13 ส.ค. 2020 เวลา 08:23 • ธุรกิจ
“วงจรชีวิตทางด้าน การเงิน เราควรให้เด็กรีบรู้ตั้งเแต่เยาว์วัย”
รายรับ รายจ่าย ส่วนใหญ่คนจะรู้จักเพียงเท่านี้ที่อยู่ในวงจรชีวิต ทำมั๊ยเงินเดือนออกเหมือนเงินทอน...!
คนรุ่นใหม่ส่วนใหญ่ไม่ได้ผ่านการเรียนเรื่องพวกนี้ แต่เมื่อเข้าสู่วัยทำงานกลับถูกคาดหวังว่าต้องจัดการการเงินได้ มีเงินเก็บ เลี้ยงดูพ่อแม่ได้ แล้วพอไม่สามารถทำได้ก็จะเจอประโยคที่ว่า “คนรุ่นใหม่เก็บเงินไม่เป็น แถมจนกว่าคนรุ่นเก่า”
คำถาม ไม่มีลูกแก่มาใครจะเลี้ยง เราควรเก็บเงินแบบคนมีลูก เพราะเราก็คาดหวังให้ลูกเลี้ยงมันก็อยาก ยิ่งคนรุ่นใหม่จบมาเงินเดือนก็น้อยอยู่แล้ว แต่ต้องมาดูแลรับผิดชอบพ่อแม่ อีกกลายเป็นว่าทับถม แบกกันไปจนรุ่นหลานและต่อๆไปอีก กลายเป็นติดกับดักหนี้ไปโดยไม่รู้ตัว
หมดยุดแล้วที่จะตั้งใจเรียนแล้วหางานทำดีๆที่มั่นคง ที่ๆมั่นคงหายากมากแล้ว บ้างที่เด็กอายุ 15-18 ปีเรียนไปด้วยทำงานผ่านโซเซียล หาเงินได้มากกว่าพ่อแม่ที่ออกไปหาเงินนอกบ้านเสียอีก ซึ่งพ่อแม่บ้างคนก็ยังไม่เข้าใจจุดนี่อยู่เลย
คนรุ่นใหม่ผมไม่ใช้จะปลูกฝังไม่ให้ดูแลพ่อแม่นะ แต่เมื่อเราเป็นพ่อแม่เองแล้วไม่ควรให้ลูกมาแบกภาระค่าใช้จ่ายเราซึ่งมันจะเป็นผลกระทบไปสู่รุ่นสู่รุ่น ไม่พ้นวงจรนี้สักที เราต้องทำให้สังคมไทยคิดแบบนี้ให้ได้”แก่ตัวไปต้องไม่เป็นภาระลูก และเมื่อลูกมีรายได้แล้วก็ไม่ควรเป็นภาระพ่อแม่” เราต้องไปสู่สังคมสูงวัยที่มีคุณภาพให้ได้
ผมเชื่อว่าแต่ล่ะครอบครัวมีพื้นฐานแล้วไม่เหมือนกันถ้าเกิดเป็นครอบครัวที่ฐานะไม่ดีแล้วเด็กอยากทำงาน อันนี้ผมว่าไม่ผิด แล้วส่วนใหญ่เด็กที่มีทัศนคติแบบนี้ผมพบว่า หลายคนกลายเป็นคนบริหารเวลาได้ดีและเป็นเด็กที่เก่งมาก แต่ถ้าครอบครัวที่มีพื้นฐานดีแล้วแต่เด็กอยากทำงาน อยากมีประสบการณ์เราไม่ควรปิดกั้นและถกเถียง อย่างที่กล่าวไว้ เราเรียน 16 ปี ได้เงิน 15000 บาท แต่ถ้าเด็ก หาเงินได้ 15000 บาท ก่อนจะเรียนจบจะดีกว่ามั๊ย เราไม่ควรกดดันเขาด้วยคำว่าเด็กเลย เราต้องเชื่อในความคิดเขา แต่ต้องอยู่ในกรอบของความถูกต้อง เราคอยดูหรือคอยช่วย ตัวอย่าง “น้องพลอย ลูกสาวคุณเท่ง สามารถเรียนไปด้วยเเละหาเงินไปด้วย ในวิธีที่อยู่ในสายตาคุณเท่ง ถึงแม้คุณเท่งสามารถเลี้งดูครอบครัวได้สบายแต่เขาไม่ไปปิดกั้นน้องพลอยเลย
รวมไปถึงว่าเวลาลูกคิดอะไรได้ขึ้นมาแล้วบอกว่า ‘โธ่ ความคิดแกมันเด็กๆ อย่าคิดเรื่องพวกนี้ อย่าฟุ้งซ่านเลย’ คือคำพูดมันแอบไปทำร้ายลูกนะ
เรียนรู้ให้เงินทำงานให้เราบ้าง เราจะได้เหนื่อยน้อยลง ผมไม่ได้สอนลูกให้ลงทุนจะได้รวย แต่สอนให้ลงทุนเพื่อที่จะได้มีสินทรัพย์ในแบบที่เราพักผ่อนได้บ้าง หรือเป็นตัวช่วยเก็บเงินให้เรา ไม่ใช่สอนให้ทำงานหนักๆเพื่อจะได้เงินเยอะๆ(แต่ก็ไม่ใช่เรื่องผิดนะ) แต่เมื่อเราเจ็บป่วยหาหมอเราก็เสียเงินค่ารักษาพยาบาลอยู่ดี คนนะไม่ใช้เครื่องจักรจะได้เปลี่ยนอะไหล่แท้อะไหล่เทียมได้ง่ายๆ
เงินไม่ได้สำคัญกว่าความสุข มีเงินก็ใช้จ่ายตามสมควร ถ้าอยากได้อะไรก็ซื้อบ้าง เพราะตายไปพ่อก็เอาเงินไปไม่ได้ แต่บ้างครั้งเราต้องสำนึกด้วยว่ายังไม่ตายแล้วเงินหมดมันทุกข์นะ
อาจจะตรงกับคำสอนของในหลวงรัชกาลที่ 9 เรื่องเศรษฐกิจพอเพียง การวางแผนทางการเงินก็คือเรื่องภูมิคุ้มกัน เราวางแผนเพื่อกันตัวเองจากปัญหาที่อาจเกิดขึ้นในอนาคต ผมว่าถ้าเขาเข้าใจตรงนี้มันก็เป็นจุดเริ่มต้นของความฉลาดทางการเงินที่ดี
ขอบคุณความรู้ ที่ได้จากโค้ชหนุ่ม จักรพงษ์
โฆษณา