ศิลปะศึกษาที่โรงเรียรช่างศิลป์
วิชาศิลปะที่โรงเรียนช่างศิลป์2516
เรียนศิลปะที่โรงเรียนช่างศิลป์ต้องเรียนรู้ครบทั้ง3หมวดหลัก คือ เพ้นท์(Painting) ปั้น(Sculpture) วาดเส้น (Drawing) ผู้อยู่เบื้องหลังความสำเร็จในการผลิตบุคลากรออกไปจากสถาบันนี้ เป็นครูบาอาจารย์ทางด้านศิลปะ....ศิลปินระดับชาติ..นักโฆษณาประชาสัมพันธ์ในวงการโฆษณา..ดารานักแสดง..นักดนตรี...ผู้กำกับหนัง..ผู้สร้างฉาก..สร้างละคร..นักเขียนนักแต่งเพลง..ช่างปั้นช่างหล่อ..และอีกหลายๆอาชีพที่ไม่คิดว่าจะมีคนช่างศิลป์เข้าไปเกี่ยวข้องก็ยังสอดแทรกเข้าไปได้ทุกที่ทุกมุมโลก อาจารย์ใหญ่คนที่หนึ่งคืออาจารย์ สวัสดิ์ ตันติสุข ส่วนอีกคนคืออาจารย์ใหญ่คนที่2ของนักเรียนช่างศิลป์ เหมือนนักเรียนแพทย์มีร่างอาจารย์ใหญ่ได้ศึกษาหาความรู้....
ฟืด..หรือไอ้ฟืด...เป็นส่วนหนึ่งของโรงเรียนช่างศิลป์ โดยเฉพาะวิชาศิลปะทั้ง3หมวดที่กล่าวมาข้างต้นนั้นจะดำเนินต่อไปไม่ได้เลยหากขาดฟืด....ฟืดเป็นชายไทยผมหยักศกผิวเข้ม รูปร่างกำยำแต่ไม่ถึงกับล่ำบึก แววตามีเมตตากับทุกคนโดยเฉพาะ เวลาชี้แนะติชมผลงานของพวกเรา ฟืดมีครอบครัวที่อบอุ่นอาศัยอยู่ห้องใต้บันไดหน้าห้องน้ำของโรงเรียน ไม่เคยห่างเมียไปไหนไกล เมียฟืดเป็นผู้หญิงใส่ใจในรายละเอียดของสามีมาก เป็นนักวิเคราะห์ วิจัย คริติคสามีได้ทะลุปุโปร่ง เสียงดังฟังชัดด้วยภาษาไทยแท้ๆ..
งานประจำของฟืดคือ การหมักดิน..นวดดิน..เตรียมดิน ให้พร้อมใช้ในการเรียนวิชาปั้นของนักเรียนทั้ง3ชั้นปีๆละ3ห้อง ดินเหนียวที่ดีนั้นต้องผ่านกระบวนการแช่น้ำ หมักบ่ม นวดด้วยมือหลายขั้นตอนมาก(งานแฮนเมด) กว่าจะพร้อมใช้งานได้ นับว่าเป็นงานที่หนักมากสำหรับคนๆเดียว ส่วนงานไซต์ไลน์ของฟืดคือ เป็นนายแบบ ที่มีงานไม่ขาด เพราะความเท่ ความแมน ความอดทนและอีกหลายอย่างที่เหมาะสมมีอยู่ในตัวฟืด ทำให้มีเงินเดินสะพัดผ่านมือสม่ำเสมอ
