5 ส.ค. 2020 เวลา 13:53 • ธุรกิจ
อินเดียประกาศแบนแอพ Baidu และอื่นๆอีกเพียบ !
1. ความขัดแย้งระหว่างอินเดียกับจีนที่เกิดขึ้นมาจากข้อพิพาทเหนือดินแดนเมื่อเดือนก่อนๆยังไม่จบ และกำลังมีแนวโน้มจะพัฒนาขึ้นมาเป็นปัญหาเรื้อรังมากขึ้นเรื่อยๆทุกทีแล้ว
2. หลังจากที่ทั้งตัวแทนการเจรจาฝั่งจีนและฝั่งอินเดียนั้นไม่สามารถหาข้อสรุป และข้อยุติที่ดีของปัญหาดังกล่าวได้ ทั้งจากผู้แทนทางการทหาร และผู้แทนทางการทูตที่กระทรวงการต่างประเทศได้ส่งออกไป
3. เนื่องจากทางอินเดียนั้นโกรธจีนค่อนข้างมากที่ทหารจีนได้ทำการเข่นฆ่าทหารอินเดียไปในศึกตะลุมบอนด้วยไม้เหล็กฝังตะปูจนทหารอินเดียเสียชีวิตไปกว่า 20 นาย (ส่วนทางฝั่งจีนนั้นไม่มีรายงานที่ชัดเจนว่าเสียชีวิตกี่คน)
4. ทางรัฐบาลอินเดียเลยพยายามจุดกระแสต่อต้านจีนขึ้นภายในประเทศตั้งแต่ระดับรัฐบาลลงไปยันระดับธุรกิจ และระดับชุมชน เพื่อพยายามกดดันให้รัฐบาลจีนเลิกเข้ามายุ่งกับดินแดนแถบเทือกเขาหิมาลัย
5. ตัวอย่างของการกดดันจีน และกระแสต่อต้านจีนภายในอินเดียนั้นมีตั้งแต่การเอาธงชาติจีนออกมาเผา การออกมาประกาศจะเลิกสนับสนุน เลิกซื้อขายสินค้าที่มีต้นกำเนิดมาจากโรงงานภายในประเทศจีน
6. ไปจนถึงการประกาศแบนนักท่องเที่ยวจากประเทศจีนไม่ให้เข้ามาพักในโรงแรมเครือข่าย ภายในกรุงนิวเดลี ในฐานะมาตรการการประท้วงจีนขั้นเบื้องต้น ส่วนรัฐบาลของ Narendra Modi นั้นก็ได้มีการประกาศว่าจะระดมทำการแบนแอพสัญชาติจีน
7. ในฐานะมาตรการตอบโต้เช่นเดียวกัน ซึ่งเมื่อเดือนก่อนรัฐบาลก็ได้มีการสั่งแบนแอพ Tiktok และแอพสัญชาติจีนอื่นๆอีกหลากหลายแอพ เพื่อเป็นการประท้วง และเรียกร้องให้รัฐบาลจีนเลิกใช้อำนาจบาตรใหญ่กับอินเดียเสียที
8. ล่าสุดนี้ ทางโฆษกของรัฐบาลอินเดียได้ออกมาแถลงข่าวความเคลื่อนไหวของทางอินเดียในช่วงกลางสัปดาห์นี้แล้วว่ารัฐบาลได้ทำการบล็อคแอพสัญชาติจีนเพิ่มอีกอย่างต่ำๆเกือบ 50 แอพไปเรียบร้อยแบบเงียบๆในช่วง 2-3 วันที่ผ่านมา
9. โดยแอพที่อยู่ในรายชื่อการแบนของรัฐบาลอินเดียฉบับใหม่นี้มีทั้ง Baidu, Xiaomi Browser, Meitu, Heroes War, CapCut (แอพในเครือของ ByteDance), AirBrush, Maipei, BoXxCam, NetEase, และ SlidePlus เป็นต้น
10. รัฐบาลอินเดียให้เหตุผลว่าสาเหตุที่ต้องทำการแบนแอพพวกนี้ออกจากรายการสำหรับผู้ใช้งานที่อินเดียเป็นเพราะรัฐบาลอินเดียมีความกังวลอย่างสูงในเรื่องของอำนาจอธิปไตย และประเด็นทางความมั่นคง
