12 ส.ค. 2020 เวลา 13:15 • หุ้น & เศรษฐกิจ
ลงทุนในหุ้นให้ปลอดภัยกับการกระจายความเสี่ยง (Diversification)
โดยทฤษฎี การกระจายความเสี่ยงโดยการถือหุ้นหลาย ๆ ตัว จะทำให้ความเสี่ยงของผลตอบแทนลดลง หรือ ผมตอบแทนจะขึ้นลงไม่หวือหวามาก คุณจะสามารถลดความเสี่ยงจากการที่หุ้นตัวใดตัวหนึ่งจะทำให้คุณเสียหายหนักลงไปเกือบหมด (เจ๊ง) แต่ก็เช่นเดียวกัน โอกาสที่พอร์ตการลงทุนของคุณจะมีผลตอบแทนดีมาก ๆ ก็จะลดลงไปด้วย แต่อย่างไรก็ตาม กลยุทธ์การลงทุนแบบ กระจายความเสี่ยง (Diversification) เป็นการลงทุนที่ปลอดภัย และจะทำให้เราลงทุนแบบมีความสุขด้วยครับ
วันนี้ผมจึงมาแนะนำวิธีกระจายความเสี่ยงในพอร์ทการลงทุนของเราด้วยวิธีการของผมครับ ซึ่งเพื่อน ๆ สามารถนำไปปรับใช้กันได้ให้เข้ากับสไตล์ของตนเองครับ
Cr.: pixabay
1. ลงทุนซัก 7-12 ตัว
ถ้าน้อยเกินไปอาจจะยังมีความเสี่ยงสูงอยู่ ไม่ถือว่าเป็นการกระจายความเสี่ยง บางคนเล่นทีละตัวด้วยเงินเยอะ ๆ ซื้อมาแล้วรอจังหวะ ขึ้นมาก็ขายทำกำไร ถึงจะได้กำไรมาก แต่ถ้าลงมาหล่ะ และต้องตัดขาดทุนไป คุณก็จะเสียหายมากเหมือนกัน ยกเว้นบางคราวที่ “ติดหุ้น” คือราคาหุ้นตกต่ำลงมามากเกินที่จะทำใจขายไปได้ก็เลยเก็บไว้ยาว (ติดดอย)
หรือถ้ามากตัวเกินไปคุณอาจจะไม่มีเวลาในการติดตามข่าวสารหรือการประกาศงบการเงินและผลประกอบการของบริษัท จึงอาจพลาดข้อมูลสำคัญ ๆ ไป
2. ลงทุนต่างอุตสาหกรรมกัน
เราไม่รู้หลอกหรือคาดการณ์ได้ยากว่าในอนาคตอุตสาหกรรมนี้จะรุ่งหรือล่วง หรือคาดการไม่ได้ว่าอนาคตจะมีภาวะวิกฤตอะไรเกิดขึ้น ที่จะทำให้อุตสาหกรรมนี้รุ่ง อุตสาหกรรมนี้เสมอตัว หรืออุตสาหกรรมนี้ได้รับผลกระทบอย่างหนัก
1
3. สัดส่วนการลงทุนในพอร์ต ปรับให้เข้ากับสไตล์ตัวเอง สมมุติลงทุนไป 10 ตัว
5-6 ตัวแรก ผมจะลงทุนในหุ้นที่มีความปลอดภัยสูงและมีเงินปันผลครับ อาจเป็นหุ้นที่อยู่ใน SET50 หรือเป็นที่ 1 ในอุตสาหกรรมนั้น ๆ และจะซื้อ 50-60% ของจำนวนเงินในพอร์ทครับ
*หมายเหตุ SET50 คือ หุ้นสามัญ 50 ตัวที่มีมูลค่าตามราคาตลาด (Market Capitalization) สูง การซื้อขายมีสภาพคล่องสูงอย่างสม่ำเสมอ และมีสัดส่วนผู้ถือหุ้นรายย่อยผ่านเกณฑ์ที่กำหนด หรือก็คือ 50 หุ้นที่ดีที่สุดของตลาดหุ้นไทย
2-3 ตัว จะลงทุนในหุ้นที่มีความเสี่ยงขึ้นมาหน่อย แต่ก็มีความปลอดภัยและอาจมีเงินปันผลบ้างครับ อาจเป็นหุ้นที่อยู่ใน SET100 และซื้อ 20-30% ของจำนวนเงินในพอร์ทครับ
1-2 ตัว จะลงทุนในหุ้นที่มีความเสี่ยงสูง อาจเป็นหุ้นที่อยู่ใน SET100 หรือไม่ได้อยู่ ซึ่งเป็นหุ้นที่คาดว่าในอนาคตจะมีการเจริญเติบโตสูง เช่น หุ้นที่เกี่ยวกับเทคโนโลยี และซื้อ 10-20% ของจำนวนเงินในพอร์ทครับ
สุดท้ายแล้ววิธีการดังกล่าวเพื่อน ๆ ไม่จำเป็นต้องเชื่อทั้งหมด อาจจะนำไปปรับใช้กับพอร์ทตัวเองได้ เพราะการลงทุนขึ้นอยู่กับสไตล์ของแต่ละคนครับ จะลงทุนยังไงก็ได้ครับ เพราะสุดท้ายแล้วเงินที่ลงทุนเป็นเงินของเราเอง และ(ควร)เป็นเงินเย็นครับ
อ้างอิง
บทนำโดย หนังสือ ตีแตก เขียนโดย ดร.นิเวศ เหมวชิรวรากร
จบแล้วครับ ช่วยกด 👍 ❤️ ติดตาม เพื่อเป็นกำลังใจในการเขียนบทความต่อไปด้วยนะครับ🥰
โฆษณา