1 ส.ค. 2020 เวลา 00:54 • ภาพยนตร์ & ซีรีส์
Who Watches The Watchmen ?
นี่คือคำ Slogan ของภาพยนตร์ที่ดัดแปลงมาจาก Graphic Novel ของ Alan Moore คำสั้นๆ แค่ไม่กี่คำแต่แฝงไปด้วยเครื่องหมายคำถามว่ามันมีความหมายว่าอะไรกันฟะ ? Who Watches The Watchmen (ใครจะเป็นคนตรวจสอบกลุ่ม Watchmen?) และด้วย ณ ช่วงเวลาปี 2008 นั้นภาพยนตร์ Super Heroes ของ DC Comics ที่อยู่ในการดูแลของค่ายหนัง Warner Bros. กำลังอยู่ในจุดสูงสุดเท่าที่เคยมีมาหลังจากที่ The Dark Knight ของ Chirstopher Nolan ได้เข้าฉายก็ได้สร้างปรากฏการณ์ใหม่ของวงการหนัง Hero ที่นำเสนอด้านมืดของหนังฮีโร่จนฉีกกฏเดิมๆไปจนหมดสิ้น กลายเป็นจุดกำเนิดของหนังแนว Dark Hero ที่ได้วางทิศทางให้กับทั้งภาพยนตร์ของ DC Comics จนมาถึงทุกวันนี้
ถัดมาอีกเพียง 1 ปีหวยก็มาตกอยู่ที่หนังเรื่อง Watchmen ที่ต้องแบกรับภาระอันหนักอึ้งจากความคาดหวังของแฟน DC เพราะการที่ The Dark Knight นั้นประสบความสำเร็จอย่างล้นหลามนั้นจึงทำให้เป็นสิ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้เลยหากผู้ชมจะนำสองเรื่องนี้มาเปรียบเทียบกัน และผู้ที่ Warner Bros. เลือกบุคคลที่จะมากำกับภาพยนตร์เรื่องนี้ได้แก่ ผกก. วัย 40 ปี ผู้ซึ่งผ่านการทำหนังให้กับสตูดิโอใหญ่มาเพียงแค่สองเรื่องเท่านั้น แต่ในภาพยนตร์ผลงานล่าสุด ปี 2006 ก็ได้แจ้งเกิดเต็มตัวจากการที่หนังประสบความสำเร็จทั้งรายได้และคำวิจารณ์ที่ดี โดยหนังทำรายได้ทั่วโลกไปกว่า $460ล้านดอลล่าห์ และก็เป็นหนังที่ดัดแปลงมาจาก Graphic Novel เหมือนกันอีกต่างหากนั้นก็คือเรื่อง "300" และ Watchmen ถือว่าเป็นการกำกับภาพยนตร์ให้กับเครือ DC Comics เป็นครั้งแรกของตัวเองอีกด้วย และจากผลงานเรื่องนี้ก็ได้ส่งให้เค้ากลายเป็นผู้กำหนดทิศทางภาพยนตร์ของ DC Comics จนมาถึงทุกในปัจจุบัน และเค้าคนนั้นมีชื่อว่า
-Zack Snyder-
ภาพยนตร์เรื่องนี้คือเรื่องราวของเหล่า Super Hero ที่ได้รวมกลุ่มกันขึ้นและตั้งชื่อว่า Watchmen เพื่อมาปกป้องประชนคนในสหรัฐอเมริกา โดยตัวภาพยนตร์จะแบ่งเล่าเป็นสองช่วงเวลาหลักๆ คือยุคหลังสงครามโลกครั้งที่สอง และยุคช่วงระหว่างสงครามเย็น ทำให้เหล่าฮีโร่ในเรื่องจะเล่าแบ่งเป็นคนในสองยุคสมัยคือจะมีกลุ่ม Minutemen คือฮีโร่ยุคบุกเบิกที่มีแต่ผู้คนสรรเสริญ กับกลุ่ม Watchmen