4 ส.ค. 2020 เวลา 00:00 • กีฬา
[ #เพราะผมเป็นคนผิวดำ ]
ตั้งแต่เกิดเคส จอร์จ ฟลอยด์ ชายผิวสีสหรัฐฯเสียชีวิตจากการกระทำที่รุนแรงเกินกว่าเหตุของเจ้าหน้าที่ตำรวจผิวขวา เมื่อต้นเดือนมิถุยายนที่ผ่านมา
การรณรงค์ต้านการเหยียดผิวก็เริ่มหนักหน่วงมากขึ้นเรื่อยๆ กระทั่งลามมาสู่โลกฟุตบอล นักเตะผิวสีมากมายลุกขึ้นมาต่อสู้ หวังจะไม่เกิดเหตุการณ์ดังกล่าวซ้ำรอยอีก
ก่อนเกมพรีเมียร์ลีกเราจึงได้เห็นแคมเปญ Black Lives Matter เพื่อยืนยันความเท่าเทียมกันของคนทุกผิวสี มีอยู่ช่วงที่นำเอาวลีนี้ไปติดที่หลังเสื้อแทนชื่อด้วย
นอกจากนี้ก่อนเขี่ยบอลเริ่มโม่แข้ง นักเตะทุกคนจะคุกเข่าแล้วชูมือขวาขึ้นมาเป็นเชิงสัญลักษณ์ เหมือนที่ โคลิน เคเปอร์นิก ควอเตอร์แบ็กของซานฟรานศิสโก โฟร์ตี้ไนน์เนอร์เคยแสดงไว้เพื่อเป็นการบอกให้รู้ความเท่าเทียมกันของมนุษย์
สีผิวคือสิ่งสมมุติ ไม่ใช่เป็นเส้นแบ่งแยกความดีความชั่ว แต่ก็ยังยากสำหรับผู้คนอีกไม่น้อยที่จะทำความเข้าใจ
แคมเปญและการรณรงค์รูปแบบต่างๆ ผุดขึ้นมาเป็นดอกเห็ดก็จริง ทว่าเรายังเห็นการเหยียดผิวเกิดขึ้นอยู่บ่อยๆ เช่นเดียวกับการปฏิบัติของเจ้าหน้าที่ มีความแตกต่างระหว่างคนผิวขาวกับผิวดำอย่างชัดเจน
ต่อให้คุณเป็นคนมีชื่อเสียงหรือเป็นนักกีฬาชื่อดัง บางครั้งก็ไม่ได้รับการยกเว้น
แดนนี่ โรส เพิ่งออกมาเปิดใจในรายการ The Player's Chair ริทชี่ แซดลิเยร์ ทาง podcast เกี่ยวกับเหตุการณ์ที่จำได้ไม่มีวันลืม
 
เมื่อสัปดาห์ที่แล้วเขากลับไปดอนคาสเตอร์บ้านเกิด ซึ่งแม่อาศัยอยู่ที่นั่น ระหว่างที่ขับ Range Rover คู่ใจราคา 100,000 ปอนด์อยู่ดีๆ มีเจ้าหน้าที่ตำรวจเรียกให้จอด
จากนั้นยื่นหน้ามาขอดูไอดีหรือบัตรประชาชน ก่อนจะถามดื้อๆว่า "รถคันนี้ขโมยมาหรือเปล่า?"
แบ็กซ้ายที่ถูกสเปอร์สปล่อยยืมให้นิวคาสเซิ่ล ยูไนเต็ดในช่วงมกราคมที่ผ่านมา ยังไม่ทันตอบอะไร คำถามก็ตามมาอีกเป็นพรวน
"คุณได้รถคันนี้มาจากไหน? คุณมาทำอะไรที่นี่? คุณแสดงหลักฐานได้หรือเปล่าว่าซื้อรถคันนี้มาจริง?"
