Blockdit Logo
Blockdit Logo (Mobile)
สำรวจ
ลงทุน
คำถาม
เข้าสู่ระบบ
มีบัญชีอยู่แล้ว?
เข้าสู่ระบบ
หรือ
ลงทะเบียน
อยากเล่าให้ฟัง
•
ติดตาม
14 ส.ค. 2020 เวลา 01:30 • หนังสือ
ทุกคนเคยได้ยินกฏนี้กันไหมครับ… กฏของค่าเฉลี่ย(Law of Average)ที่กล่าวไว้ว่า
"ตัวเราจะเป็นอย่างไรขึ้นอยู่กับ 5 คนที่คนคลุกคลีด้วยมากที่สุด"
Jim Rohn ซึ่งเป็นนักพูดระดับโลกก็ได้กล่าวไว้ว่า "You're The Average Of The Five People You Spend The Most Time With"
ตัวคุณในวันข้างหน้าจะเป็นยังไงขึ้นอยู่กับคน 5 คนที่คุณใช้เวลาอยู่ด้วยมากที่สุด
บางคนอาจจะเป็นคนไม่เก่ง แต่อยู่ในแวดวงที่ล้อมไปด้วยคนเก่ง ก็ทำให้คนๆนั้นสามารถพัฒนาตัวเองหรือเก่งขึ้นมาได้
บางคนซึ่งเป็นคนไม่ชอบออกกำลังกาย แต่เพื่อนๆรอบตัวของเขานั้นเป็นคนชอบออกกำลังกาย คนๆนั้นก็กลับกลายมาเป็นคนที่ชอบออกกำลังกายก็มีเยอะ
พ่อแม่ครอบครัวไหนที่เป็นคนที่ชอบอ่านหนังสืออยู่เป็นประจำ ถ้าลูกเห็นเราอ่านบ่อยๆ เราไม่จำเป็นต้องบังคับเขา เดี่ยวเขานั้นก็จะกลายมาเป็นคนชอบอ่านหนังสือแบบเราก็มีเเยะ (ข้อนี้ผมก็เห็นอยู่เป็นประจำ)
เห็นไหมครับว่าคนรอบตัวเรามีอิทธิพลกับเราเสมอและเราก็ปฏิเสธไม่ได้ว่าจะเราจะไม่เจอผู้คนเลยเพราะว่า ตั้งแต่เด็กจนโตหรือแม้กระทั่งเราเข้าไปทำงาน เราต่างก็พบกับผู้คนจำนวนมากไม่ว่าจะเป็น เพื่อนเล่นในวัยเด็ก เพื่อนเรียนตอนมหาวิทยาลัย เพื่อนร่วมงาน เจ้านาย คนรู้ใจ หรือแม้กระทั่ง คู่ครอง
ทั้งชีวิตเรา เราต่างจะพบคนเหล่านี้มากมาย ดังนั้น การเลือกคบคนในวัยต่างๆเหล่านี้ก็สามารถทำให้เราเติบโตได้ ชี้นำทางเราได้ ดึงมือเรา ช่วยเราในยามที่เราลำบากได้
วันนี้ผมจะมาแนะนำ 7 คนที่จะเป็นพลัง เปลี่ยนชีวิตเรา จากหนังสือ Find the 7 Most Important Person in You Life โดยคนเขียนชื่อ หลี่เหวยเหวิน นะครับ
7 คนนี้มีใครบ้าง เป็นคนรอบๆตัวเรา ที่เราต้องเจอตั้งแต่ตอนที่เรายังเด็กไปจนถึงในวันที่ชีวิตเราจากไป 7 คนสำคัญนี้มี
1
1.เพื่อนเล่น
2.เพื่อนตอนเรียนมหาลัย
3.เพื่อนร่วมงาน
4.เจ้านาย
5.หุ้นส่วน
6.คนรู้ใจ
และ 7.คู่ครอง
1
พยายามเลือกคบคนในแต่ละวัยของเราที่เราเจอ เพราะการเลือกแต่ละครั้งจะมีผลต่อชีวิตของเราตลอดไป...
