3 ส.ค. 2020 เวลา 00:39 • นิยาย เรื่องสั้น
นิยาย บอสสตอรี่ ตอนที่ 6
กองทัพเจ้าหน้าที่ตำรวจและนักข่าวจากไปแล้ว พร้อมกับการควบคุมตัวสลับ และบอส บุตรชายหัวแก้วหัวแหวนนำสู่สถานีตำรวจเพื่อการสอบสวนเพิ่มเติมและลงประวัติตามระเบียบการ
เจ้าสัวฉลอง ยังคงเหม่อลอยมองโลโก้สินค้าของตระกูล ซึ่งติดอยู่ตรงผนังห้องโดยไม่ขยับเขยื้อนตัว นิ่งเนิ่นนาน
“คาวีอนงค์” ผู้เป็นภรรยาคู่ชีวิต ถลาเข้ามาด้วยความโศกเศร้ากลัดกลุ้ม สะอื้นเสียงดัง
“เฮียต้องช่วยอาตี๋ของเรานะ อย่าให้ต้องติดคุกติดตะรางเลยนะเฮีย ทำอย่างไรก็ได้ ฮือ ๆ ทรัพย์สมบัติเรามีมากมาย เฮียต้องจัดการเรื่องนี้ให้ได้นะเฮีย”
เจ้าสัวยังคงไม่เปลี่ยนอิริยาบถ จนเธอเขย่าตัวรุนแรง เขาจึงออกจากภวังค์ เอ่ยบอกภรรยา
“คอนเซ็ปท์ในสินค้าของเตี่ย คือ เป็นเครื่องดื่มให้พลังงาน ต่อมาในรุ่นสองอย่างเฮียจึงเปลี่ยนเป็น เป้าหมายมีไว้พุ่งชน ไอ้ตี๋ลูกเราได้พุ่งชนล่วงหน้าไปก่อนแล้ว เฮียต้องไม่อายลูกในเรื่องนี้”
ภรรยาใจชื้น ยิ้มทั้งน้ำตา ถามดีใจ
“เฮียจะไม่เกี่ยงใช่มั้ย ไม่ว่าจะต้องใช้เส้นสาย และเงินทอง มากเท่าไหร่ก็ตาม”
“เฮียให้นโยบาย เอ่อ ทางเลือกในการต่อสู้คดีแก่คุณทนายไปแล้ว นั่นคือ ไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้น ห้ามคดีของอาตี๋ถึงศาล ลูกของเราจะต้องไม่ถูกจับใส่กุญแจมือเด็ดขาด อีกอย่างพอถึงชั้นนั้น เงินของเราคงทำอะไรไม่ได้แล้ว เราจะไม่เสี่ยงโดยปล่อยให้ลูกตกอยู่ในสถานการณ์ที่ไม่สามารถยื่นมือช่วยเหลือใด ๆ ได้”
“เฮียคิดว่าจะใช้เงินสักเท่าไหร่?”
แม้จะเป็นห่วงอิสรภาพของบุตรชาย แต่พอเริ่มคิดถึงเรื่องเงินทอง เธอจึงแสดงความรอบคอบประเมินการ ตามประสาภรรยา
“จะกี่ล้าน กี่ร้อยล้าน กี่พันล้าน จะสนใจไปทำไม ในเมื่อตั้งใจจะพุ่งชนเป้าหมายให้ได้แล้ว ก็ต้องเดินหน้าให้เต็มที่”
“เราจ่ายแค่ตำรวจ คงไม่เท่าไหร่นักหรอก ที่ผ่านมาใครต่อใครเขาพูดว่าถ้าจะเป่าคดีก็ให้เสร็จสิ้นเสียแต่ชั้นพนักงานสอบสวน โชคดีที่สารวัตรเศรษฐอาสา เป็นคนของเรา เขาคงช่วยอะไรได้มาก”
สามี ถอนหายใจยาวอีกครั้ง
“เฮียก็หวังเช่นนั้น เกรงแต่ว่านี่เป็นคดีดังและคนตายเป็นตำรวจ ระดับสวป. อาจรับมือไม่อยู่ เธอเห็นผู้บัญชาการให้สัมภาษณ์นักข่าวขึงขังแล้วนี่ เธอคิดเหรอว่า ตำรวจยศพันตำรวจโทจะโน้มน้าวระดับพลตำรวจโทได้?”
“คงต้องใช้เงินมากขึ้นใช่มั้ย?”