เขาต้องงัดหลักฐานต่างๆออกมายืนยัน ก่อนจะรู้ภายหลังว่าเป็นนักเตะอาชีพ ดีกรีทีมชาติอังกฤษ อีกทั้งมีรายได้ราว 60,000 ปอนด์ต่อสัปดาห์ การจะซื่อรถคันละแสนไม่ใช่เรื่องเหลือบ่ากว่าแรง
โรส เล่าต่ออีกว่าตั้งแต่อายุ 18 เริ่มขับรถก็เจอแบบนี้ จนแทบจะกลายเป็นความเคยชินไปแล้ว ไม่ได้รู้สึกประหลาดเลย แค่สะเทือนใจมากกว่า
ยังมีอีกเหตุการณ์ที่ผ่านมาไม่นาน ระหว่างโดยสารบนรถไฟ เขาจองเฟิร์สท์คลาสหรือชั้นหนึ่งไว้ เดินไปนั่งพร้อมกอดกระเป๋าไว้หลวมๆ ไม่น่าวางไว้บนชั้น
ไม่นานเจ้าหน้าผู้หญิงที่เดินมาตรวจตั๋ว แล้วมองหน้า ก่อนยิงคำถามว่ารู้หรือเปล่านี่มันเฟิร์สท์คลาสนะ โรส เลยตอบไปว่ารู้สิ แล้วมันอะไรผิดพลาดหรือ
จากนั้นเลยขออนุญาตตรวจตั๋วเลย เพราะไม่มั่นใจว่าจะลงทุนซื้อชั้นหนึ่งในราคาแพงๆ พอเห็นตั๋วที่ถูกต้องทุกอย่าง ก็เฉยๆไม่ได้พูอะไรเลยสักคำ
จังหวะเดียวกันนั้นมีชายผิวขาวสองคนเดินมาตู้ชั้นหนึ่ง เจ้าหน้าที่คนนี้ไม่ได้ขอตรวจตั๋วด้วยซ้ำ โรส จึงถามไปว่าทำไมต้องสองมาตรฐานล่ะ ต้องตรวจทุกคนแบบแฟร์ๆสิ
ปรากฏว่าได้รับคำตอบคือ "ก็ฉันไม่ต้องการจะตรวจไงล่ะ"
เรื่องทำนองนี้ที่ โรส เคยประสบมายังไม่หมด ครั้งหนึ่งกลับบ้านมาหาแม่ จอดรถในที่จอดตามปกติ ดับเครื่องเรียบร้อยพร้อมจะลง
ไม่ทันไรตำรวจสามคนผลุนผลันเข้ามา ราวกับว่าเขาเป็นผู้ร้าย อ้างว่าได้รับรายงานเกี่ยวกับรถคันนี้ว่าผิดกฏหมาย
โรส ต้องแจกแจงว่ารถคันนี้เป็นของตน ได้มาอย่างถูกต้องทุกอย่าง แล้วจะให้ทำอย่างไรอีกหรือ
ทำไมเขาจะต้องมาอธิบายหรือยืนยันเรื่องทำนองนี้ หากไม่ใช่เพราะว่าเป็นคนผิวดำที่พวกคนขาวมองว่า ต้องมีความผิดติดตัวมาแน่ๆ
ขับรถคันงามราคาแพง ก็ถูกตั้งข้อสงสัยเลยว่าไปขโมยมา
นั่งรถไฟชั้นหนึ่งก็โดนเรียกหาตั๋ว เพราะโดนดูแคลนว่าไม่มีเงินซื้อแน่ๆหรือไม่ก็ต้องตั้งใจโกงแอบมาใช้บริการ
โรส เชื่ออยู่เสมอว่า ถ้าเขาเป็นคนขาวคงไม่เจอเหตุการณ์อย่างนี้แน่
ขนาด ริโอ เฟอร์ดินานด์ ซึ่งเป็นลูกผสม ไม่ใช่สีผิวดำเข้มเหมือนกับ โรส ยังเจอเรื่องทำนองนี้อยู่บ่อยๆ ตั้งแต่เด็ก