คือฮีโร่ยุคปัจจุบันที่อยู่ในช่วงรอยต่อความร้าวฉานกับประชาชน โดยที่เนื้อเรื่องของหนังจะเริ่มต้นในปี 1985 ซึ่งเป็นช่วงหลังจบสงครามเวียดนามมา 10 ปี และผลคืออเมริกาเป็นฝ่ายชนะ (ซึ่งเรื่องจริงนั้นแพ้) และผลการเลือกตั้งประธานาธิบดีในปีนั้น Richard Nixon ก็ชนะการเลือกตั้งเป็นสมัยที่ 3 (ซึ่งเรื่องจริงก็ไม่ใช่เหมือนกัน) ทำเหตุการณ์ในเรื่อง Watchmen นั้นเป็นเพียงเรื่องสมมุติ เป็นเหมือนโลกคู่ขนานคนละจักรวาลแตกต่างกับสิ่งที่เราเรียนรู้เคยศึกษากันมาอย่างสิ้นเชิง
แต่จุดเริ่มเหตุการณ์สำคัญของเรื่องนี้คือเมื่อประชาชนเริ่มเคลือบแคลงใจกับพวกเหล่าฮีโร่ Watchmen ที่อาศัยช่องว่างของกฏหมายทำตามอำเภอใจเป็นศาลเตี้ยได้อย่างอิสระมากเกินไป ซึ่งรัฐบาลที่นำโดยประธานาธิบดี Nixon สมัยที่ 3 ก็ได้ร่างกฏหมายเอาใจประชาชนที่กำลังลุกฮือประท้วงต่อต้านกลุ่มฮีโร่ ด้วยการบังคับใช้ พ.ร.บ. ให้เหล่าฮีโร่ทุกคนต้องเปิดเผยตัวตนจริงกับสาธารณะชน และห้ามมิให้ฮีโร่สวมใส่หน้ากากปิดบังใบหน้าได้อีกต่อไป เรียกว่าหมดสิทธิพิเศษที่เคยมีมาทั้งสิ้น อีกทั้งเป็นการยืนหยัดกับสังคมว่าจะไม่มีใครถืออำนาจเหนือคนอื่นทั่วไปได้ ประดั่งคำว่าต่อให้ใหญ่ล้นฟ้าหรือมีอำนาจสักแค่ไหน ก็จะต้องถูกประชาชนตรวจสอบได้ทั้งหมด (Who Watch The Watchmen?)
Minutemen และ Watchmen
ซึ่งเหตุการณ์ในภาพยนตร์นั้นจะพาผู้ชมดำดิ่งไปสัมผัสด้านมืดในจิตใจของเหล่าฮีโร่อย่างที่ไม่เคยมีภาพยนตร์เรื่องไหนเคยทำมาก่อน หนังสนุกตรงที่ให้คนดูได้เหมือนร่วมชะตากรรมกับกลุ่ม Watchmen ตลอดทั้งเรื่องว่าจะดำเนินชีวิตไปอย่างไร เมื่อถึงวันที่พวกเขาต้องเปิดเผยตัวตนที่แท้จริงต่อสาธารณะ เมื่อวันที่ประชาชนไม่เข้าข้างอีกต่อไปแล้ว และเมื่อไม่มีกฏหมายมาสนับสนุนพวกเค้าจะเดินบนถนนอย่างปลอดภัยแบบคนทั่วไปได้รึเปล่า ? และนี่ล่ะครับคือเรื่องราวคร่าวๆ ของภาพยนตร์เรื่องนี้ที่ถ่ายทอดความดราม่าเข้มข้นสุดรันทดของเหล่าผู้พิทักษ์ในวันที่ไม่มีคนรักพวกเค้าอีกต่อไป เรียกว่าฉีกกฏหนังฮีโร่ไปซะยิ่งกว่า The Dark Knight อีกซะด้วย