“มากมายมหาศาลและกับหลากหลายผู้คน ซึ่งคงจะมีเสือหิวจำนวนมากแปลงร่างเป็นอีแร้งรุมทึ้งเรากันอย่างเต็มที่ เฮียได้แต่ภาวนาว่าจะจบได้ในชั้นตำรวจจริง ๆ”
“สูงกว่าตำรวจคืออัยการใช่มั้ย?”
“ใช่ ระดับชั้นที่สูงขึ้น คือค่าใช้จ่ายที่สูงขึ้น ก็เหมือนกับตำรวจคือที่นั่งชั้นอีโคโนมิค อัยการคือชั้นบิสิเนส ในราคาตั๋วเครื่องบินนั่นแหละ”
“เฮียคิดว่าจะถึงอัยการมั้ย?”
“ไม่รู้หรอก แต่ถ้าเวลาของคดีลากออกไปยาวนาน ก็เหมือนกับเรานั่งเครื่องบินทางไกลนั่นแหละ นั่งชั้นประหยัดเมื่อยหลังตายกันพอดี”
“ถ้าคดียืดเยื้อ ยาวนาน และต้องใช้เงินทองมหาศาล เฮียอย่าถอดใจนะ”
ภรรยาร้องขออีกครั้ง
“เธอแต่งงานกับเฮียมาหลายปี น่าจะรู้ว่าเฮียยอมหักไม่ยอมงอ คำไหนคำนั้น เสมอมา เอาเป็นว่า เพื่อไม่ให้อาตี๋ต้องขึ้นศาลแล้ว จะจ่ายให้ใครในจำนวนเท่าไหร่ เฮียไม่สน ต่อให้อัยการทั้งกรม สภาทั้งสภา เฮียก็ไม่กลัว พูดก็พูด ต่อให้ต้องล้มรัฐบาลเพื่อให้บรรลุเป้าหมายเอาไว้พุ่งชนของเรา เฮียก็ยอม”
ภรรยาวัยกลางคน ตกตะลึงกับท่าทีอันมุ่งมั่นแข็งกร้าวราวกับกระทิงที่กำลังพุ่งเข้าชนคู่ต่อสู้แบบไม่คิดชีวิตของชายผู้เป็นสามีเนิ่นนาน ก่อนที่เขาจะพูดต่อเสียงเครียด
1
“ตอนเฮียทักษิณตั้งรัฐบาล ใช้เงินแค่หลักพันล้านต้น ๆ เราไม่ต้องการขนาดนั้น จะลองดูสิว่า ล้มรัฐบาลจะใช้เงินสักเท่าไหร่?”
เจ้าสัวเหม่อมองโลโก้นิ่งนานอีกครั้ง คาวีอนงค์ รู้ดีว่าการสนทนานี้จบลงแล้ว เธอจึงจากมาเงียบ ๆ เพื่อกดโทรศัพท์หาทนายความประจำตระกูล
พวกเขาทั้งสอง ประเมินแค่วิธีการต่อสู้คดีเพื่ออิสรภาพของบุตรชายตนเอง โดยหลงลืมถึงผลกระทบที่จะเกิดขึ้นตามมาในอนาคต ทั้งต่อความเชื่อมั่นของประชาคมโลกที่มีต่อประเทศไทย การล่มสลายของกระบวนการยุติธรรม ชีวิตของเหยื่อผู้บริสุทธิ์ กระทั่งชื่อเสียงของสินค้าของเขาเอง ในสังคมไทย สังคมโลก เขาหลงลืมแม้แต่ว่าครอบครัวเขา ตระกูลเขาจะถูกตราหน้าบันทึกความเกลียดชัง ไปอีกนานแสนนาน
1
เขาตื่นจากภวังค์อีกครั้ง ความเครียดที่ตกผลึก ทำให้คิดอะไรบางอย่างออกมา
“เอ๊ะ หรือเราจะเปลี่ยนคอนเซ็ปท์สินค้าเป็น ดื่มแล้วปลอดภัย คุกไทย ขังได้แต่หมากับคนจน”
โปรดติดตามตอนต่อไป
กวีเหลวไหล
๓ สค. ๖๓
ปล. นี่คือนิยายนะครับ ไม่ใช่เรื่องจริงแต่อย่างใด
ปล. กว่า ช่วยกันกดติดตามเพจในบล็อกดิท เพื่อเป็นกำลังใจให้ผู้เขียนด้วยนะจ๊ะ!
โฆษณา