มีอยู่ครั้งหนึ่งในวิชาเพ้นท์(ทั้ง3วิชาหลักจะเรียนกัน2วัน) ฟืดเป็นนายแบบให้นักเรียนวาด รูปเหมือน(Portrait) วันแรกผ่านไปครึ่งทาง เป็นการขึ้นรูปคร่าวๆ เป็นโครงสร้างน้ำหนักแสงเงา สีโดยรวมของแบบ ฟืดนั่งนิ่งรู้งานเอาใจพวกมือใหม่หัดวาดอย่างพวกเราดี ระหว่างพักอาจารย์ฟืดก็เดินตรวจงานให้คำติชม ด้วยว่าผ่านตาและได้ฟังอาจารย์ประจำวิชาแต่ละคน วิจารย์งาน(Critic)ในชั้นเรียนมานับชั่วโมงมาไม่ถ้วน เหมือนฟืดเป็นอาจารย์ผู้ช่วยได้อย่างดี หลังเลิกงานตอนเย็น ฟืดรับค่าตัวนายแบบเงินตุงเป๋า นั่งเป็นแบบมาทั้งวันมันต้องแก้ปวดเมื่อยด้วยน้ำแก้ปวดเมื่อย คอพับคออ่อนไม่ได้สติ เมียต้องลากเข้าห้องใต้บันได เพื่อพักผ่อนหลับนอนเอาแรงไว้เป็นแบบในวันรุ่งขึ้น
เช้าหลังเคารพธงชาติเสร็จ ได้ยินเสียงเมียฟืดตะโกนด่าฟืดดังลั่นไปไกลทั่วทั้งลานพระพิคเณศ-โรงอาหาร คำไทยแท้พรั่งพูออกมาไม่ขาดตอนสลับกับ หมัด เข่า ศอก ครบแม่ไม้มวยไทย จนอาจารย์ประนอม(ดำ)ผู้ซึ่งเป็นที่เกรงขามของพวกเราออกมาห้ามศึก ระฆังดังหมดยกที่5 ฝ่ายแดงบุกทำคะแนนฝ่ายเดียว ฟืดแพ้อย่างหมดรูป เดินคอตกไปนั่งเป็นแบบวาด (Portrait)ต่อเป็นวันที่2 ไม่เหลือเค้า*ชายไทยผมหยักศกผิวเข้ม รูปร่างกำยำแววตามีเมตตา* พวกเราเพ่งมองภาพชายตรงหน้า ตาแดงก่ำ ปาก-แก้มบวมปูดบิดเบี้ยวผิดรูป ทรงผมถูกตัดแต่งใหม่ล้ำสมัยชี้โด่เด่พุ่งออกทุกทิศทุกทาง สั้นบ้างยาวบ้าง ตามอารมณ์ของผู้เป็นเมีย มือก็แกว่งกรรไกร..ปากก็จารนัยไม่หยุดหย่อน (เกิดเป็นหญิงแท้จริงแสนลำบาก) ส่วนฟืดนอนนิ่งสลบไสลลืมตื่น จนฟ้าสางก็ยังไม่สร่างเมา จึงได้เกิดเหตุการณ์ Standup comedy นักเรียนทุกคนวาดงานชิ้นเดิมต่อจากเมื่อวานบางคนใจเย็นเพราะวาดเสร็จไปมากแล้ว เหลือเก็บอีกนิดหน่อย เดินหิ้วถุงโอเลี้ยงร้านเจ๊แป๊ดจากโรงอาหารดูดสบายใจ พอเข้ามาห้องเพ้นท์ ตะลึงกับภาพนายแบบคนเดิม แต่ด้วยลุคใหม่ไม่เหมือนใคร จะวาดต่อก็ไปไม่เป็น ครั้นจะเริ่มวาดแผ่นใหม่ก็คงเสร็จไม่ทันส่งอาจารย์..จากนี้ไปต้องใช้ จินตนาการล้วนๆ.....แววตาของฟืดที่มองมาคงอยากจะบอกออกมาว่า..*วาดเหมือนอย่างเดียวไม่พอ... คุณค่าของงานศิลปะนั้น ศิลปินควรนำธรรมชาติมาเป็นต้นแบบเพื่อเติมเต็มจินตนาการให้ปรากฎออกมาผ่านธาตุทางทัศนย์ศิลป์ * ขอบคุณอาจารย์ฟืด อาจารย์ใหญ่ของนักเรียนช่างศิลป์ ในยุคกระโปรงบาน-ขาสั้น.
(บันทึกไว้ในความทรงจำ โดย: สิริพุฒ พูลลาภ ช่างศิลป์รุ่น21)