28 ก.ค. 2020 เวลา 07:55 • ภาพยนตร์ & ซีรีส์
สวัสดีครับ ขอบคุณเพื่อนๆ ที่เข้ามาติดตามอ่าน "เรื่องเล่าจากแผ่นหนัง" นี่คือบทความแรกของเพจเลยครับ ผิดถูกยังไงติชมกันได้เลยครับ โดยเพจจะเป็นการหยิบหนังบนชั้นวางที่บ้านผมเองมาเล่าเกร็ดให้ฟังแบบสบายๆ เป็นกันเองเปรียบเหมือนเพื่อนคนนึงเล่าเรื่องให้เพื่อนอีกคนฟัง ยังไงก็ขอฝากตัวด้วยครับผม ซึ่งวันนี้ผมได้หยิบหนังเรื่องแรกที่จะมาเล่านั้นคือภาพยนตร์ที่ผมชอบมากที่สุดในปี 2019 เลยนั้นก็คือ 'Once Upon A Time In Hollywood' ผลงานลำดับที่ 9 ของ ผกก.สายแจกฟักอย่าง Quentin Tarantino
4K Ultra HD :Once Upon A Time in Hollywood จัดจำหน่ายโดย Sony Pictures
หากใครติดตามหนังของเควนติน ทาแรนติโน่มาโดยตลอดก็จะรู้ดีกันอยู่แล้วว่าเฮียแกนั้นหลงไหล ศิลปะในยุคสมัย 60s เอามากๆ เพราะมันคือยุคทองแห่งเสียงเพลง และภาพยนตร์ของ Holllywood อย่างไม่ต้องสงสัย ทำให้ผลงานล่าสุดอย่างเรื่อง Once Upon Time in Hollywood จึงเกิดขึ้นในช่วงปี 1969 โดยหยิบประเด็นเรื่องจริงอัดโหดร้ายที่สะเทือนขวัญประชาชนไปทั่วเมืองลอสแอนเจิลลิส ที่ชีวิตดารานักแสดงเองยังหาความปลอดภัยในบ้านตัวเองไม่ได้ แม้จะอยู่ในย่านที่ดินที่มีมูลค่าสูงสุดในรัฐ California อย่าง Beverly Hills ด้วยซ้ำ ถึงตรงนี้ผมคงไม่ต้องมาเขียนเรื่องย่อ หรือเขียนรีวิวที่หาอ่านได้ตามบทความออนไลน์ทั่วไป เอาเป็นว่ามาติดตามเกร็ดหนังที่เพื่อนๆ อาจจะยังไม่เคยรู้จากเรื่องนี้กันเลยครับ แต่ก่อนอื่นผมจะบอกรายละเอียดคร่าวๆของแผ่นที่ผมหยิบมาเล่ากล่องนี้ก่อนนะครับว่ามันมีอะไรข้างในบ้าง
แกะกล่อง Collector's Edition
Set นี้เป็นกล่อง 4K Collector's Edition ของ USA ประกอบไปด้วยแผ่นหนัง 4K+Bluray+OST Vinyl ในรูปแบบกล่องกระทัดรัดแบบ Digipack และมีแถมโปสเตอร์เล็กๆ มาให้อีก 1 แผ่น ซึ่งตัวแผ่น 4K นั้น จะพูดเต็มปากเต็มคำว่าชัดกริ๊บใสกิ๊งก็ไม่ถูกต้องซะทีเดียว คาดว่าเป็นความตั้งใจของ ผกก. เควนตินเองด้วยที่ต้องการให้แสงสีของตัวภาพยนตร์ดูตุ่นๆซีดๆ หม่นๆย้อนยุคสไตล์ 1960s ถึงแม้เรื่องนี้จะถ่ายด้วย Film 35 mm และทำการ Processing Scan ภาพ 4K Native ก็ตาม แต่ด้วยเป็นความตั้งใจของผู้สร้างที่ต้องการให้ภาพออกมาลักษณะแบบนี้อยู่แล้ว ในส่วนของระบบเสียงนั้นใช้ DTS-HD MA 7.1 