11. ซึ่งจีนกำลังทำตัวเป็นภัยคุกคามความปลอดภัยของข้อมูลส่วนตัวประชาชนอินเดีย เนื่องจากหลายๆแอพมีการเก็บข้อมูลผู้ใช้งานมากเป็นพิเศษ ทำให้เกิดความเสี่ยงของการส่งต่อข้อมูลกลับไปหารัฐบาลจีน
12. ทางรัฐบาลอินเดียเลยใช้ข้ออ้างนี้ในการสั่งแบนแอพสัญชาติจีน ซึ่งก็ไล่แบนไปแล้วอย่างต่ำๆก็ประมาณ 100 แอพได้ จริงๆ 100 แอพนี่ไม่ใช่เยอะนะครับ ในชีวิตประจำวันคนเรามันใช้กันไม่ถึง 50 แอพหรอก
13. แต่ที่รัฐบาลอินเดียสรรหาจะมาแบนได้ถึง 100-200 แอพนี้ คือ เขาตั้งใจทำให้มันดูยิ่งใหญ่เพื่อกดดัน นอกจากแอพชื่อดังๆอย่าง Meitu, Tiktok, WeChat อะไรพวกนี้แล้ว ในรายชื่อประมาณ 100 แอพนั้นส่วนใหญ่ก็เป็นแอพประเภทเวอร์ชั่น Lite เวอร์ชั่น Pro อะไรต่างๆนั่นแหละที่เขาไปขุดออกมาแบน
14. ซึ่งก็ไม่ได้มีผลอะไรต่อจีนมาก เพราะแอพหลายๆแอพคนอินเดียก็ไม่ใช่ฐานลูกค้าที่สำคัญอยู่แล้ว อย่าง WeChat นี้คนอินเดียเขาก็ไม่ได้ใช้กัน จะมีก็แต่ Tiktok นี้แหละที่คนอินเดียใช้กันประมาณ 200,000,000 กว่าคน
15. นอกนั้นถือว่าแบนแบบการเมืองทั้งนั้น คือ แบนเล่นๆ ไม่ได้มีสาระอะไรสำคัญ แต่ถ้าถามว่าการแบนนี้มันมาจากสาเหตุอะไร ผมมองว่าสาเหตุหลักๆ น่าจะมาจากความขัดแย้งและความตึงเครียดที่จีนมีต่ออินเดียในแถบเทือกเขากัลวานมากที่สุด
16. บางคนอาจจะตั้งแง่ออกมาจากนโยบายนี้ว่าอินเดียเป็นลูกน้องสหรัฐอเมริกา หรือ อินเดียกำลังพยายามเอาใจสหรัฐอเมริกา ตามก้นสหรัฐอเมริกา เหมือนอย่างอังกฤษและญี่ปุ่น ออสเตรเลียอะไรอย่างนี้
17. อันนี้ผมค่อนข้างไม่เห็นด้วย หลายๆครั้งที่ผ่านมาอินเดียไม่ใช่ประเทศที่คิดจะเดินตามใครง่ายๆ อินเดียมีทัศนคติทางยุทธศาสตร์เป็นของตัวเอง และมีแนวทางที่ตัวเองต้องการเดินอยู่ในใจอยู่แล้ว ทำให้อินเดียไม่ค่อยให้ความร่วมมือกับสหรัฐอเมริกาเท่าไร
18. ครั้งนี้ที่อินเดียประกาศแบนแอพ Tiktok หรือแอพสัญชาติจีนนั้นเหตุผลหลักๆน่าจะมาจากความขัดแย้งเรื่องดินแดน และประเด็นทางภูมิรัฐศาสตร์ที่จีนพยายามปิดล้อมรอบๆบ้านอินเดียมากกว่า
19. แล้วมันบังเอิญไปตรงกับแนวทางของ Donald Trump พอดี สาเหตุที่ผมไม่อยากให้ด่วนสรุปเพราะท่าทีของรัฐบาลสหรัฐอเมริกานั้นในช่วงหลังๆนี้นอกจากจะมีความหวาดระแวงจากจีนแล้ว ก็ยังมีความหวาดระแวงอินเดียด้วย