แค่เข้าไปดูบอลในฐานะกองเชียร์ครั้งแรก ก็ต้องเจ็บปวดแล้ว เมื่อได้ยินเสียงด่าทอใส่แข้งผิวสีอย่างหยาบคาย จนรู้สึกว่าตัวเองโดนด้วย เพราะยังไงก็เป็นผิวสีเช่นเดียวกัน
การรณรงค์หรือแคมเปญต่อต้านต่างๆ เกิดขึ้นมาตั้งแต่ยุคของเขาแล้ว อย่างไรก็ตามมันดีขึ้นแค่ช่วงเดียวเท่านั้น เป็นไปตามกระแส พอเริ่มซาวงจรอุบาทว์ก็กลับมาอีก วนเวียนไปอย่างนี้เรื่อยๆ
เมื่อเดือนที่แล้ว เครสซิด้า ดิค นายตำรวจใหญ่ระดับผู้บังคับการ ต้องออกมาแถลงขอโทษ เบียนก้า วิลเลี่ยมส์ นักกรีฑาสาววิ่งระยะสั้นที่รับใช้เกรตบริเทน สร้างชื่อเสียงให้บ้านเกิดอย่างต่อเนื่อง
เหตุการณ์เกิดขึ้นเมื่อเธอและ ริคาร์โด้ ดอส ซานโตส สามีซึ่งเป็นลมกรดชาวโปรตุกีส ถูกเจ้าหน้าที่เรียกตรวจระหว่างขับรถเมอร์ซีเดส ไม่ใช่แค่ขอดูบัตรประชาชน ใบขับขี่หรือหลักฐานต่างๆตามปกติเท่านั้น
แต่ยังค้นรถอย่างละเอียดยิบ ทั้งที่ทั้งคู่มีลูกแบเบาะวัย 3 เดือนร่วมเดินทางมาด้วย พยายามอธิบายแล้ว เจ้าหน้าที่ตำรวจไม่ฟังเสียงทัดทานทั้งสิ้น ถือเป็นการกระทำไม่เหมาะสมอย่างมาก
บอกไปแล้วว่าเป็นนักกรีฑาของยูเค ก็ยังมีท่าทีไม่เชื่อ ถือเป็นเรื่องที่น่าผิดหวังมากๆ
หนักยิ่งกว่านั้นคือ ริคาร์โด้ สามีพยายามโวยวายกลับถูกเจ้าหน้าที่จับใส่กุญแจมือแบบไม่มีเหตุผลอีก
ลองนึกภาพพ่อที่ไม่มีความผิด โดนถูกจับใส่กุญแจนมือต่อหน้าลูกวัย 3 เดือน ความรู้สึกมันจะย่ำแย่มากแค่ไหน
สุดท้ายเมื่อมีเรื่องราวและคลิปแพร่ออกไป จนกลายเป็นไวรัลได้รับความสนใจจากผู้คนมากมาย เจ้าหน้าที่ตำรวจโดนถล่มอย่างหนัก เจอสังคมกดดันมากเข้าสุดท้ายต้องออกมาแถลงขอโทษ
ถามหน่อยว่าถ้าไม่ได้กดดันจากโซเชี่ยล อาจเป็นไปได้ว่าจะปล่อยให้เรื่องเงียบหายไปเอง
เบียนก้า เชื่อว่าเป็นเพราะเธอเป็นคนผิวดำที่ขับเมอร์ซิเดส เลยถูกจับตรวจและทำเกินกว่าเหตุ ไม่มีอะไรมากไปกว่านั้นเลยจริงๆ
นี่คือเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในระหว่างที่แคมเปญต่อต้านการเหยียดผิวกำลังถูกโหมกระหน่ำอย่างหนัก
คำถามที่น่าสนใจคือ การรณรงค์ต่อต้านเหยียดผิวด้วยแคมเปญต่างๆมากมายนั้น ได้ผลจริงหรือ?