ซึ่งความคาดหวังแรกก็แอบผิดหวังเล็กน้อยที่ไม่มีระบบเสียง Object Base Audio อย่าง Dolby Atmos หรือ DTS X ที่เป็นระบบเสียงหลักชูโรงของ Format 4K แต่พอเมื่อได้รับชมแล้วก็ลืมข้อกังขาจุดนั้นไปเลยครับ เพราะเท่านี้ก็เพียงพอแล้ว โดยเฉพาะช่วงท้าย Climax ของเรื่องนั้น แทบจะหรี่เครื่องเสียงไม่ทันเลยทีเดียว ถึงแม้แผ่น 4K แผ่นนี้จะใช้ระบบเสียงดั้งเดิมสมัย Bluray แต่ก็ไม่ได้ด้อยคุณภาพลงไปเลยสักนิดเดียวครับ
Leonardo DiCaprio
เกร็ดจากภาพยนตร์
ตัวละครหลักที่รับบทเป็นคนในวงการ Hollywood ส่วนใหญ่มีตัวตนจริง แต่จะมีเพียง Rick Dalton (Leonardo DiCaprio) กับ Cliff Booth (Brad Pitt) ที่เป็นตัวละครสมมุติขึ้นมา
ในฉบับเต็มก่อนกระบวนการตัดต่อนั้น ภาพยนตร์เรื่องนี้มีความยาวถึง 4 ชั่วโมง 20 นาทีเลยทีเดียว แต่ด้วยเหตุผลทางการตลาด ทำให้ในฉบับที่ลงในโรงฉายที่เราได้ดูกันนั้นคือเหลือ 2 ชั่วโมง 41 นาที (แต่ใครจะรู้ในอนาคตอาจจะมีตัวเต็ม Uncut ออกมาให้ดูก็ได้นะ)
ในระหว่างการถ่ายทำนั้นพ่อหนุ่มลีโอกับเฮียแบรดเรียกว่าสนิทสนมแน่นแฟ้นกันมากๆ เหมือนต่างคนต่างได้พี่ชายและน้องชายแท้ๆเพิ่มเข้ามา ถึงขนาดที่งานแถลงข่าวภาพยนตร์ที่เทศกาลหนังเมืองคานส์ ทั้งคู่ได้ยืนยันแน่นอนว่า Once Upon A Time in Hollywood นั้นจะไม่ใช่เรื่องสุดท้ายที่พวกเขาจะแสดงร่วมกัน (เย้!)
Brad Pitt
แผ่น 4K และ Bluray
ในแผ่น Bluray มี Special Feature หัวข้อ Restoring Hollywood ซึ่งถ้าเพื่อนๆได้ดูหัวข้อนี่จะได้เห็นขั้นตอนการแปลงโฉมเนรมิตถนน Hollywood Boulevard ที่ปัจจุบันนั้นทันสมัยอย่างมาก ให้มาย้อนเวลาแปลงโฉมกลายเป็นถนนยุค 1969 อย่างน่าทึ่งสมจริงสุดๆ ซึ่งในตอนแรกทีมงานต้องไปเจรจาขอความร่วมมือกับร้านค้าบ้านเรือนต่างๆ นับร้อยหลังคาเรือนว่าขออนุญาตติดป้ายโฆษณาเก่าๆ เปลี่ยนแปลงลักษณะตึกหน้าต่างบ้านเรือนบางส่วน หรือทาสีขึ้นมาใหม่เพื่อใช้ในการถ่ายทำ และจะคืนสภาพเดิมเมื่อถ่ายจบ ซึ่งช่วงแรกแทบเจ้าของกิจการละแวกนั้นแทบจะไม่มีใครเห็นด้วยสักเท่าไร แต่พอเมื่อภาพยนตร์ถ่ายทำจบเสร็จสิ้น ทีมงานเตรียมดำเนินการคืนพื้นที่ให้กลับสภาพเดิมนั้น กลายเป็นกลุ่มเดิมที่ไม่เห็นด้วยในตอนแรกในการเปลี่ยนแปลงกลับมาบอกกับทีมงานว่า "ไม่ต้องเอามันออกนะ ทิ้งไว้แบบนี้แหล่ะดีแล้ว เพราะสไตล์มันโคดใช่กับที่นี้สุดๆไปเลย" (อ้าวซะงั้น 555)
