12 ส.ค. 2020 เวลา 09:12 • การศึกษา
การขึ้นป้ายโชว์เด็กเก่ง ไม่ใช่ว่าอาชีพอื่นไม่สำคัญ แต่มันทำให้เด็กพยายามเก่งในแบบเดียวกัน จนลืมค้นหา "พรสวรรค์" ของตัวเอง
ช่วงเวลาประมาณ 9.22 น. ของวันนี้ มีข้อความจากอินบ็อกซ์เด้งเข้ามาหาผมจากเด็กหญิงวัย 15 ปี ชาวลาวคนหนึ่ง
เป็นข้อความยาวเหยียดโดยมีใจความว่า…
“สวัสดีค่ะ ตอนนี้รู้สืกเหมือนตัวเองก็เป็นคนเคารพตัวเองอยู่นะ แต่ไม่ชอบเวลาอยู่ในที่สาธารณะเลย โดยเฉพาะเวลาอยู่ในห้องเรียน จะรู้สืกว่าตัวเองเป็นคนเห็นแก่ตัวมากค่ะ
คือเรามีเพื่อนสนิทคนเดียว ซึ่งเธอเก่งมาก โดยเฉพาะคณิตศาสตร์ ผลงานของเธอจะได้ออกรับการติดบอร์ดประกาศตลอด
บอกตามตรงคือ เราอิจฉาเพื่อนสนิทอะ แต่ก็ไม่ใช่ว่า เราไม่เก่งอะไรเลยนะ วิชาอื่นๆ เราก็พอมีโอกาสได้ขื้นบอร์ดอยู่บ้าง
แต่เวลาที่เพื่อนได้ขึ้นบอร์ด เรารู้สืกอิจฉา รู้สืกอยากได้ดีกว่าเพื่อน จนบางทีอยากข่มเหงเพื่อนด้วย และ เราจะดีใจมาก ถ้าเพื่อนไม่ได้ขื้นบอร์ด
จะว่าเราเป็นคน Fake ก็ได้นะ คือ เราชอบวางมาดเป็นผู้ฟังที่ดี จริงๆ ก็แอบเบื่อนะ คือหล่อนเป็นคนที่ชอบพูดเรื่องตัวเองมาก ชื่งหนูก็แอบรำคาญนะ เคยพยายามบอกเธอแล้ว แต่หนูเป็นคนไม่ชอบพูดเรื่องของตนเอง เลยไม่กล้าเปิดใจเลย
เอาจริงๆ เราไม่ได้รู้สืกว่าเพื่อน Toxic ใส่เรานะ แต่เรารู้สืกว่า ตัวเรานี่แหละ กำลัง Toxic ใส่ตนเอง ไม่รู้ว่าตัวเองเป็นโรคทางจิตหรือเปล่า แต่มันทรมารมากเลย บางครั้งก็อยากได้กำลังใจจากใครสักคนค่ะ
แอดมินพอแนะนำหนังสือที่ช่วยเราเรื่องนี้ได้ไหมคะ ?”
เมื่อผมเห็นข้อความอย่างนี้ สิ่งแรกที่ผมตอบกลับไป คือ จริงๆ ความอิจฉาไม่ใช่เรื่องผิดนะ เพราะมันเป็นเรื่องปกติของมนุษย์ และเราสามารถนำความอิจฉานั้นมาเป็นแรงผลักดันในการพัฒนาตัวเองในการแข่งขันกับคนอื่นได้ เพราะต้องยอมรับว่าปัจจุบันการแข่งขันมันสูงจริงๆ ถึงสามารถทำให้ตัวเองไม่มีความอิจฉาได้ แต่ก็หนีการแข่งขันไม่ได้หรอก
แต่ต้องระวังให้ดี เพราะถ้ามีความรู้สึกอยากทำลายคนอื่นเข้ามา นั่นไม่ใช่ความ “อิจฉา” แต่มันคือความ “ริษยา” ซึ่งตัวนี้แหละที่จะเป็นตัวทำลายเราเอง
1
แต่ที่ต้องระวังอีกอย่างหนึ่งคือ “อย่าไปแข่งขันในสิ่งที่เราไม่ถนัดกับใคร เพราะมันทำให้เราเสียเวลาในการทำสิ่งที่ตัวเองถนัดจริงๆ”