มันทำให้คนที่เห็นมีอารมณ์ร่วม รู้สึกได้ถึงพลังก็จริง แต่เมื่อกระแสเริ่มคลายตัวลง จะเข้าสู่สภาวะเดิมอีก
การเปลี่ยนความเชื่อ เปลี่ยนพื้นฐานความรู้สึก เป็นเรื่องที่ยากมากๆ หากคุณเกลียดคนผิวดำ ยังไงก็ต้องเกลียดอยู่อย่างนั้น ยากที่จะลบออกได้
หากไม่ใช่เพราะกฏหมายที่ระบุไว้ว่าการเหยียดผิวมีความผิด จะต้องมีเหตุการณ์น่าเศร้าสะเทือนใจเกิดขึ้นมากกว่านี้แน่
กฏหมายทำให้คนเกิดความกลัว แต่ไม่ได้รู้สึกสำนึกเกี่ยวกับความเท่ากันของมนุษย์
ตราบเท่าที่สีดำยังคงเป็นสัญลักษณ์ของความชั่วร้าย ความตาย เป็นตัวแทนของสิ่งไม่ดีทั้งหลาย ไปงานศพก็ต้องใส่ชุดดำ
ในขณะที่สีขาวเสมือนความบริสุทธิ์ เวลาไปร่วมพิธีวิวาห์เราจะใส่เสื้อผ้าสีขาว มีความสุขก็ต้องนึกถึงขาว ไม่มีใครอุตริไปใช้ดำ
การเหยียดผิวไม่มีทางหมดไปเด็ดขาด ไม่เว้นแม้แต่ในเกมฟุตบอล ต่อให้มีแคมเปญออกมาอีกเป็นร้อยก็ตาม
บทความย้อนหลังที่น่าสนใจ
[ ใครแคร์...ผมไม่แคร์ ] : การย้ายมาเชลซีของ ติโม แวร์เนอร์ อยู่ในเคสเซอร์ไพรส์ไม่น้อย เขาควรตกล่องปล่องชิ้นกับลิเวอร์พูลที่เป็นข่าวมาอย่างหนักมากกว่าบางที แวร์เนอร์ อาจไม่ได้จริงจังจะไปหงส์แดงสักเท่าไรนักและเมื่อเจอข้อเสนออันงดงามของสิงห์น้ำเงินก็ไม่ได้คิดอะไรมากไปกว่าต้องกระโดดเข้าใส่บางคนบอกว่าเขาเป็นคนตัดสินใจเร็ว แต่ในทางกลับกันหลายเคสมันฟ้องว่าเขาไม่เคยแคร์ใครเลยต่างหากอ่านต่อที่นี้ครับ
[ #การเดินทางของคนธรรมดา ] : แม้จะมีโปรไฟล์หรูหราติดตัวมาในปี 2015 แต่ เจอร์เก้น คล็อปป์ ซึ่งเข้ารับตำแหน่งผู้จัดการทีมลิเวอร์พูล กลับไม่ได้ใส่ใจตรงนี้เขายืนยันในความเป็น "The normal one" หรือคนธรรมดา ไม่ได้มีอะไรพิเศษเลยสักนิด ซึ่งนั่นยิ่งขับให้ดูสง่างามขึ้นอีกจะยิ่งใหญ่หรือพิเศษขนาดไหน ไม่ได้อยู่ที่คำพูด แต่วัดกันจากผลงานมากกว่า
[ #คนสูงวัยหัวใจเด็กหนุ่ม ] : เคล็ดลับความสำเร็จของ เซอร์ อเล็กซ์ เฟอร์กูสัน มีอยู่มากมายหลายข้อด้วยกัน หนึ่งในนั้นคือการเปลี่ยนตัวเองเพื่อก้าวหนีและไม่ให้คนอื่นมาแซงหน้าได้ทุกครั้งที่ต้องเผชิญหน้ากับคู่ต่อสู้ ซึ่งมาพร้อมกับกลยุทธ์ใหม่ๆ เฟอร์กี้ พร้อมจะรับมือด้วยเสมอ แม้บางครั้งจะต้องเป็นฝ่ายแพ้ก็ตามการทำงานหนักและศึกษาอยู่ตลอดเวลา ทำให้แมนฯยูไนเต็ดในยุคนั้น ประสบความสำเร็จอย่างต่อเนื่อง
[ #อาถรรพ์สีน้ำเงิน ] : ไม่น่าเชื่อว่ากว่า 25 ปีแล้วที่เอฟเวอร์ตันไม่เคยได้แชมป์เลยสักรายการ มันยาวนานมากจนแทบไม่คาดคิดว่านี่คือสโมสรที่ยิ่งใหญ่ในยุคกลางทศวรรษ 80 การมาของ คาร์โล อันเชล็อตติ เมื่อปลายปีก่อนจึงเต็มไปด้วยความคาดหวังว่าจะช่วยฉุดให้ขึ้นมาดีกว่าเดิม เดินในเมืองได้ไม่ต้องอายเดอะ ค็อปทั้งหลายแต่เวลาของ อันเช่ มีไม่มากและซีซั่นหน้าจะเป็นช่วงเวลาสำคัญที่สุด
.
ทุกท่านสามารถติดตามอ่านบทความย้อนหลังได้ที่ ..
.
และเพิ่มเพื่อนไลน์แอด "เพื่อเด้งเตือน" ให้คุณได้อ่านก่อนใคร กดที่ลิงค์นี้ครับ
ขอบคุณครับ
โฆษณา