แม้เทคโนโลยีปัจจุบันจะกระโดดก้าวไกลไปสักแค่ไหน กล้องถ่ายทำภาพยนตร์จะมีคุณภาพสูงถึง Digital 16K แล้วก็ตาม แต่ Quentin Tarantino ยืนยันว่าจะขอถ่ายทำภาพยนตร์เรื่องนี่ด้วยกล้องฟิล์ม 35mm แบบเช่นเดิมเหมือนในหนังทุกเรื่องของเค้า และมีบางฉากถ่ายด้วยฟิล์ม 8mm กับ 16mm ด้วย (Analog ตัวพ่อขนานแท้)
ภาพยนตร์เรื่องนี้ได้เข้าฉายรอบ Premiere ที่เทศกาลหนังเมืองคานส์ในช่วงเดือน พฤษภาคม 2019 ก่อนจะมีการเข้าฉายรอบปกติทั่วโลกในเดือน กรกฏาคมซึ่งเรียกว่าห่างกันถึง 2 เดือนเลยทีเดียว ทำให้ ผกก.อย่างเควนติน กลัวว่าจะมีผู้ชมในรอบนี้หลุดสปอยใน Social Media ต่างๆ ทำให้เจ้าตัวถึงกับต้องออกมาแถลงขอร้องผู้ชมที่ได้ดูรอบ Premiere ว่า "ผมขอกล่าวในฐานะคนรักภาพยนตร์ คุณเองก็รักภาพยนตร์เหมือนกับผม เรื่องนี้ทีมงานและนักแสดงตั้งใจมากที่จะสร้างสรรค์งานออกมาให้ดีที่สุด ได้โปรดขอให้อย่าเปิดเผยเนื้อหาใดๆของภาพยนตร์เรื่องนี้ เพื่อให้แฟนๆ ที่กำลังรอชมทีหลังได้สัมผัสประสบการณ์ที่เหมือนกันกับที่คุณได้สัมผัสมาเช่นกัน"
ในรอบ Premier เมืองคานส์หลังจากภาพยนตร์จบลง ผู้ชมได้ยืนปรบมือให้กับผู้สร้างและนักแสดง (Standing Ovation) ถึง 7 นาที
Quentin Tarantino กับเหล่านักแสดงหลักในรอบ Premiere ที่เทศกาลหนังเมืองคานส์
Magot Robbie
เควนติน ทาแรนติโน่เผยว่าเค้าใช้เวลาเขียนบทเรื่องนี้กว่า 5 ปี และเป็นบทภาพยนตร์ที่เค้าใส่ความเป็นตัวเองไว้มากที่สุด
Leonardo Dicaprio ต้องออกกำลังกายวิดพื้น-ซิดอัฟวันละร้อยครั้งเพื่อเตรียมรูปร่างให้พร้อมในการรับบทเป็น Action Star ในยุค 60s แต่ส่วนที่หนักที่สุดของเค้าคือการต้องงดทานของหวาน และพาสต้าซึ่งเป็นอาหารจานโปรดของเค้าหลายเดือนเลยทีเดียว
ผู้กำกับภาพที่เคยได้รางวัลออสการอย่าง Robert Richardson ถึงกับปลื้มปลิ่มยิ้มไม่หยุดในวันที่ต้องถ่ายทำฉากที่มีนักนักแสดงระดับตำนานอย่าง Al Pacino เพราะตัวเค้าคือแฟนพันธุ์แท้ของยอดนักแสดงคนนี้ และก็ได้ดูหนังที่เค้าแสดงมาทุกเรื่อง แต่การที่ต้องมากำกับภาพให้กับไอดอลของเค้าเป็นครั้งแรกแบบนี้มันก็มีสั่นกันบ้างอยู่แล้ว ที่สำคัญต้องถ่ายในเฟรมฉากเดียวกับมีทั้งหนุ่มลีโอและแบรดร่วมอยู่ในซีนอีกด้วย เค้าถึงกับยกว่าเป็นวันที่ดีที่สุดในชีวิตไปเลย
