5 ส.ค. 2020 เวลา 12:21 • หนังสือ
วันนี้ “เราเองเราไง” จะมาแชร์หนังสือที่อ่านแล้วรู้สึกว่าได้ถูกเยียวยาจิตใจผ่านตัวอักษรที่ถูกถ่ายทอดออกมาได้อย่างน่าจดจำ
นั่นก็คือ “อยู่ที่ว่าเราจะมองมันแบบไหน”
ภาพปกหนังสือ เขียนโดย อีกีจู
หนังสือเล่มนี้เป็นหนังสือที่แปลมาจากหนังสืออันโด่งดังการันตียอดขาย 1,000,000 เล่ม ในเกาหลี ซึ่งแน่นอนว่าการอ่านหนังสือแปลเราต้องยอมรับอย่างหนึ่งว่าเราอาจจะไม่ได้รับถึงอรรถรสเทียบเท่ากับภาษาต้นฉบับ แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าจุดประสงค์ของเรื่องนั้นจะเปลี่ยนหากผู้แปลมีประสบการณ์และความสามารถมากพอ ก็ไม่ใช่เรื่องยากที่จะทำให้ภาษาการแปลออกมางดงามไม่แพ้การอ่านต้นฉบับ เพราะบางคนอาจมีข้อจำกัดทางภาษาจึงไม่สามารถอ่านเวอร์ชั่นต้นฉบับได้
......จริง ๆ ก็ตามชื่อเรื่องเลยว่าโลกใบนี้ “อยู่ที่ว่าเราจะมองมันแบบไหน” .........
หลังจากที่อ่านก็ได้แง่คิดในอีกมุมนึงที่ว่า บางอย่างมันขึ้นอยู่ที่เราจะมองจริง ๆ เรื่องบางเรื่องเรากลับมองมันต่างออกไปจากคนอื่น นั่นไม่ได้ความว่าเราประหลาดแต่นั่นก็เพราะองศาที่เรามองมันสื่อได้อย่างนั้นจริง ๆ หากเราเขยิบออกห่างหรือใกล้อีกนิด มุมที่ได้ก็อาจจะเปลี่ยน
-เคยสงสัยแบบเราไหมว่าทำไมโลกมันช่างโหดร้ายกับเราเหลือเกิน?
ทำไมเราต้องประสบแต่เรื่องแย่ ๆ เรื่องที่ทำให้เสียใจ ในขณะที่หลายคนกลับประสบความสำเร็จ ซึ่งเราลืมฉุกคิดอะไรไปหรือเปล่า? ว่าเขาคนนั้นอาจจะพยายามเฉกเช่นเดียวกับเรา เพียงแค่เราไม่ได้เห็นเส้นทางก่อนหน้าที่เขาต้องฟันฝ่ามา แต่เรากลับตัดสินไปแล้วว่าเขาได้มันมาโดยง่าย
สิ่งที่สะท้อนออกมาผ่านตัวหนังสือก็คือต้องการจะสื่อว่า “เหรียญนั้นมีสองด้านเสมอ” มีโลกที่สดใสก็ต้องมีโลกที่โหดร้าย เราคงปฏิเสธไม่ได้ว่า การประสบความสำเร็จโดยง่ายนั้นอาจมีสูตรสำเร็จที่เราก็น่าทราบกันดีผ่านความเหลื่อมล้ำในสังคมมนุษย์ แต่นั่นไม่ใช่ประเด็นใหญ่มากนักในหนังสือเล่มนี้ เพราะผู้เขียนมุ่งไปที่กระบวนการคิดของเรามากกว่าว่าเราจะตีความเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นกับเราออกมาในรูปแบบไหน
~แม้จะไม่ใช่บรรยากาศเมืองร้อนที่คุ้นเคยและดูเหมือนว่าอากาศในภาพนี้จะดูเย็นๆอยู่แต่กลับทำให้หัวใจอบอุ่นอย่างบอกไม่ถูก~
ขออนุญาตยกตัวอย่างคำนำของผู้เขียนสัก2-3ประโยคที่ทัชใจเราซะเหลือเกิน
-ภาษามีอุณหภูมิเป็นของตัวเอง แต่ละถ้อยคำมีความอบอุ่นและความเยือกเย็นต่างกัน
-คำพูดแค่เพียงประโยคหรือสองประโยค หากทำให้ใครคนหนึ่งปิดประตูหัวใจใส่คุณได้ ก็แสดงว่าอุณหภูมิของข้อความนั้นเยือกเย็นจนน่ากลัว
-สิ่งที่ประณีตส่วนใหญ่มักเปราะบาง
เรารู้สึกว่าหนังสือเล่มนี้ถูกแปลออกมาได้อย่างงดงามทีเดียว เท่าทีเราเคยหนังสือมาภาษาถือว่ามีความสละสลวยและสามารถสะกดคนอ่านให้เปิดหน้าต่อไปได้เรื่อยๆ เรียกได้คะแนนด้านวรรณศิลป์เอาไปเต็ม 10 สำหรับความเรียงธรรมดาที่ใช้ภาษาสะท้อนออกมาได้อย่างดีเยี่ยม
และก็จริงที่ถ้าหากท่านอ่านหนังสือเล่มนี้แล้วไม่ได้รู้สึกเหมือนกับเรา ก็ถือว่าผู้เขียนได้บรรรลุเป้าประสงค์เช่นเดียวกัน เพราะมันอยู่ที่เราจะมองมันแบบไหนจริง ๆ เราคิดว่ามันไม่มีถูกไม่มีผิดสำหรับความคิดปลายเปิดที่แล้วแต่คนจะตีความ ขึ้นอยู่กับประสบการณ์ สังคม หรือภูมิความรู้เดิมมาประกอบกัน กลั่นกรองออกมา เพราะฉะนั้นขอความอนุเคราะห์ท่านผู้อ่านทุกท่านทำใจเป็นกลางในการตีความหนังสือเล่มนี้ เพราะบางครั้งสังคมก็โหดร้ายเกินไปกับคนๆนึง ทั้งบีบบังคับและเป็นบรรทัดฐานให้ต้องปฏิบัติตาม หากไม่ทำก็จะกลายเป็นแกะดำอย่างนั้นหรือ ? มาร่วมหาคำตอบไปด้วยกัน แม้ปลายทางคุณอาจจะไม่ได้คำตอบอะไรเลย มันก็ไม่ใช่ความล้มเหลวแต่อย่างใด
ขอทิ้งท้ายด้วยคำพูดทิ้งทายของคุณอีกีจู ที่ว่า “.....ผมอยากให้คุณระบายลมหายใจช้า ๆ อ่านทุกประโยคอย่างครุ่นคิดเหมือนการละเลียดกินอาหารอุ่น ๆ หวังว่าหนังสือเล่มนี้จะเป็นช่องทางหนึ่งให้อุณหภูมิของถ้อยคำกระทบถึงใจคุณ....”
และเราก็หวังเช่นนั้น🙂🙂
โฆษณา