28 ก.ค. 2020 เวลา 12:30 • เกม
รีวิว The Last of Us Part 2 (จากมุมมองของคนที่เล่นภาคแรกไปไม่ถึงไหน)
ต้องขอออกตัวว่าผมเล่นเกมไม่เก่ง ไม่ค่อยเล่นเกม และมีไม่กี่เกมที่ผมเล่นจบ แต่ด้วยกระแสของเกมนี้ที่มาแรง ประกอบกับเนื้อเรื่องที่ทำออกมาได้ดี เกมเพลย์ที่สนุกจึงทำให้เงินในกระเป๋าผมมีอันต้องหลุดลอยไป
ผมควักกระเป๋าจ่ายไปก่อนเกมออกประมาณ 2 วัน ผมอยากรู้ว่าภาคแรกเกมเพลย์จะเป็นอย่างไร จึงได้ขุดเกมภาคแรกจากกรุที่ดองไว้นานมาเล่น หลังจากที่ผมดูช่องต่างๆ แคสเกมภาคแรกมานาน จึงรู้เนื้อเรื่องทั้งหมดแล้ว แต่อยากลองเล่นเองดู เพราะมองแล้วว่าไม่น่ายาก
แต่แล้วก็ประวัติศาสตร์ซ้ำรอยผมเล่นไปไม่ถึงไหนก็เลิกขี้เกียจเล่น รอจนภาค 2 ออกมาค่อยเล่นทีเดียวทีกว่า เมื่อตัวเกมปล่อยออกมาให้เล่นแล้วสิ่งแรกที่ผมได้สัมผัสก็คือ ความพิธีพิถันในการสร้างเกมของค่ายหมาซน (Naughty Dogs) ที่ใส่ใจรายละเอียดทุกอย่าง ไม่ว่าจะเป็นเนื้อเรื่อง เสื้อผ้าหน้าผมของตัวละคร สังคมในเกม ไปจนถึงการต่อสู้
ปกติผมไม่ใช่คนเล่นที่เสพเนื้อเรื่อง เพียงแค่เล่นให้มันจบๆ ไป แต่กับเกมนี้ผมติดอยู่กับเนื้อเรื่องที่เข้มข้นซึ่งผสานกับการเข้าคัตซีนที่ลื่นไหลสีหน้าของตัวละครนั้นได้อารมณ์ตามสถานการณ์ที่เกิดขึ้นทำให้เราเข้าถึงตัวละครนั้นไม่ยาก ฉากต่างๆ ในเกมสร้างสรรค์ออกมาได้อย่างดีไม่มีที่ติ และผมชอบเดินดูฉากมาก เพราะไม่ใช่แค่สวยงามเท่านั้น ยังแฝงไปด้วยความสมจริงทำให้ผมจินตการว่าถ้าเราอยู่ในยุคโลกล่มสลายอย่างในเกมนี้สภาพแวดล้อมคงไม่ต่างกันเท่าไหร่ เรามาดูบทวิจารณ์ที่ผมได้รับประสบการณ์จากการเล่นเกมนี้ว่าเป็นอย่างไรกันบ้างนะครับ
เกมเพลย์
มาถึงเกมเพล อย่างที่ออกตัวครับผมเล่นภาคแรกไม่จบ จึงไม่ได้ซึมซับเกมเพลย์จากภาคแรกมาเท่าไหร่ แต่มาภาค 2 สามารถปรับแต่งความยากง่ายของเกม ความยากง่ายของศัตรูให้เข้ากับความสามารถของผู้เล่นได้เป็นอย่างดี รวมทั้งมีระบบช่วยให้ความสะดวกแก่ผู้เล่นหลากหลายอย่างและที่ผมชอบที่สุดคือ "เก็บของอัตโนมัติ" และ "ระบบแสกนหาสิ่งของและศัตรู" ถึงจะไม่เทพเหมือนกับของโจเอลในภาค 1 แต่ก็ช่วยอำนวยความสะดวกในการเล่นได้เป็นอย่างดี และยังมีระบบหลบหลีกที่สมจริงต้องกะจังหวะกดให้ถูกจึงสามารถหลบการโจมตีของศัตรูได้
ส่วนการอัพเกรดสกิล และอาวุธนั้น ก็นำมาจากภาคแรก แต่เพิ่มความสมจริงของอนิเมชั่นให้ดูเท่ห์ขึ้น ผมชอบท่าทางจับอาวุธเวลานำไปอัพเกรดบนโต๊ะคราฟดูทะมัดทะแมงดี อนิเมชั่นในการประกอบการอัพเกรดก็ดูดี ขนาดผมมีเศษเหล็กอัพเกรดไม่พอยังชอบเข้าโต๊ะคราฟเล่นดูการหยิบจับปืนของตัวเอก