ซึ่งการที่ผมได้หยิบหนังเรื่องนี้ออกมาเล่าให้เพื่อนๆฟังนั้นเพราะส่วนตัวแล้วผมชอบเรื่อง Watchmen มากๆ เลยอยากหยิบเรื่องนี้มาเปิดดูอีกรอบ ด้วยเพราะหนังกล้าที่จะทำลายความโลกสวยของหนังฮีโร่ในยุคนั้นจนหมดสิ้น ทำให้ผมย้อนกลับมาคิดว่าถ้าเกิดโลกเรามันมีฮีโร่ขึ้นมาจริงๆ ชะตากรรมที่เกิดขึ้นคงออกมาอีหรอปเดียวกันแบบนี้แหล่ะ และก็ไม่แปลกใจเลยว่าเรื่องนี้เกิดคำวิจารณ์เสียงแตกเป็นอย่างมากคือมีคนทั้งชอบหรือไม่ก็เกลียดมากไปเลย (แต่ส่วนมากจะเกลียด) ด้วยตัวหนังใส่เรื่องการเมืองช่วงสงครามเย็นไว้ค่อนข้างเยอะมากกว่าจะเป็นแนวบู๊ล้างผลาญ แถมยังยัดเรื่องเครียดๆ อีกสารพัดจนหัวคนดูแทบจะระเบิด ก็ไม่แปลกใจที่สัดส่วนคนที่เกลียดจะเยอะกว่า แต่ส่วนตัวผมเองนั้นกลับสวนกระแสชอบเรื่องนี้ และก็ไม่พลาดที่จะสะสมแผ่นหนังเรื่องนี้ตั้งแต่ DVD Limited Edition และ Bluray Collector's Edition จนมาถึง Format ล่าสุดคือ 4K Ultra HD ซึ่งวันนี้ผมจะมารีวิวคร่าวๆ กับแผ่น 4K ซึ่งให้ฟังกันนะครับ
DVD / Bluray / 4K
แพ็คเก็จ DVD Limited Edition
แผ่น 4K Ultra HD นั้นมาพร้อมกับตัวหนังฉบับ The Ultimate Cut ซึ่งเป็นฉบับที่มีความสมบูรณ์ที่สุด มีความยาว 3 ชั่วโมง 35 นาที ซึ่งมากกว่าฉบับฉายโรงปกติอยู่ 53 นาที (ฉบับโรงมีความยาว 2 ชั่วโมง 42 นาที) ถ้าถามว่าฉบับนี้แตกต่างกับฉบับโรงยังไงบ้าง ต้องเรียกว่าเพิ่มความรุนแรงจากเดิมที่ได้รับเรท R อยู่แล้ว กลายเป็น Extremely Violent ขั้นโหดแบบสุดติ่งทั้งมีดสับหัวแบะ เลื่อยหั่นแขนขาด ต่อยกระดูกหักละเลงเลือดกันท่วมจอเลยทีเดียว แต่ฉบับ Ultimate Cut สุดโหดนี่ไม่ใช่ว่าเพิ่งจะออกมาครั้งแรกแต่เคยออกเป็น Bluray มาแล้วเมื่อปี 2016 ซึ่งก็มีแพ็คเก็จ Collector's Edition มาพร้อมกับหนังสือ Graphic Novel ในกล่องมาให้สวยงามเลยทีเดียวครับ แต่ในบทความนี่คงต้องขอมาพูดเฉพาะ Format ล่าสุดก็คือ 4K นะครับ โดยแผ่นนี้เป็นของประเทศ USA ประกอบไปด้วย 3 Disc มี 4K Ultimate Cut+ Bluray ฉบับ Director's Cut+ Special Feature ซึ่งทุกแผ่นจะไม่มีซับภาษาไทย
ภาพ: สไตล์การถ่ายทำซึ่งเป็น Signature ของ Zack Snyder คือมักจะถ่ายหนังที่เน้นเกรนหยาบเม็ดทั้งจออยู่เป็นปกติมาตั้งแต่เรื่อง 300 แล้ว ทำให้ภาพเรื่องนี้จะค่อนข้างดูมืดหม่นหมองมาตั้งแต่ตอนออก Bluray แล้วซึ่งการออกใหม่อีกครั้งใน Format 4K ก็เป็นเพียงแค่การ Upscaled จากภาพเดิม ไม่ได้ทำการแสกนฟิล์มจากต้นฉบับเป็น 4K Native ขึ้นใหม่ ทำให้ภาพของแผ่นนี้แทบจะไม่ได้แตกต่างกับฉบับ Bluray มาก ถึงจะมี HDR เข้ามาช่วยเรื่องระบบภาพให้ดูสว่างขึ้นก็ยังไม่เห็นความแตกต่างกับจากแผ่น Bluray สักเท่าไร สิ่งเดียวที่สะดุดตามผมมากที่สุดคือแสงสีฟ้ารอบตัว Dr.Manhattan ที่สีจะสดเข้มข้นจรัสแสงอยู่เพียงอย่างเดียว ที่เหลือนั้นเรียกว่าไม่ได้รู้สึกว่าการดู 4K นั้นยกระดับจาก Bluray มากขึ้นแต่อย่างใด
