4 ส.ค. 2020 เวลา 15:45 • สุขภาพ
COVID-19 : เมื่อยารักษา COVID-19 ถูกพัฒนาจนเสร็จสิ้นแล้ว ประเทศที่มีความร่ำรวยคือกลุ่มแรกที่จะได้รับยาก่อนประเทศอื่น ๆ
ปัจจุบันประเทศที่มีความมั่งคั่งทางการเงินสูงได้สั่งจองวัคซีนรักษา COVID-19 ไปแล้วกว่า 1 พันล้านโดส ซึ่งเป็นการเพิ่มความกังวลอย่างมากเกี่ยวกับประเทสที่เหลือในโลกซึ่งอาจต้องรอไปอีก 1 ปีเพื่อให้ประเทศที่ร่ำรวยได้รับยาจนครบสมบูรณ์ก่อน
ความเคลื่อนไหวโดยสหรัฐฯ และอังกฤษได้ทำการสั่งจองและกีดกั้นการจัดหายารักษาโรคของบริษัท Sanofi และ GlaxoSmithKline Plc รวมถึงอีก 1 สายงานคือบริษัทของญี่ปุ่นและ Pfizer Inc. ขณะที่ความเคลื่อนไหวของประเทศร่ำรวยอื่น ๆ ในสหภาพยุโรปก็มีความก้าวร้าวมากขึ้นเพื่อให้ตนเองได้รับวัคซีนตามที่ต้องการ แม้ว่าปัจจุบันจะยังไม่มีใครรู้แน่นอนว่าตัวยาที่พวกเขาสั่งจองจะใช้ได้ผลมากน้อยเพียงใด
แม้ว่าหน่วยงานระหว่างประเทศจะให้คำมั่นว่าพวกเขาจะสร้างวัคซีนในราคาที่ไม่แพงและสามารถเข้าถึงได้ในทุก ๆ โดสของการผลิต แต่ปริมาณประชากรโลกที่มีอญู่ 7.8 พันล้านคนทำให้พวกเขาต้องดิ้นรนอย่างหนักเพื่อต่อสู้กั้บ Demand ที่มีอยู่อย่างมหาศาล
1
ความกังวลที่ว่าประเทศร่ำรวยจะกักตุนยาไว้ใช้เองแต่เพียงผู้เดียว มาจากประสบการณ์ของพวกเขาเมื่อครั้งที่มีการระบาดใหญ่ของไข้หวัดหมูในช่วงปี 2009
ณ ขณะนี้สหรัฐฯ อังกฤษ สหภาพยุโรป และ ญี่ปุ่นได้สั่งจอง/กักตุนยารักษา COVID-19 ไว้กว่า 1.3 พันล้านโดส ตามรายงานของ Airfinity บริษัทชั้นนำด้านการวิเคราะห์ข้อมูลสัญชาติอังกฤษ
นอกจากนี้ยังมีสัญญาในการขอซื้อเพิ่มเติมอีกรวมกันถึง 200 ล้านโดส ซึ่งเป็นสัญญาจองโดยสหรัฐฯ ถึง 100 ล้านโดส ทำให้รวมกันพวกเขาได้สั่งจองยาไว้ทั้งหมดประมาณ 1.5 พันล้านโดส
อย่างไรก็ตาม เมื่อดูข้อมูลคาดการณ์ของจำนวนโดสยาที่จะสามารถผลิตออกมาได้ พบว่ากว่าจะผลิตถึง 1 พันล้านโดสอาจต้องใช้เวลาถึงช่วงไตรมาสแรกของปี 2022 เลยทีเดียว
Rasmus Bech Hansen ผู้บริหารของ Airfinity กล่าวว่า
"แม้ว่าคุณจะพยายามคาดการณ์โดยมองโลกในแง่ดี แต่มันก็ยังไม่เพียงพอสำหรับการผลิตวัคซีนให้ได้ตามความต้องการที่มีอยู่ทั้งหมดบนโลกนี้ภายในระยะเวลาอันสั้น และสิ่งที่สำคัญไม่แพ้กันก็คือการฉีดวัคซีนเพื่อป้องกัน COVID-19 อาจต้องการวัคซีนถึง 2 โดสต่อ 1 คน"