เครื่องประดับบางชิ้นที่ Magot Robbie ใส่ในภาพยนตร์นั้น เป็นเครื่องประดับของ Sharon Tate จริงๆ ซึ่ง Debra Tate น้องสาวของของ Sharon เป็นผู้มามอบให้กับทีมงานได้ใช้ถ่ายทำเอง
Sharon Tate / Magot Robbie
ฉากต่อสู้ของ Cliiff Booth กับ Bruce Lee
แรกเริ่ม Brad Pitt ได้ปฎิเสธแสดงเรื่องนี่ไปแล้วเพราะตอนแรกที่ถูกทาบทามนั้น บทหนังยังไม่เสร็จสมบูรณ์และก็ยังไม่มีชื่อเรื่อง เพียงรู้คร่าวๆว่าบทที่เค้าจะได้รับนั้นเป็นจนท. ตำรวจสืบสวนคดีอาชญากรรมซึ่งเค้าปัดตกไปทันที จนหลายเดือนต่อมาเควนตินเกือบจะไปเจรจากับ Tom Cruise เพื่อมารับบทที่ Brad ปฏิเสธไป แต่จนแล้วจนรอดก็ไม่ได้ติดต่อไปหา Tom Cruise เพราะเควนตินได้ปรับแก้บทใหม่และกลับไปเจรจากับ Brad อีกครั้งซึ่งคราวนี้ให้มารับบทเป็นสตั้นแมนอย่างที่เราได้เห็นแล้วในภาพยนตร์ นี่ละเค้าถึงเปลี่ยนใจยอมรับแสดงในเรื่องนี้และก็ได้รางวัลออสการสาขานักแสดงสมทบชายซะด้วย
ประเทศจีนไม่อนุญาตให้ฉายเรื่องนี้เนื่องจากมีฉากที่นำเสนอภาพลักษณ์ของ Bruce Lee ไม่เหมาะสมซึ่งหากจะให้ภาพยนตร์เข้าฉายที่จีนได้ ทีมงานต้องตัดต่อฉากของ Bruce Lee ในเรื่องใหม่ทั้งหมดซึ่งผกก. อย่างเควนตินยืนยันหนักแน่นมากจะไม่มีการตัดต่อใดๆขึ้นมาใหม่เด็ดขาด
ด้วยภาพยนตร์มีทุนสร้างที่จำกัด Leonardo DiCarprio ถึงกับเต็มใจยอมหั่นค่าตัวออกถึง 25% (จากค่าตัว $20 ล้านดอลล่าห์) ด้วยความที่อยากจะกลับมาแสดงให้กับหนังของ Quentin Tarantino อีกครั้งหลังจากที่เคยร่วมงานกันมาแล้วใน Django Unchained
Brad Pitt กับรางวัลออสการ์นักแสดงสมทบชายยอดเยี่ยม
ฉากเปิดหนังในเรื่องใช้ Logo ของ Columbia Pictures ที่ใช้จริงในปี 1969 เพื่อให้สอดคล้องกับเหตุการณ์ที่กำลังจะเกิดขึ้น
สุนัขพันธ์ Pitbul ในเรื่องชื่อ Brandy สัตว์เลี้ยงของ Cliff Booth ที่รับบทโดย Brad Pitt นั้นได้รับรางวัลสุนัขแสดงยอดเยี่ยม Palm Dog Award ที่เมืองคานส์ด้วยนะ (นี่ฟันรางวัลทั้งเจ้านายและลูกน้องกันเลยทีเดียว)
Brandy สุนัข Pitbull ที่ได้รับรางวัล
แผ่นเสียง Vinyl OST ของภาพยนตร์มาพร้อมในชุด 4K Collector's Edition
คว้าสองรางวัลใหญ่จากเวที Golden Globe Awards
แพ็คเก็จแบบ Digipack ของ Collector' Edition
นี่คือผลงานลำดับที่ 9 ของ เควนติน ทาแรนติโน่
ในแผ่น Bluray จะมีฉากที่ถูกตัดออกไปประมาณ 20 นาทีให้ดูอีกด้วย
Poster ที่มาพร้อมกับชุด Collector's Edition
ขอบคุณข้อมูลจาก imdb.com
โฆษณา