4
นักว่ายน้ำอย่าง ไมเคิล เฟลป์ส ไม่จำเป็นต้องเตะบอลเก่งกว่า นักฟุตบอลอย่าง ลิโอเนล เมสซี่
เพราะถ้าเขาอยากจะเอาชนะ เมสซี่ เขาคงจะใช้ชีวิตและตายไปกับความเชื่อที่ว่า ตัวเองนั้นโง่และไม่มีอะไรดีสักอย่าง อย่างที่ อัลเบิร์ต ไอน์สไตน์ ได้กล่าวไว้
แต่เพราะ ไมเคิล เฟลป์ส เอาทั้งชีวิตไปซ้อมว่ายน้ำ เขาจึงกลายเป็นมนุษย์ที่คว้าเหรียญโอลิมปิกได้มากที่สุดเท่าที่โลกนี้เคยมีมา
น้องคนนี้ จึงตอบผมกลับมาว่า “เราไม่ค่อยเก่งคณิตศาสตร์ แต่งานด้านศิลปะเราค่อนข้างดี แถมเอามันมาเป็นงาน Part time สร้างรายได้ได้ด้วย”
ผมจึงตอบกลับไปว่า “นั่นไง เราก็มีดีของเรา ถามจริงๆ การติดบอร์ดหน้าห้องมันเอาไปแลกเงินได้ไหม”
น้องตอบผมกลับมาว่า “ไม่เลย แค่รู้สึกเท่ แต่ไม่ได้รู้สึกดี เอาจริงๆ แค่เราได้เงิน 5 บาท จากสิ่งที่เราชอบเราก็ดีใจแล้วค่ะ”
หลังจากคุยกันพักใหญ่ผมก็ได้แนะนำหนังสือ เพราะเป็นวัยรุ่น จึงเจ็บปวด ของ อาจารย์ คิมรันโด เพราะเล่มนี้อาจารย์คิมเขียนเกี่ยวกับปัญหาที่น้องเจออยู่ไว้ดีมากๆ ทั้งความรู้สึกอิจฉา และ ความท้อใจเมื่อเห็นเพื่อนได้ยืนอยู่ท่ามกลางแสงสปอร์ตไลท์มากกว่า
เมื่อเห็นอย่างนั้น น้องจึงวิ่งไปหยิบหนังสือเล่มนี้ ในเวอร์ชั่นลาวมาให้ผมดู แล้วบอกว่าเคยอ่านครั้งล่าสุดเมื่อปี 2019 เล่มนี้ได้ฟรีมา แต่ก็อ่านได้แค่ 40% ก็หยุดไป พร้อมบอกว่าจะกลับไปเริ่มอ่านตั้งแต่หน้า 1 ใหม่เลย
พร้อมทิ้งท้ายว่า ตัวเราไม่ค่อยชอบอ่านหนังสือเท่าไหร่ แต่เราโชคดีมากๆ ที่ได้ติดตามเพจสมองไหล อ่านบทความจากเพจทีไร กลิ่นหนังสือก็ลอยออกมาทุกที ขอบคุณนะคะที่รับฟัง ดีใจจังที่ได้ปลดล็อคหัวใจเปื้อนฝุ่นดวงนี้”
เรื่องของเด็กหญิงวัย 15 ปี ชาวลาว ก็จบเพียงเท่านี้ ไม่รู้ว่าวันพรุ่งนี้น้องจะไปโรงเรียนด้วยทัศนคติที่ดีขึ้นหรือไม่ ?
แต่สิ่งที่ผมอยากจะชวนคุยกับทุกคนต่อก็คือ เรื่องทำนองนี้มันก็เกิดขึ้นในเมืองไทยเยอะเหมือนกัน
คือ ทุกวันนี้โรงเรียนส่วนใหญ่มักนำ นักเรียนที่มีผลงานทางวิชาการดีเด่น มาติดประกาศหน้าห้องเรียน บอร์ดประชาสัมพันธ์ หรือ ขึ้นรูปใหญ่ๆ หน้าโรงเรียน
แสดงถึงการยกย่องว่า คนที่เก่ง คนฉลาด จะต้องเก่งทางวิชาการเท่านั้น !
คำถามคือ นี่คือการปลูกฝังค่านิยมที่ถูกต้องแก่เยาวชนหรือไม่ ?
