลายคนคงเคยรู้จักมาก่อนเพราะว่าเป็นกระเบื้องที่โครงการหมู่บ้านจัดสรรนิยมใช้กันมากที่สุด กระเบื้องประเภทนี้มีวิธีการผลิตเหมือนกับกระเบื้องพอร์ซเลน แต่จะแตกต่างตรงที่กระเบื้องแกรนิตโต้มีส่วนผสมของผงหินแกรนิตทำให้เมื่อผ่านการเผาแล้วเนื้อกระเบื้องจะแข็งแกร่งกว่ากระเบื้องชนิดอื่นๆ
Credit : umi-tiles
แกรนิตโต้เป็นกระเบื้องที่ไม่มีการเคลือบสี พื้นผิวมีลักษณะมันวาว ส่วนมากจะมีเนื้อกระเบื้องเป็นเนื้อเดียวกันทั้งแผ่น (Homogeneous) ดังนั้นเมื่อถูกกะเทาะจะสังเกตุได้ว่าผิวหน้ากับเนื้อด้านในจะมีสีเหมือนกัน
ข้อดีของกระเบื้องแกรนิตโต้อยู่ที่เรื่องของความแข็งแรงและรับน้ำหนักได้ดี แต่ข้อ เสียก็คืออาจจะมีลวดลายให้เลือกน้อยกว่า เนื่องจากเนื้อกระเบื้องมีส่วนผสมของผงหินแกรนิตและไม่มีการเคลือบสีทำให้กระเบื้องประเภทนี้ส่วนมากจะมีสีแนว Earth tone ครับ
5. กระเบื้องโมเสค (Mosaic Tiles)
โมเสคเป็นวิธีการนำกระเบื้องชิ้นเล็กๆ มาปูเรียงกันให้เป็นลวดลายและสีสันต่างๆ ปัจจุบันนิยมใช้กระเบื้องแก้ว (Glass Tiles) มาติดบนแผ่นตาข่ายรองให้เป็นลวดลายต่างๆ จุดเด่นของกระเบื้องชนิดนี้คือมีความสวยงาม เนื้อเป็นแก้วใส มันวาว และสีไม่ตก สามารถปูบนพื้นที่ขนาดเล็กและโค้งมนได้ แต่จะมีความแข็งแรงน้อยกว่ากระเบื้องเซรามิค ดังนั้นกระเบื้องโมเสคจึงเหมาะกับการใช้ตกแต่ง เช่น ปูพื้นสระว่ายน้ำหรือตกแต่งผนัง แต่ไม่นิยมนำมาปูพื้นในส่วนที่ต้องรับน้ำหนักมาก
Credit :Mosaicsdirect
ข้อดีของกระเบื้องโมเสคอยู่ที่เรื่องความสวยงาม สามารถออกแบบให้มีลวดลายได้ ตามต้องการ แต่ข้อเสียหลักๆ เลยคือมีราคาค่อนข้างสูงและต้องใช้ความชำนาญในการติดตั้งมากเพราะพื้นผิวกระเบื้องเกิดรอยขีดข่วนได้ง่าย หากถูกกระแทกก็ทำให้ แตกหักได้
Credit : Artsaics
พูดถึงประเภทของกระเบื้องไปแล้ว ต่อไปเราจะพูดถึงคุณสมบัติอย่างหนึ่งที่เป็นของคู่กันกับกระเบื้องนั่นก็คือ ค่ากันความลื่น (Slip Resistance)
ค่ากันความลื่นคือตัวเลขที่บ่งบอกคุณสมบัติการกันความลื่นของพื้นผิวกระเบื้องชนิดนั้นๆ ซึ่งแทนค่าด้วย R มีตั้งแต่ R9 จนถึง R13 ตัวเลขยิ่งมากก็จะฝืดมากขึ้น โดยที่ค่ากันความลื่นนี้จะระบุไว้ที่กล่องกระเบื้องครับ
สาเหตุที่ต้องมีค่า R กำกับไว้เพราะว่ากระเบื้องแต่ละแบบมีผิวกระเบื้องที่แตกต่างกัน ยกตัวอย่างเช่น กระเบื้องพอร์ซเลนจะมีทั้งแบบผิวด้าน เคลือบผิวมัน หรือกึ่งมันกึ่ง ด้าน ซึ่งเมื่อผิวกระเบื้องเปียกน้ำก็จะเกิดความลื่นไม่เหมือนกัน
Credit : Builddirect
ดังนั้นเพื่อประเมินค่าที่เหมาะกับการใช้งานอย่างปลอดภัย ในเบื้องต้นแนะนำ ดังนี้
ค่า R9 คือค่ากันความลื่นขั้นต้นของกระเบื้องทั่วไป
ค่า R10 เหมาะกับปูพื้นห้องน้ำ
ค่า R11 เหมาะสำหรับปูพื้นนอกบ้านในส่วนที่เราต้องการความปลอดภัยเวลากระเบื้องเปียกน้ำ เช่น ที่จอดรถยนต์หรือทางเดิน
และค่า R12 ขึ้นไป เหมาะสำหรับปูพื้นทางลาด เช่น ทางลาดวีลแชร์หรือทางลาดของที่จอดรถยนต์
สุดท้ายนี้ในการซื้อกระเบื้องควรซื้อปริมาณมากกว่าที่ต้องการใช้ประมาณ 5% เผื่อเอาไว้หากมีกระเบื้องแตกหักระหว่างปูหรือในอนาคตถ้ากระเบื้องเกิดชำรุดเราก็จะมี สำรองไว้ซ่อมแซมได้ครับ เพราะว่าถึงตอนนั้นอาจหากระเบื้องแบบเดียวกันได้ยาก
reference
https://en.wikipedia.org/wiki/Porcelain_tile
http://www.floor-tester.com/floor-slip-ratings.html
https://www.realsimple.com/home-organizing/decorating/types-of-tiles
3 บันทึก
4
2
2
3
4
2
2
โฆษณา
ดาวน์โหลดแอปพลิเคชัน
© 2024 Blockdit
เกี่ยวกับ
ช่วยเหลือ
คำถามที่พบบ่อย
นโยบายการโฆษณาและบูสต์โพสต์
นโยบายความเป็นส่วนตัว
แนวทางการใช้แบรนด์ Blockdit
Blockdit เพื่อธุรกิจ
ไทย