คนแรกคือ เพื่อนเล่น
1
"หาเพื่อนเล่นที่ใช่ ก้าวตามเส้นทางที่ถูก" เพื่อนเล่นในที่นี้หมายถึง เพื่อนในตอนเด็กของเราที่โตมาด้วยกัน ถ้าเราเลือกเพื่อนเล่นในวัยเด็กที่ดี เพื่อนเล่นเหล่านี้จะส่งผลต่อชีวิตคุณอีก 20 ปีข้างหน้า
เพื่อนเล่นในวัยเด็กของ วอเรน บัฟเฟตต์ (นักลงทุนชื่อดังระดับโลก) มีคนหนึ่งชื่อรัสเซลล์ตอนพวกเขาอายุ 9 ขวบ เขาทั้งสอง คนนี้เป็นหุ้นส่วนกันเอาฝาขวดน้ำอัดลมจากเครื่องขายที่ปั้มน้ำมันมานับและวิเคราะห์ว่าน้ำอัดลมชนิดไหนขายดีที่สุด จากนั้นก็ซื้อน้ำอัดลมยี่ห้อที่ขายดีที่สุดไปขายและอีกทั้งยังช่วยกันเก็บลูกกอร์ฟที่ใช้แล้วและสามารถเอามาใช้ใหม่ได้แล้วก็นำมาทำความสะอาดแล้วนำไปขายต่อให้เพื่อนบ้าน แล้วหลังจากนั้นเขาทั้งสองนี้ก็ได้ไปทำงานที่เเคดดี้ที่สนามกอล์ฟ ถึงแม้จะได้ค่าจ้างแค่เดือนละ 3 ดอลลาร์
แล้วนำเงินทั้งหมดนี้ไปลงทุนในตลาดหุ้น แม่ของเขาเคยถามว่า 2 คนนี้กระหายเงินขนาดนี้เชียวหรือ บัฟเฟตต์ตอบว่า "ไม่ใช่เพราะผมอยากได้เงินเยอะๆ แต่ผมรู้สึกสนุกที่เห็นเงินเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ" ประสบการณ์ในช่วงนี้ทำให้เขากลายมาเป็น พ่อมดแห่งการลงทุนในปัจจุบันและในที่สุดเพื่อนเล่นที่โตมาด้วยกันก็ทำธุรกิจยิ่งใหญ่อยู่ทุกวันนี้
ในหนังสือได้แบ่งตัวเเทนของเพื่อนเล่นออกเป็น 4 ประเภทดังนี้
1.ประเภทแบ่งกันเล่น
ของเล่นถือเป็นตัวแทนของทรัพยากรส่วนตัว การแบ่งกันเล่นก็ถือว่าเป็นการใช้ทรัพยากรร่วมกัน เมื่อเอาของมาเล่นด้วยกันเรากับเพื่อนก็จะได้ฝึกเรื่องสำคัญอย่างหนึ่ง คือ ความคิดที่มีต่อของเล่นและวิธีแบ่งปันให้กับเพื่อน สิ่งนี้จะเป็นตัวกำหนดว่าในอนาคตของคุณคิดอย่างไรต่อทรัพยากรของตัวเองและความสามารถในการหาเพื่อนร่วมอุดมการณ์ ลูกค้า และการร่วมเป็นส่วนหนึ่งของทีม ถ้าเราคบเพื่อนแบบนี้เพื่อนเหล่านี้ก็อาจจะคอยช่วยเหลือเราในอนาคตได้
2
2.ประเภทร่วมมือกันเล่น
การเล่นกันเป็นกลุ่มในวัยเด็ก ไม่ว่าจะการเล่นเกมการต่อสู้ ที่มีคนรับบทบาทเป็นพี่ใหญ่ เป็นลูกน้อง หรือแม้แต่เล่นบทบาทที่เป็นพ่อแม่ลูก จากผลการสำรวจเป็นเวลา 10 กว่าปีพบว่า คนที่มักจะเล่นเป็นพลทหารเวลาเล่นต่อสู้ตอน 7 ขวบ พออายุ 30 เขาก็จะเป็นพลทหารในหน่วยงาน และเด็กซนที่เป็นพี่ใหญ่ทุกครั้งพออายุ 28 ก็จะลาออกจากงานไปธุรกิจหรืออายุไม่ถึง 30 ก็จะเป็นพี่ใหญ่ในหน่วยงาน หากในช่วงวัยเด็กเราแสดงเป็นบทบาทอะไรเป็นเวลานานก็เท่ากับเราฝึกบทบาทในสังคมในอนาคต
