ทำไมเราใช้ยาฆ่า COVID-19 ไม่ได้ซะที
มาดูข้อมูลโรคไวรัสกันนะคะ จริงๆคนเราติดเชื้อไวรัสมากกว่าแบคทีเรียมากๆ เช่นหวัด หรือการติดเชื้อทางเดินหายใจส่วนบน 85-90% เป็นจากไวรัส ซึ่งพวกนี้ไม่จำเป็นต้องทำอะไร ร่างกายจะกำจัดเชื้อไปได้เอง แค่กินยาลดอาการที่เกิดขึ้นก็พอ เช่น ยาลดไข้ ยาแก้ไอ ยาลดน้ำมูก
การติดเชื้อไวรัสอย่างอื่นที่พบบ่อย เช่น โรค hand-foot mouth, ลำไส้อักเสบจาก Rotar virus หรือไวรัสตัวอื่นๆ ไวรัสตับอักเสบ อีสุกอีใส งูสวัด HIV เป็นต้น
แต่ถ้าไปรพ. หลายๆโรค หมอก็จะบอกว่า ไม่ต้องทานยาอะไร เดี๋ยวก็หายเอง.... เป็นเพราะอะไร ทำไมเราจึงไม่มียาจัดการกับไวรัสทุกตัว
ซึ่งส่วนมากยาฆ่าไวรัสการออกฤทธิ์จะไม่เหมือนยาฆ่าแบคทีเรีย!!
เนื่องจากไวรัสใช้เซลล์ร่างกายในการแบ่งตัวและอยู่อาศัยดังนั้นการฆ่าเชื้อจึงทำได้ยากกว่าแบคทีเรีย
เพราะส่วนมากจะแค่สามารถยับยั้งการเติบโต ยับยั้งการเพิ่มจำนวนได้เท่านั้น และเจ้าไวรัสก็กลายพันธุ์เก่งมากด้วย
ทำให้การผลิตยาทำได้ไม่ประสบผลสำเร็จเท่าที่ควร
ดังนั้นในปัจจุบัน ยารักษาไวรัสที่เราใช้กันประจำและมีข้อมูลดี คือ ยากลุ่มรักษาไข้หวัดใหญ่ ยารักษา HIV ยารักษาไวรัสกลุ่มเริม (Herpes หรือ Cytomegalovirus) และยากลุ่มไวรัสตับอักเสบ B และ C
วันนี้เลยจะมาเล่าเรื่องยาต้านไวรัสไข้หวัดใหญ่ ที่หลายคนเคยได้ใช้ และตอนท้ายจะเล่าถึงข้อมูลยาฆ่าไวรัส SAR-CoV-2 ด้วย ว่ามีข้อมูลอย่างไรบ้าง
ยาต้านไวรัส influenza A และ B ที่ใช้ในปัจจุบัน มี
-oseltamivir (tamiflu หรือ บ้านเราอาจจะใช้ GPO-flu)
-baloxavir
-peramivir
ส่วนตัวอื่นๆ ข้อมูลไม่ค่อยดี
ตัวที่ข้อมูลดีๆ ที่ว่ากัน ผลการศึกษาเป็นอย่างไรกันบ้าง ทำไมบางทีไปรพ.หมอให้ บางทีไป หมอไม่ให้
## ตอนนี้ประโยชน์ที่ได้จากการใช้ยา แบ่งตามลักษณะคนไข้ค่ะ
- คนไข้แข็งแรง อายุน้อย ไม่มีโรคประจำตัว:
