28 ก.ค. 2020 เวลา 09:10 • กีฬา
กัปตันคนที่ 4
จริงๆน่าเห็นใจแทนลอฟเรนเหมือนกันนะครับ ที่เขาไม่ได้มีโอกาสอำลาทีมแบบที่อดัม ลัลลานาได้รับ ทั้งๆที่เป็นเพื่อนร่วมทีมกันมาก่อน ย้ายมาจากเซาแธมป์ตันปี 2014 เหมือนกัน ย้ายออกในปีนี้เหมือนกัน
แต่เหตุผลก็เข้าใจได้อยู่ เพราะอดัม ลัลลานา นั้นหมดสัญญากับทีมตั้งแต่เดือนมิถุนายนและได้รับการต่อสัญญาชั่วคราวเพื่อจากไปอย่างมีเกียรติ
ส่วนลอฟเรนยังมีอ๊อปชั่นต่อสัญญาเพิ่มอีก 1 ปีถ้าหากว่าเจ้าตัวเลือกที่จะอยู่ เพราะฉะนั้นเลยไม่มีการอำลาลอฟเรนอย่างเป็นทางการเพราะสโมสรไม่สามารถคาดเดาได้ว่าลอฟเรนจะอยู่หรือจะไปกันแน่
สุดท้ายเจ้าตัวเลือกย้ายเพื่อหาโอกาสลงเล่นใหม่ในช่วงปลายอาชีพค้าแข้งที่รัสเซีย
ตลอดช่วงเวลาค้าแข้งกับลิเวอร์พูล กองหลังรองแชมป์โลกมีดีและแย่ผสมปะปนกันไป นัดไหนว่าแย่ก็แย่จริงๆ แต่ถ้านัดไหนฟอร์มดีเมสซีก็เลี้ยงไม่ผ่าน
เพียงแต่ว่าพอถึงช่วงเวลาที่เจ้าตัวฟอร์มดีเมื่อไหร่ก็มักจะเจออาการบาดเจ็บเล่นงานไปเสียทุกครั้ง
ในช่วงต้นฤดูกาล โจเอล มาติป ได้ออกสตาร์ตเป็นคู่เซ็นเตอร์กับเฟอร์กิล ฟาน ไดจ์ค ก่อนที่จะได้รับบาดเจ็บ และในตอนนั้นเดยัน ลอฟเรน คือตัวเลือกเซ็นเตอร์ลำดับที่ 3 ในใจของคล็อปป์ และเขาได้รับความไว้วางใจก่อนโจ โกเมซ ในการยืนเซ็นเตอร์คู่กับฟาน ไดจ์ค
นัดแรกในฤดูกาลนี้คือการเปิดบ้านเอาชนะเลสเตอร์ ซิตี้ 2-1 นัดต่อมาเจอร์เกน คล็อปป์ เลือกใช้โกเมซคู่กับฟาน ไดจ์ค ในการรับมือกับความเร็วของผู้เล่นแมนฯ ยูไนเต็ด สุดท้ายลิเวอร์พูลทำได้แค่บุกไปเสมอแมนฯ ยูไนเต็ดเท่านั้น หยุดสถิติชนะรวดไว้ที่ 8 นัดแรกในฤดูกาล
อีก 7 เกมต่อมาคล็อปป์เลือกใช้ลอฟเรนคู่กับฟาน ไดจ์คในตำแหน่งเซ็นเตอร์และทีมกลับมาชนะรวดอีก 7 เกม ก่อนที่เจ้าตัวจะได้รับบาดเจ็บอีกครั้ง ในตอนต้นฤดูกาลถือว่าฟอร์มอยู่ในช่วงพีคมากๆ
จริงๆแล้วถ้านับตั้งแต่ปี 2017 ก่อนที่ฟาน ไดจ์คจะย้ายมาลอฟเรนคือตัวเลือกเซ็นเตอร์ลำดับที่ 1 ของลิเวอร์พูลมาตลอด เหนือกว่าทั้งมาติป,โกเมซและรักนาร์ คลาวาน
เหตุผลก็เพราะว่ากองหลังรองแชมป์โลกเป็นคนที่วางบอลยาวได้แม่นยำมากๆทั้งซ้ายและขวา ซึ่งเหมาะกับฟุตบอลของเจอร์เกน คล็อปป์ ที่ผสมผสานระหว่างเกเก้นเพรสซิ่งและฟุตบอลไดเรคแบบเยอรมันเข้าด้วยกัน