20. เพราะอินเดียเป็นเหมือนประเทศกึ่งพันธมิตร กึ่งไม่ใช่พันธมิตร ทำให้สหรัฐอเมริกาออกคำสั่งอินเดีย แบบที่ทำกับญี่ปุ่น อังกฤษ และออสเตรเลียได้ลำบาก ผมเลยไม่คิดว่าประเด็นนี้อินเดียเขาจะทำตามคำสั่งของ Donald Trump
21. ส่วนคำถามที่ว่าอินเดียจะสามารถกีดกันทางการค้า และบอยคอตประเทศจีนไปได้ถึงเมื่อไร อันนี้ผมคิดว่าคงไม่นานมาก เพราะอินเดียยังต้องพึ่งพาเศรษฐกิจจากจีนอยู่มาก
22. อินเดียนำเข้าสินค้า และของจากจีนทุกปี คิดเป็นสัดส่วนของการนำเข้านั้น ถือว่ามีมูลค่ามากกว่า 60,000,000,000 ดอลลาร์สหรัฐอีก มากกว่าที่อินเดียนำเข้าจากประเทศแถบ ASEAN อีก
23. อุตสาหกรรมการค้าปลีกของอินเดียนั้นยิ่งแล้วใหญ่ ตลาดนัด ตลาดอะไรต่างๆของอินเดียเวลาจะหาของมาขาย ก็สั่งมาจากซัพพลายเออร์ที่จีน (เดือนก่อนขนาดคนอินเดียจะทำเสื้อลายต่อต้านคนจีน ยังมีโรงงานจีนมารับงานทำเสื้อเหล่านั้นเลย)
24. ที่สำคัญคือ มีบริษัทจีน และโรงงานของนายทุนจีนเข้าไปลงทุนในประเทศอินเดียเป็นจำนวนมาก อย่างบริษัท Xiaomi, Oppo, Vivo อะไรพวกนี้ก็ไปตั้งโรงงานประกอบโทรศัพท์มือถือภายในอินเดียตั้งหลายโรงงาน
25. ดังนั้นความเป็นไปได้ที่เกมนี้จะยืดเยื้อในระยะยาวจึงค่อนข้างจำกัด เพราะยังไงๆอินเดียก็ยังต้องพึ่งพาเศรษฐกิจของจีน จากการที่จีนกลายเป็นศูนย์กลางทางเศรษฐกิจภายในภูมิภาคเอเชียไปแล้วการจะแยกตัวออกมาย่อมยาก
References
1. บทความจาก Economic Times ชื่อ "List of banned Chinese apps gets 15 new entries, most are lite, pro versions"
2. บทความจาก South China Morning Post ชื่อ "More Chinese apps removed from India’s app store, including Baidu search, amid ongoing border dispute backlash"
3. บทความจาก Nikkei Asian Review ชื่อ "Indian apps soar after ban on China's Tiktok, WeChat and Baidu"
4. บทความจาก Times of India ชื่อ "India blocks top Chinese apps Baidu, Weibo, to be taken off from app stores"
5. บทความจาก Caixin Global ชื่อ "India Asks Banned Chinese Apps 77 Questions Over Content Review and Data Security"
6. บทความจาก Washington Post ชื่อ "India's decision to check the power of Chinese tech should be followed by other democracies"
7. บทความจาก The Indian Express ชื่อ "Ideas Explained: What is the geopolitics of TikTok"
โฆษณา