Collector's Edition ของ Bluray
ตัวกล่องเป็นปก Lenticular
เสียง : แผ่น 4K เรื่องนี้ก็ยังคงใช้ระบบเสียงเดิมของ Ultimate Cut ฉบับ Bluray ซึ่งก็คือ Doby TrueHD 5.1 ซึ่งถือว่าทำดีมากๆอยู่แล้ว รายละเอียดเสียงบรรยากาศโอบล้อมอาจจะยังเทียบกับ Dolby Atmos ไม่ได้ แต่มิติเสียงรายละเอียดและ Dynamic คือมาละเอียดมากๆ ในส่วน Impact ของเสียง Bass นั่นแน่นมากๆ โดยเฉพาะฉากต่อสู้คือเบสสะเทือน Subwoofer มากๆ ถึงแม้ระบบเสียงเดิมจะไม่ได้แย่อะไร แต่ Warner Bros. ก็ขี้ตืดไปนืดที่ไม่ลุงทุนเปลี่ยนแปลง Upgrade ระบบเสียงใหม่ให้กับเรื่องนี่สักหน่อยเลย
Bluray Collector' Edition มีทั้งหมด 4 แผ่น
4K :The Ultimate Cut
Special Feature : เรื่องนี่มี Bonus Disc แยกมาให้อีกแผ่นแต่ก็ยังคงเป็นหัวข้อเดิมทั้งหมดที่เคยออกมาแล้วในสมัย Bluray และมีความยาวเกือบ 2 ชัวโมงเรียกว่าเต็มอิ่มกับงานเบื้องหลังการสร้างกันเลย แต่สิ่งผมอยากให้ให้เพื่อนๆได้ลองกดเข้าไปดู Feature นี้มากๆ เพราะปัจจุบันแทบจะไม่ได้เห็นมีในแผ่นของค่าย WB ทำออกมาแล้วนั้นก็คือ "Maximum Movie Mode" ซึ่งหัวข้อนี้จะอยู่ในแผ่นหนัง Director's Cut โดยจะเป็น Feature ดูหนังอีกรอบพร้อมแทรกบรรยายแบบ Picture in Picture โดย ผกก. Zack Snyder เองจะคอยโผล่มาเล่ากลางจอ มาเล่าที่มาที่ไปของการถ่ายทำฉากนี้ฉากนั้น แล้วถ่ายด้วยวิธีไหน พร้อมทั้งเล่าเกร็ดภาพยนตร์ไปตั้งแต่ต้นจนจบด้วย เป็นหัวข้อที่ Service แฟนหนังแบบสุดๆ แม้แต่คนที่อยู่ในวงการบันเทิงหรือกำลังเรียนสายภาพยนตร์ดูเมนูนี้แล้วรับรองว่าได้ความรู้ แนวคิดเอาไปต่อยอดได้เพียบแน่ๆ โดยจะกดเลือกดูหนังไปทั้งเรื่องพร้อมการบรรยายของผู้กำกับ หรือจะกดดู Focus Point เฉพาะฉากเบื้องหลังเพรียวๆแบบไม่มีเสียง Zack ด้วยก็ได้ แต่อีกหนึ่งอย่างที่ผมชอบมากใน Mode นี้คือมีการขึ้น Fact and Fiction เทียบฉากในปีนั้นๆ ว่าเรื่องสมมุติในหนังกับเรื่องจริงมีอะไรที่แตกต่างกันบ้าง คือเรียกว่าได้ความรู้ด้านประวัติศาสตร์ไปในตัวเลยล่ะครับ
หัวข้อเมนู Maximum Movie Mode
มีการเปรียบเทียบเรื่องที่สมมุติในหนังกับเรื่องจริง
เกร็ดภาพยนตร์