อย่างกรณีของเด็กหญิงชาวลาวที่ผมเล่าให้ฟังในตอนแรก มันเห็นได้ชัดเลยว่า มันทำให้เด็กยึดติดว่าคนเก่ง คือคนที่มีความสามารถทางด้านวิชาการ จนลืมว่าตัวเองมีความสามารถพิเศษหรือพรสวรรค์ด้านงานศิลปะอยู่
ยิ่งไปกว่านั้น เด็กหลายคนอาจจะมีความสามารถด้านอื่นๆ ที่สำคัญไม่แพ้ด้านวิชาการเลย
- บางคนอาจจะไม่เก่งคณิตศาสตร์ แต่ขายของเก่งมาก
- บางคนอาจจะไม่เก่งวิทยาศาสตร์ แต่มีความเป็นสุดยอดนักเจรจาต่อรอง
- บางคนอาจจะไม่เก่งภาษา แต่ถ้าที่บ้านมีอะไรเสีย สามารถซ่อมได้หมด
ยังมีอีกหลายทักษะที่เด็กแต่ละคนเก่งในแบบของตัวเอง แต่โดนตัดสินว่าไม่มีอะไรเด่นในห้องเรียน
ผมขอยก Quote หนึ่งที่ผมชอบมากในหนังสือ เพราะเป็นวัยรุ่น จึงเจ็บปวด ความว่า “ทุกคนเอาแต่มุ่งทำคะแนนทางวิชาการ จนลืมค้นหาว่าพรสวรรค์ที่ติดตัวมาตั้งแต่เกิดของตัวเองคืออะไร”
จะบอกว่านี่อาจเป็นสาเหตุที่คนส่วนใหญ่แม้จะเรียนจบมาด้วยเกรดเฉลี่ยที่สูง และได้ทำอาชีพที่มั่นคง แต่ยังบอกว่าค้นหาตัวเองไม่เจอ และไม่ได้มีความสุชกับงานที่ทำ แม้ค่าตอบแทนที่ได้จะมากพอก็ตาม
เพราะในช่วงชีวิตของการเรียนได้ถูกสิ่งแวดล้อมบังคับให้เร่งทำคะแนนผลการเรียนสูงๆ เลยต้องไปเรียนพิเศษ กวดวิชาต่างๆ นาๆ จนไม่มีเวลาได้ลองผิดลองถูกเพื่อค้นหาความสามารถของตัวเอง ครั้นจะมาลองผิดลองถูกเอาตอนเรียนจบตอนทำงานก็สายไปเสียแล้ว เพราะไหนจะค่าใช้จ่ายในชีวิต หรือ ภาระหน้าที่ที่ต้องรับผิดชอบ ซึ่งจะเอาตัวเองไปลองผิดลองถูกมันก็เสี่ยงเกินไป
และอาจกล่าวได้ว่า ปัญหาของการค้นหาตัวเองไม่เจอ อาจไม่ใช่ปัญหาเชิงบุคคล แต่มันเป็นปัญหาเชิงโครงสร้างทางสังคม ตั้งแต่ในสถาบันครอบครัว และ สถาบันการศึกษา แล้ว
ผมว่ามันถึงเวลาแล้วที่เราจะต้องเลิกตัดสินปลาด้วยความสามารถในการปีนต้นไม้เสียที โดยเฉพาะสถาบันครอบครัว ที่ต้องหยุดตั้งความหวังด้วยเกรดเฉลี่ยที่สูงกับเด็ก และเลิกอวดลูกตัวเองเวลาได้ขึ้นป้ายหน้าโรงเรียนจากผลงานวิชาการเสียที เพราะมันทำให้คนที่ฟังไปกดดันลูกตัวเองอีกทีเพื่อเอามาแข่งกันอวด
แต่ให้มองให้เห็นความสามารถที่แท้จริงของลูก เปิดพื้นที่ให้เขาได้ลองผิดลองถูก ให้เขาได้ค้นหาตัวเอง
เลิกบอกว่าลูกต้องเป็นอะไร แต่ให้เปลี่ยนเป็นคนที่คอยสนับสนุนในสิ่งที่ลูกอยากเป็น
เพราะคุณอาจไม่รู้หรอกว่าการที่เด็กคนหนึ่งได้ขึ้นป้ายหน้าโรงเรียนเขามีความสุขจริงๆ หรือเปล่า หรือ การที่เขาเห็นคนอื่นขึ้นป้าย เขารู้สึกน้อยเนื้อต่ำใจหรือไม่ เพราะเด็กเขาไม่เอาความรู้สึกเหล่านี้ ไปคุยกับพ่อแม่ หรือ ครูอาจารย์หรอก ไม่อย่างนั้นเด็กหญิงชาวลาวที่ผมเล่าไปก่อนหน้านี้ คงไม่ต้องส่งข้อความข้ามประเทศมาคุยกับผม
ปล.บทความนี้ค่อนข้างเป็นความคิดเห็นส่วนตัว ซึ่งผมไม่ได้กำลังจะบอกว่าความคิดเห็นของผมถูก แต่มันคือสิ่งที่ผมเชื่ออยู่ ณ ตอนนี้ ซึ่งในอนาคตผมอาจจะไม่เชื่อในสิ่งที่ผมพูดวันนี้แล้วก็ได้
ดังนั้น ผมอยากจะเชิญชวนทุกคนมาพูดคุย แลกเปลี่ยน และตั้งคำถามเกี่ยวกับเรื่องนี้กันครับ
“เปลี่ยนตัวเองเป็นคนที่ดีขึ้น ด้วยการอ่านหนังสือดีๆ สักเล่ม”
แต่ถ้าไม่รู้ว่าตัวเองควรอ่านเล่มไหน ทักมาปรึกษาสมองไหลได้เลย
สั่งซื้อหนังสือออนไลน์ง่ายๆ ส่งตรงถึงหน้าบ้านคุณ
ได้ที่ Inbox เพจ #สมองไหล
โฆษณา