และทีเด็ดอีกอย่างก็คือการเล่นกีตาร์ ผมเล่นไม่เป็นหรอกครับ ได้แต่ดูคลิปที่คนอื่นเขาเล่นกัน สำหรับผมสิ่งนี้นับว่าเป็นตัวฆ่าบรรยากาศกดดันในเกมได้เป็นอย่างดีเลยครับ (ถ้าเล่นกีตาร์เป็นนะ)
เนื้อเรื่อง
มาถึงส่วนสุดท้ายที่ผมจะพูดถึงคือเนื้อเรื่อง ผมไม่ค่อยผูกพันกับตัวละครในภาคแรกเท่าที่ควร ได้รับรู้เพียงแค่ความเห็นของคนที่เล่นภาคแรกจบแล้วไม่ชอบการดำเนินเนื้อเรื่องในภาคนี้ สำหรับผมเนื้อเรื่องในภาคนี้ดำเนินไปได้อย่างเข้มข้นน่าติดตาม ถึงแม้ผู้กำกับเกมจะทำให้โจเอลตายเร็วไปหน่อย การเล่าเรื่องของเกมนี้ช่วงแรกเราจะได้เล่นเป็นเอลลี่ในช่วงปัจจุบันสลับกับตอนเด็ก ซึ่งทางผู้กำกับเกมใช้การขยายความให้ผู้เล่นที่เล่นภาคแรกไม่จบ หรืออาจจะไม่เคยเล่นเกมนี้เลยได้ทำความเข้าใจกับเหตุการณ์ในช่วงหลังเหตุการณ์ในภาคแรก 4 ปี ว่ามีเรื่องราวอะไรเกิดขึ้นกับทั้งโจเอลและเอลลี่บ้าง ผมสัมผัสได้ถึงความรักความห่วงใยที่โจเอลมีให้เอลลี่อย่างท้วมท้นราวกับพ่อลูก
ถึงแม้ช่วงกลางเกมเราจะได้ลับไปเล่นเป็นแอ๊บบี้ตอนแรกผมรู้สึกขัดๆ กับการที่ต้องมาเล่นเป็นตัวละครที่ฆ่าโจเอลในตอนต้นเกม แต่พอเล่นไปได้สักระยะผมจึงได้แง่คิดการการเล่นเป็นอีกตัวละครหนึ่งว่า "ความแค้นไม่ได้ช่วยให้อะไรดีขึ้น", "คนที่ก้าวข้ามความรู้สึกเคียดแค้นและสิ้นหวังได้ คนผู้นั้นคือผู้ชนะตัวจริง" ใช่ครับ หลังจากเล่นไปเป็นแอ๊บบี้เรื่อยๆ ผมก็พบว่าเธอก็สูญเสียไม่ต่างจากเอลลี่เผลอๆ มากกว่าด้วยซ้ำแต่คนที่ดำดิ่งไปกับความแค้นไม่รู้จบคือเอลลี่นั้นเอง สุดท้ายเอลลี่ก็สูญเสียสิ่งสุดท้ายที่เธอมีไปกับการล้างแค้นคือ "คนที่เธอรัก"
บทสรุป
และที่กล่าวมาทั้งหมดนี้ เป็นประสบการณ์ที่ผมได้จากการเล่น The Last of Us Part 2 ซึ่งเป็นอีกหนึ่งเกมที่ผมเล่นจนจบ และกำลังเล่นรอบสองต่อ (ถ้าไม่มีเกมน่าสนใจ สะเทือนเงินในกระเป๋าออกมาระหว่างนี้) สำหรับผมทุกอย่างลงตัวในแบบของมันแล้วครับ จึงขอให้คะแนนดังนี้
เกมเพลย์ - 9/10 (ความลื่นไหลในการเล่น และความสนุก)
เนื้อเรื่อง - 9.5/10 (ตัดนิดหน่อยเพราะผู้กำกับเกมให้บทโจเอลน้อยไปหน่อย)
เป็นอย่างไรกันบ้างครับ กับรีวิวเกม The Last of Us Part II นับว่าเป็นเกมที่ดีที่สุดที่ผมเคยเล่นมาเลยทีเดียว เพื่อนๆ คิดเห็นอย่างไรสามารถคอมเม้นบอกกันได้นะครับ ขอบคุณทุกท่านครับผม
โฆษณา