3.ประเภทแย่งขนม
1
ขนมเป็นตัวแทนของ "ดอกผล" เป็นสัญลักษณ์ของ "ผลประโยชน์" ดังนั้น เพื่อนที่คอยแย่งขนมจากเราก็มีส่วนจะแย่งผลประโยชน์จากเราในอนาคตด้วย
1
4.เพื่อนที่ชอบก่อเรื่อง
ตอนเด็กหากเราเคยได้ยินเพื่อนพูดว่า ถ้าใครไม่ร่วมมือกันก่อเรื่องถือว่าไม่ใช่เพื่อน เช่น เจาะยางรถเพื่อนบ้าน เอาซากกบมาใส่ในโต๊ะเรียนของเพื่อน เป็นต้น เพื่อนแบบนี้ในตอนเด็กตอนโตมาก็จะพาคอยหาเรื่องให้เราไปด้วย
ดังนั้น หาเพื่อนเล่นในวัยเด็กที่ใช่ ก้าวตามเส้นทางที่ถูกต้อง เพื่อนเล่นของคุณในวันเด็กจะส่งผลถึงอนาคตคุณอีก 20 ปีข้างหน้า
1
คนที่สอง คือ เพื่อนช่วงเรียนมหาวิทยาลัย
หาเพื่อนที่คอยยืนมือมาช่วยเหลือเราจริงๆในยามที่เราเกิดปัญหาในช่วงเรียนมหาวิทยาลัย สัก 2-3 คน จะช่วยให้เราประสบความสำเร็จในอนาคต ถึงแม้ว่าเราจะเก่งแค่ไหนเราก็ต้องวิ่งตามคนที่เก่งกว่าเราอยู่ดี พยายามเรียนรู้หรือหาเพื่อนที่มีคุณสมบัติดังนี้
สายตายาวไกลว่าเรา
ใจกว้างกว่าเรา
หูตาไวกว่าเรา
มีความมุ่งมั่นมากกว่าเรา
มีความยืดหยุ่นมากกว่าเรา
มีความคิดบรรเจิดกว่าเรา
และสุดท้าย พยายามคบเพื่อนหรือเรียนรู้จากคนที่รู้จักคิดวิเคราะห์ไม่ใช่คนที่สอบได้คะแนนดีสุด การที่สอบได้คะแนนดีไม่ใช่เพราะเขาสมองดี แต่เป็นเพราะเขามีเทคนิคการเรียนรู้ที่ดีและความสามารถในการเรียนรู้ส่วนใหญ่เกิดจากการฝึก ถ้าอยากเป็นคนเก่งก็ต้องรู้จักเทคนิคและเคล็ดลับในการเรียนรู้
แต่คนที่รู้จักคิดวิเคราะห์นี้สิ เป็นคนที่ชอบสังเกตพร้อมกับชอบตั้งคำถามว่า "ทำไม" แล้วหาคำตอบด้วยตัวเองได้ เราควรคบหาคนแบบนี้ แม้ว่าเขาไม่เหมือนคนทั่วไป แต่การคบหาสมาคมกับคนเช่นนี้จะทำให้ชีวิตของเรามีแต่เรื่องดีๆอย่างคาดไม่ถึง
คนที่สาม เพื่อนร่วมงาน
หาเพื่อนร่วมงานที่ถูกช่วง 3 ปีแรกหลังเรียนจบ เพราะว่า ระดับเพื่อนร่วมงานของเรามีผลต่อความก้าวหน้าของเรา ในช่วงปีแรกๆที่เราเริ่มเข้าทำงาน เราไม่สามารถเลือกเพื่อนร่วมงานได้แต่เราเลือกได้ว่าจะร่วมงานกับคนแบบไหนได้