ภาพยนตร์ Watchmen มีทั้งหมด 3 ฉบับได้แก่
-ฉบับโรง 2 ชั่วโมง 42 นาที
-ฉบับ Director's Cut 3 ชั่วโมง 6 นาที
-ฉบับ Ultimate Cut 3 ชั่วโมง 35 นาที
โดยที่ฉบับ Director's Cut กับ Ultimate Cut ตัวหนังแทบจะเป็นฉบับเดียวกัน เพียงแต่ Ultimate Cut นั้น ได้เพิ่ม Animation เรื่อง Tales from the black freigther ความยาว 29 นาทีลงไป ซึ่ง Animation เรื่องนี้คือหนังสือการ์ตูนเล่มเดียวกับที่มีเด็กผู้ชายนั่งอ่านอยู่ที่ร้านขายหนังสือพิมพ์โดยตัว Animation จะเป็นช่วงตอนสั้นๆ ค่อยๆแทรกเล่ากับตัวหนังไปตลอดจนจบเรื่องอย่างลงตัวมากๆ
ธงชาติสหรัฐอเมริกาในหนังทุกฉากหากลองสังเกตุดีๆ จะมีดาวบนธงทั้งหมด 51 ดวง เป็นเพราะมีการรวมประเทศเวียดนามเป็นอีก 1 รัฐเข้าไปด้วย เนื่องจากในหนังอเมริกาคือผู้ชนะในสงครามเวียดนามแบบสบายๆเลยยังไงล่ะ
หากเพื่อนๆยังจำได้ในช่วงที่ Watchmen เข้าฉายโรงภาพยนตร์ในประเทศไทย ถือเป็นยุคแรกๆ ของการเริ่มจัดเรทผู้ชมในโรงภาพยนตร์ แต่จนแล้วจนรอดก็ยังมีการเบลอปิกาจู้สีฟ้าของ Dr.Manhattan กับฉากอีโต้สับหัวเลือดสาดอยู่ดี และยังจะลามมาเซ็นเซอร์ต่อที่แผ่น DVD เฉพาะที่จำหน่ายในประเทศไทยเท่านั้นอีกด้วย (แต่หน้าอกของ Malin Akerman นี่เห็นกันเต็มๆเลยนะ 😏)
Nite Owl II กับ Silk Spectre II
Ozymandias กับ The Comedian
ที่ USA ตัวอย่างหนัง Watchmen ในถูกปล่อยออกมาครั้งแรกในโรงภาพยนตร์ในทุกรอบก่อนฉายหนังเรื่อง The Dark Knight ในปี 2008 และผู้คนก็เริ่มหันมาสนใจอยากอ่านการ์ตูนเรื่องนี้จนเกินความคาดหมาย ถึงกับทำให้หนังสือการ์ตูนเรื่องนี้ขาดตลาดไปหลายเดือนทั่วประเทศเลยทีเดียว
จากของฮีโร่กลุ่ม Watchmen ทั้งหมดนั้นมีเพียงแค่ Dr.Manhanttan กับ Rorschach สองคนที่ไม่เคยสบถคำหยาบออกมาเลยแม้แต่ครั้งเดียว
เหล่าฮีโร่ในเรื่องนี้ทุกคนฉากหลังล้วนก็เป็นเพียงมนุษย์เดินดินธรรมดาอยู่ในสังคมทั่วไปเท่านั้น มีเพียงแค่ Dr.Manhattan คนเดียวที่เป็นผู้มีพลังวิเศษ
Dr.Manhattan
Rorschach
Zack Snyder เคยรับปากกับ Gerrard Butler ว่าหลังจากจบหนังเรื่อง 300 แล้วถ้ามี Project ใหม่จะชวนมาร่วมงานกันอีกครั้งทันที แต่ด้วยคิวไม่ลงตัวทำให้ไม่มีชื่อของ Gerrard ใน Watchmen แต่สุดท้ายเค้าได้กลับมาพากย์เสียงเป็นตัวเอกใน Animation เรื่อง Tales from the black friegther