การใช้ยา สามารถใช้ลดอาการต่างๆที่เกิดจากไข้หวัดใหญ่ได้ เช่นอาการไข้สูง อาการปวดเมื่อยตามตัว ซึ่งถ้าเปรียบเทียบกับการไม่ให้ยา สามารถลดอาการได้ดีกว่าประมาณครึ่งวัน ถึงสามวัน ดังนั้น ถ้าไม่ให้ ก็มีไข้นานขึ้น 1-3 วัน แต่ประโยชน์อย่างอื่น ไม่ชัดเจนค่ะ ชึ่งประโยชน์จากการให้ยานี้ จะเห็นผลเมื่อให้ยาภายใน 24-48 ชม.หลังมีไข้ ถ้าให้หลังจากนั้น อาจจะไม่มีประโยชน์ชัดเจน (ซึ่งก็มีการศึกษาว่ามีคนไข้แค่ 13% ที่มาภายใน 24 ชม.หลังมีไข้) ดังนั้น ถ้าหมอไม่ให้ ก็ไม่ผิดนะคะ แต่ถ้าหมอจะให้ก็อาจจะไม่ได้คาดหวังผลมากนัก
- คนไข้เป็นผู้สูงอายุหรือผู้ที่ไม่ค่อยแข็งแรง:
การให้ยาสามารถลดความรุนแรงของโรคได้ ลดโอกาสการเสียชีวิตจากโรคได้
ทีนี้มาดูยาต้านไวรัสรักษา COVID-19 ที่มีข้อมูลมาแต่เดิม ก็คือ Favipiravir และ Remdesivir ที่เราใช้กัน
-Favipiravir จะให้เมื่อมีภาพเอ็กซเรย์ปอดผิดปกติ เท่านั้น คนที่พบเชื้อ อาการน้อย หรือไม่มีอาการก็จะไม่ให้ยาตัวนี้
เหตุผลเพราะอะไร เพราะยาตัวนี้ข้อมูลทางการแพทย์มีประโยชน์ในเคสที่มีอาการเยอะ ต้องใช้ออกซิเจน โดยประโยชน์ที่ได้ คือลดความรุนแรงลงได้
- ส่วน Remdesivir เป็นยาฉีด บ้านเราไม่มี แต่ข้อบ่งใช้ก็คล้ายๆกัน คือให้ในเคสที่รุนแรงเป็นเยอะ
ส่วนยาฆ่าไวรัสไข้หวัดใหญ่ ใช้กับ COVID-19 ไม่ได้ซักตัว
### ดังนั้น ข้อสรุปของที่ร่ายมายาว
1. เป็นหวัดธรรมดา ส่วนมากไม่ต้องทำอะไรค่ะ นอนพัก ใส่หน้ากาก ระวังคนอื่นติดจากเรา เดี๋ยวหายเองได้
2. ถ้าเราเป็นคนแข็งแรงดี มีอาการไข้หวัดใหญ่ คือไข้สูง ปวดเมื่อยตามตัว อาการไอ น้ำมูก เจ็บคอ ถ้ามีประวัติสัมผัสคนเป็นไข้หวัดใหญ่ชัดๆ ให้รีบไปรพ.เร็วๆ การได้ยาเร็วจะลดอาการได้ดีค่ะ แต่ถ้าเป็นหลายวันแล้ว ไปรพ. ถ้าหมอไม่ให้ยา ก็อย่าโกรธหมอนะคะ เพราะจริงๆก็ไม่มีข้อมูลว่าจะมีประโยชน์
3. ถ้าเป็นคนมีโรคประจำตัว หรือเป็นผู้สูงอายุ มีอาการไข้หวัดใหญ่ ก็ให้รีบไปรพ. ยาต้านไวรัสจะมีประโยชน์ในคนไข้กลุ่มนี้ค่ะ
4. ส่วน COVID-19 ยาต้านไวรัส favipiravir หรือ remdesivir ที่มีข้อมูลตอนนี้จะช่วยได้ ถ้าให้ในคนที่มีอาการเยอะ คือต้องใช้ออกซิเจน หรือมีปอดอักเสบ
หวังว่าจะมีประโยชน์นะคะ
- 107
โฆษณา
- ดาวน์โหลดแอปพลิเคชัน
- © 2025 Blockdit