1
คนดี Vs คนเก่ง
แน่นอนใครก็อยากคบคนดี เพราะ การทำงานร่วมกับคนดีจะไม่มีปัญหา ไม่มีแรงกดดัน แต่กับคนทำงานเก่งนี้สิจะมีนิสัยที่ประหลาดๆเรารู้สึกจะระวังตัวรู้สึกเหมือนกับว่าคนเหล่านี้มีหนามทั่วตัว แต่ในหนังสือเล่มนี้บอกให้เราว่า
เราควรจะเปลี่ยนความคิดของเรา เราต้องเริ่มคิดก่อนว่าเราชอบเขาแล้วทุกอย่างก็จะราบรื่น จะเป็นผลดีต่องาน เราต้องเเสดงความจริงใจก่อน จึงจะได้รับความเคารพและความร่วมมือจากเขา ไม่ว่าเขาจะเป็นคนดีหรือเป็นคนเก่งที่เข้าหายาก คนที่มีนิสัยประหลาดมักจะมีความสามารถสูง มีอะไรให้เราได้เรียนรู้มากกว่า "ถ้าคุณไม่ลิดหนามออก คุณไม่มีวันได้ดอกกุหลาบ"
การสร้างความสัมพันธ์ที่ดีกับเพื่อนร่วมงานก็เช่นกัน ดังนั้น
ไม่ว่าเราจะชอบคนดีหรืออยากท้าทายเพื่อนร่วมงานที่เข้าหายาก ก่อนอื่นเราต้องมองที่ข้อดีของเขาไม่ใช่ข้อด้อย เพราะว่า ในการทำงานเรามักจะพบคนที่มีคุณสมบัติเพียงอย่างใดอย่างหนึ่ง อาจจะไม่ตรงใจเราทุกอย่างเสมอไป
การสัมพันธ์ที่ดีกับเพื่อนร่วมงานจะส่งผลโดยตรงต่องาน
ต่อความก้าวหน้าในงานและต่ออาชีพทั้งหมดของเราด้วย
ถ้าสุดท้ายแล้วระดับเพื่อนร่วมงานของเราไม่เป็นอย่างที่เราคาดหวังจริงๆ แม้เราจะใช้ความพยายามสานสัมพันธ์อย่างเต็มที่แล้ว ช่วยเหลือเขาอย่างอดทนแล้ว ก็คงไม่มีหนทางอื่นแล้วนอกจาก "เปลี่ยนคนมาทำงานด้วย"
เพื่อนรวมงานที่ควรคบ คือ "เพื่อนร่วมงานที่มีคุณค่า"
เพื่อนที่เราสามารถพูดคุยแลกข้อมูลข่าวสารได้ พูดถึงความรู้สึกในการทำงาน แลกเปลี่ยนประสบการณ์การทำงานได้ ช่วยเหลือเราในด้านการงาน
เพื่อนร่วมงานที่ควรหลีกห่าง คือ "เพื่อนกิน"
เพื่อนที่มีแต่ความสัมพันธ์ที่ว่างเปล่าต่อกัน ชอบความ
หรูหราแต่ไร้ประโยชน์ คบกับเราแต่ในวงเหล้า พบกันเฉพาะงานสังสรรค์ เป็นการพูดคุยสั้นๆในวงเหล้า ความสัมพันธ์แบบนี้ไม่อาจจะเป็นครูหรือเพื่อนแท้ได้
คนที่สี่ เจ้านาย
1
"เจ้านายดีสำคัญกว่าครูดี"
เรียนรู้จากคนแบบไหนก็เป็นคนแบบนั้น
ในหนังสือแนะนำว่า เราควรจะเรียนรู้เจ้านายที่มีลักษณะพิเศษ 3 ข้อนี้เป็นอย่างน้อย เราควรจะเรียนรู้ข้อดีที่อยู่ภายในของเขา ไม่ใช่เปลือกนอกซึ่งเป็ยภาพลวงตา
1.ผู้บริหารที่รู้ว่าจะรับฟังอย่างไร