ในช่วงเครดิตต้นเรื่องจะมีฉากที่ Nite Owl รุ่นที่ 1 ได้ชกหน้าโจรที่กำลังปล้นคู่เศรษฐีอยู่ที่หน้าโรงละครเวที ถ้าลองกดหยุดหนังช่วงนี้และเข้าไปดูป้ายด้านหลังใกล้ๆ จะเห็นคำว่า Gotham Opera House ยังไม่พอถ้ามองไปทางด้านซ้ายจะเห็นเศรษฐีสามีภรรยา ซึ่งดูจากการแต่งตัวคู่นี้แล้วคุ้นๆแฮะ ต้องใช่แน่ๆ สองคนนี้ก็คือ Thomas และ Martha Wayne พ่อแม่ของ Bruce Wayne นั้นเอง และทั้งคู่ก็ไม่ตายอีกด้วย ทำให้ในโลกของ Watchmen นั้นก็จะไม่มี Batman แล้วสิ (อันนี้ฮา 😂) แถมถ้ามองสังเกตุทางขวาเหมือนจะเห็นโปสเตอร์ Comic แบทแมนกับโรบินซะด้วย
Nite Owl รุ่น 1 ต่อสู้กับโจรที่หน้าโรงละคร Gotham ทำให้ Thomas กับ Martha Wayne รอดชีวิต
ในฉบับ Ultimmate Cut หากใครตาไวจะมองเห็น ผกก Zack Snyder อยู่บนเฮลิคอปเตอร์ในฉากสงครามเวียดนามเฟรมเดียว The Comedian เลยนะ
Patrick Willson ต้องเพิ่มน้ำหนักตัวเองถึง 12 กิโลกรัมเพื่อมารับบท Nite Owl II
Carla Gugino กับ Malin Akerman ในหนังนั้นรับบทเป็นแม่ลูกกัน แต่จริงๆแล้ว Carla อายุมากกว่า Malin แค่ 7 ปีเท่านั้น
Malin Akerman / Carla Gugino
ก่อนที่ Zack Snyder จะได้มากำกับเรื่องนี้ ตอนแรก WB วางตัวผกก. ไว้คือ Tim Burton และ Johny Depp จะมารับบท The Comedian แต่สุดท้ายทั้งสองคนติดคิวถ่ายเรื่อง Sweeney Todd : The Demon Barber of Fleet Street (2007) กับ Alice in Wonderland (2010) ทั้งคู่จึงได้ปฎิเสธไป
อีกฉากที่อยู่ในช่วงต้นเครดิตคือฉากในงานเลี้ยงอำลาเกษียณของ Sally หรือ Silk Spectre รุ่นที่ 1 ซึ่งจะเห็นว่าทุกคนบนโต๊ะอาหารนั้นมี Position กำลังทำท่าทางเดียวกับในภาพวาด The Last Supper ของ Leonardo DaVinci แม้แต่ฉาก Background ยังเหมือนกันเปี๊ยบ หรือเพราะหนังกำลังจะบอกใบ้อะไรอยู่รึเปล่า ?
ฉาก The Last Supper
Watchmen คือภาพยนตร์เรื่องแรกของ DC Comics ที่เป็น Rate R และมีฉากเปลือย
หากใครเคยทั้งอ่าน Graphic Novel และดูภาพยนตร์จะรู้ว่าแม้บทสรุปของหนังกับในการ์ตูนจะมาบรรจบในทิศทางเดียวกัน แต่แนวทางการดำเนินเรื่องนั้นแตกต่างกันคนละม้วนเลย ทำให้มีแฟนๆบางส่วนไม่ค่อยพอใจเท่าไร อย่างไรก็ตาม WB ได้ไถ่โทษแฟนๆ ด้วยการใส่ Keyword บางอย่างให้เป็นแบบเดียวกับฉบับการ์ตูนลงในมินิซีรี่ย์ Watchmen ทาง HBO ในปี 2019 เป็นที่เรียบร้อย
Watchmen ฉบับมินิซีรี่ย์
ขอบคุณข้อมูลจาก imdb
โฆษณา