ผู้นำด้านการพัฒนาวัคซีนอย่างเช่น University of Oxford, AstraZeneca Plc, Pfizer และ BioNTech SE ต่างก็ทำงานร่วมกัน และกำลังอยู่ในขั้นตอนสุดท้ายของการทดลองศึกษา นอกจากนี้ยังเป็นเชื้อเพลิงแห่งความหวังในการต่อสู้กับ COVID-19 และคาดว่าวัคซีนจะเสร็จสมบูรณ์ในเร็ว ๆ นี้
อย่างไรก็ตาม ผู้พัฒนาวัคซีนจะต้องเผชิญกับอุปสรรคอีก 2 ข้อดังต่อไปนี้
1. พวกเขาต้องแน่ใจว่าวัคซีนของพวกเขาจะสามารถใช้งานได้อย่างมีประสิทธิภาพจริง ๆ ก่อนที่จะได้รับการอนุมัติจากรัฐบาลให้สามารถใช้งานในมนุษย์ และเพิ่มกำลังการผลิตขึ้นไป
2. จากการคำนวณของ Airfinity กล่าวว่าพวกเขาจะไม่สามารถผลิตวัคซีนได้เกิน 1 พันล้านดอลลาร์จนกว่าจะถึงไตรมาสแรกของปี 2022 ซึ่งหากเป็นเช่นนั้นจริง คาดว่าประเทศอื่น ๆ ที่ไม่มีความมั่งคั่ง และไม่มี Herd Immudity เกิดขึ้นจะต้องเผชิญกับการระบาดของไวรัสไปอีก 2 ปีเป็นอย่างน้อย
ดังนั้นการลงทุนในการขยายกำลังการผลิตไปทั่วโลกจึงเป็นตำคอบที่ค่อนข้างดีและสมเหตุสมผลอย่างมาก ณ เวลานี้ โดย Sanofi และ GlaxoSmithKline ตั้งใจว่าพวกเขาจะสามารถผลิตยาออกมาแจกจ่ายให้เพียงพอต่อความต้องการของทั่วโลกได้ภายในปี 2021 หรืออย่างช้าที่สุดก็คือปี 2022
ขณะเดียวกัน องค์การอนามัยโลก กำลังร่วมมือกันเพื่อเตรียมความพร้อมสำหรับนวัตกรรมต่าง ๆ ที่จะพัฒนาออกมาเพื่อต่อสู้กับโรคระบาด โดยพวกเขาได้วางแผนงบประมาณ 1.8 หมื่นล้านดอลลาร์ในเดือนมิถุนายนที่ผ่านมาเพื่อเตรียมผลิตวัคซีนให้ได้ 2 พันล้านดอลลาร์ภายในสิ้นปี 2021
ประเทศต่าง ๆ จะต้องนัดเจรจาด้วยข้อตกลงที่แตกต่างกับผู้ผลิตวัคซีน เพื่อเพิ่มโอกาสในการได้รับยาของพวกเขา ซึ่งสิ่งนี้จะนำไปสู่การเสนอราคาเพื่อแย่งชิงเวชภัณฑ์
การกดไลค์ กดแชร์ กดติดตาม และการติชมในเชิงสร้างสรรค์ของคุณ เป็นกำลังใจให้เราและเหล่าอาชีพนักเขียนทุกคนในการพัฒนาผลงานให้ดียิ่งขึ้นต่อไป ขอเชิญทุกท่านร่วมสร้างสังคมการเรียนรู้ที่ดีด้วยกันกับเรา
World Maker
สามารถติดตาม World Maker ผ่านทาง Facebook ได้แล้ววันนี้ที่
อยากลงทุน อยากมีเงินเก็บอย่างจริงจัง แต่ไม่มีพื้นฐาน World Maker มีคอร์สเรียนดี ๆ มาแนะนำให้ครับ รายละเอียดคลิกเลย !!
โฆษณา