2.มีความยุติธรรม
3.มีคุณค่าพอที่จะให้ผู้ใต้บังคับบัญชาเชื่อถือและพึ่งพา
เจ้านายดีสำคัญกว่าบริษัทดี
1
เจ้านายดีจะช่วยให้เราเติบโต ช่วยชี้ทางให้ แต่ถ้าได้บริษัทดีและเจ้านายดีก็ถือว่าโชคดีมากๆแต่ส่วนน้อยที่จะได้แบบนี้ บางคนชอบบริษัทดี พอเลือกแต่กลับไม่ชอบนิสัยเจ้านาย แต่บางคนพบเจ้านายดี แต่ฐานะของบริษัทแย่มีโอกาสจะล้มละลายก็มี ถึงแม้รอบตัวเราไม่มีบริษัทดีให้เลือกมากนัก ดังนั้น การค้นหาเจ้านายที่ดีจึงเป็นเรื่องสำคัญมาก
1
คุณสมบัติของเจ้านายที่ดี
1
1.รู้จักของคุณ
2.รู้จักคาดหวัง
3.รู้จักเมตตา
4.คำนึงถึงประสิทธิภาพ
5.รู้จักรับผิดชอบร่วมกัน
6.รู้จักเข้าใจ
7.รู้จักแก้ปัญหาสำคัญ
8.รู้จักรับฟัง
9.มีอารมณ์ขัน
10.รู้จักใส่ใจคนที่มีความสามารถด้อยกว่าคนอื่น
2
ถ้าเจอแล้ว ก็ควรจะเรียนรู้จากเขา
สุดท้ายนี้แล้ว ผมยังเชื่อคำว่า "คบคนแบบไหนชีวิตเราก็จะเป็นแบบนั้น" อยู่นะครับ ชีวิตของเรา เราเลือกได้และเลือกได้ว่าจะคบคนแบบไหน ไม่คบคนแบบไหนด้วย
ในหนังสือเล่มนี้อาจจะไม่มีกฏสำคัญที่ตายตัวแต่จะเป็นแค่คำแนะนำหรือประสบการณ์ที่ผู้เขียนได้เจอมามากกว่าเพราะว่าชีวิตจริงมันมีอะไรมากกว่านี้ แต่อย่างไรก็ตามแล้วสิ่งที่เราต้องคำนึกถึงเป็นอันดับแรกเลย "เรื่องผลประโยชน์" เราสามารถเลือกคบได้แต่เราก็ไม่ควรเลือกคบใครเพราะผลประโยชน์ เราควรจะแสดงความจริงใจต่อเขาก่อน ไม่ใช่แต่จะคบเขาเพื่อผลประโยชน์อย่างเดียว
เพราะสุดท้ายแล้ว ความสัมพันธ์ไม่ใช่การได้หรือเสียผลประโยชน์ แต่เพื่อความสัมพันธ์ที่คอยช่วยเหลือกัน สนับสนุนกันอย่างยั่งยืนต่างหาก
จบไปแล้ว 4 คนสำคัญที่จะเป็นพลังเปลี่ยนชีวิตและอีก 3 คนคนสำคัญที่เหลือ คือ หุ้นส่วน เพื่อนรู้ใจ และคู่ครอง ติดตามต่อในบทความหน้านะครับ ขอขอบคุณทุกๆคนที่อ่านมาถึงตรงนี้มากนะครับ🙏ขอบคุณครับ
ที่มา: หนังสือ 7 คนสำคัญที่จะเป็นพลังเปลี่ยนชีวิต
หลี่เหวยเหวิน เขียน
รำพรรณ รักศรีอักษร แปล
49 บันทึก
70
11
85
49
70
11
85
โฆษณา
ดาวน์โหลดแอปพลิเคชัน
© 2024 Blockdit
เกี่ยวกับ
ช่วยเหลือ
คำถามที่พบบ่อย
นโยบายการโฆษณาและบูสต์โพสต์
นโยบายความเป็นส่วนตัว
แนวทางการใช้แบรนด์ Blockdit
Blockdit เพื่อธุรกิจ
ไทย