ในฤดูกาล 2017/2018 นั้นเจ้าตัวได้ลงสนามมากว่าใครเพื่อนในตำแหน่งกองหลังและลงเล่นไปถึง 43 เกม รวมถึงนัดชิงชนะเลิศ UCL ปี 2018 อีกทั้งยังโหม่งให้มาเน่ยิงตีเสมอรีล มาดริดอีกต่างหาก
ถ้าลองมามองดูสถิติส่วนตัวและเจาะลึกลงไปในรายละเอียดเจ้าตัวถือว่าเป็นกองหลังที่เหนียวแน่นคนหนึ่งในยุโรป เพียงแต่ว่าจังหวะผิดพลาดเล็กๆน้อยๆมันเกิดขึ้นบ่อยและถี่มากเกินไปจนทำให้แฟนหงส์หลายคนมักจะจำแต่เรื่องผิดพลาดของเจ้าตัวอยู่เสมอ
อ่านมาถึงตรงนี้บางคนอาจจะคิดว่าผมพูดเว่อร์เกินไปหรือเปล่า แต่บอกเลยถ้าไม่เจ๋งจริงคงไม่มีดีกรีเป็นถึงกองหลังรองแชมป์โลกหรอกครับ เป็นนักเตะหงส์แดงคนเดียวที่ไปอยู่ในนัดชิงชนะเลิศ World CUP 2018 แค่นี้ก็เท่มากแคไหนแล้ว
อีกหนึ่งเรื่องดีๆในความร้ายของลอฟเรน ที่เขาเคยด่าโจมตีรามอสบนโลกออนไลน์ว่าไอ้ขี้ขลาด และพวกเล่นสกปรก เป็นการปกป้องเพื่อนซี้อย่างโม ซาลาห์ ที่โดนรามอสทำให้บาดเจ็บในนัดชิงชนะเลิศของ UCL เมื่อปี 2018
เรื่องนี้ลอฟเรนกลายเป็นตัวตลกบนโลกออนไลน์อยู่พักนึงเพราะมีหลายคนยกแชมป์ของรามอสมาเทียบกับลอฟเรนในตอนนั้นที่ยังไม่ได้คว้าแชมป์อะไรให้กับลิเวอร์พูลเลยสักรายการเดียว
ส่วนเซคิโอ รามอส ก็โดนโจมตีบนโลกออนไลน์ไม่แพ้กันเพราะหลังจากท่าไม้ตายที่โจมตีใส่ซาลาห์ คนในโลกออนไลน์ก็ไปขุดคุ้ยว่าเคยทำใส่ดานี อัลเวสกับยูเวนตุสมาก่อนแล้ว
สุดท้ายแฟนลิเวอร์พูล แฟนบอลอิยิปต์และแฟนยูเวนตุสรวมพลังเกลียดรามอสกันแบบสุดขั้ว ส่วนคนที่เข้าข้างรามอสก็มีแฟนเรอัล มาดริดและแฟนบอลแมนฯ ยูไนเต็ด
สำหรับสิ่งที่ลอฟเรนทำบนโลกออนไลน์บอกตามตรงผมชอบนะ
เพราะนี่เป็นการโจมตีตรงๆและปกป้องเพื่อนรวมทีมของตัวเองแบบจริงจังมากๆ ทำในสิ่งที่นักเตะหงส์คนอื่นๆไม่กล้าทำด้วยซ้ำ ไม่สนว่าใครจะมองกูไม่ดีเพราะถ้ามาทำร้ายเพื่อนร่วมทีมกูก้ไม่ไว้หน้าเหมือนกัน
ถ้าหากเฮนเดอร์สันคือกัปตันสายผู้นำ
มิลเนอร์คือกัปตันสายพลัง
ฟาน ไดจ์คคือกัปตันสายสั่งการ
ลอฟเรนก็คือกัปตันสายบวกดีๆนี่เอง
ไม่ว่าคนอื่นจะมองอย่างไร แต่ขอบอกเลยว่าทีมก็ต้องมีคนแบบนี้ไว้ปกป้องลูกน้องในทีม
6 ปี
185 เกม
.
.
.
.
แชมป์ UCL
แชมป์ UEFA SUPER CUP
แชมป์ FIFA CLUB WORLD CUP
แชมป์ Premiere league
ขอให้โชคดีกับเส้นทางข้างหน้า
#อยู่ที่ไหนก็เป็นลิเวอร์พูลเสมอ
#ปลายสตั๊ดสีแดง
โฆษณา