14 ส.ค. 2020 เวลา 00:35 • ประวัติศาสตร์
Ep. 3 บทสรุปของบุรุษผู้เป็นตำนาน
Freddie Mercury ชายผู้มีหัวใจสีม่วง 💜 ราชินีแห่งเพลงร็อคในตำนานแห่งวง QUEEN 👑
QUEEN LIVE AID 1985
เข้ามาสู่พาทสุดท้ายสำหรับเรื่องราวชีวิตที่น่าทึ่ง และพรสวรรค์ทางด้านดนตรีของ Freddie Mercury และวง Queen
หลายๆท่านอาจรู้จักเค้าเป็นอย่างดี หรือว่าเพิ่งรู้จัก
เฟรดดี้เองผ่านทางภาพยนตร์ Bohemian Rhapsody ก็ดี จะเห็นได้ว่าตัว Freddie เอง ไม่ใช่คนที่เพียบพร้อมไปซะทุกเรื่องยังเป็นมนุษย์ธรรมดาที่มีความหลงผิด มีอุปสรรคต่างๆ ทั้งในด้านเพศสภาพ ทั้งเรื่องความรักและปัญหาชีวิตสถานการณ์ต่างๆที่ไม่เป็นใจ แต่เค้าก็ผ่านมันมาได้เสมอ และเอาสิ่งเหล่านั้นเป็นแรงผลักดันทำให้ตัวเค้าเองขึ้นมาสู่จุดสูงสุดของเส้นทางของเค้าเอง ในพาท 3 นี้ ผมจะขอเริ่มเล่าจากในส่วนคอนเสิร์ตที่เป็นประวัติศาสตร์ของวง QUEEN และประวัติศาสตร์ของโลก 🌎
👑 คอนเสิร์ต LIVE AID 🎸
หลังจากที่วง Queen โดนแฟนเพลง และสื่อต่างๆรุมยำเละเทะในอัลบั้ม HOT SPACE พวกเค้าก็ได้กลับมารวมตัวกันอีกครั้งและปล่อยอัลบั้มใหม่ออกมาในอัลบั้มที่ชื่อว่า THE WORKS ยังดีที่ในอัลบั้มนี้ยังพอช่วยกู้ชื่อเสียงของพวกเค้ากลับมาได้บ้างแต่ว่ามันก็ยังไม่มากพอที่จะทำให้ศรัทธาของแฟนเพลงกลับมาแบบเต็มเปี่ยมซะทีเดียว
ย้อนกลับไป 1 ปี ในช่วงปี ค.ศ 1984 นั้นเอง ก็เกิดภัยภิบัติภัยแล้งครั้งใหญ่ในแอฟริกา ภาพของเด็กน้อยที่อดอยากหิวโซ และ ภาพผู้เสียชีวิตมากถึง 15 ล้านคน กระตุ้นให้เหล่าศิลปินฝั่งอังกฤษรวมตัวกันเพื่อทำโปรเจคมหากุศลเพื่อระดมทุนช่วยเหลือแอฟริกา
Africa 1984
บ๊อบ เกลดอฟ นักร้องนำวง The Boomtown Rats วงป๊อบดังจากไอร์แลนด์กลายเป็นหัวหอกของงานนี้
Bob Geldof
Bob ได้จุดประกายให้คนสนใจในปัญหานี้
เกิดเป็นกระแสลามข้ามมหาสมุทรแอตแลนติกไปฝั่งอเมริกาจนเกิดเป็นเพลง
"We Are The World”
จากกระแสนั้นเอง ก่อให้เกิดเป็นอภิมหาคอนเสิร์ต ที่จัดขึ้นในวันที่ 13 July ค.ศ 1985 คอนเสิร์ต LIVE AID
ซึ่งจัดขึ้นพร้อมๆ กันทั้งสองฝั่งทวีป สลับกันไปมา ทั้งฝั่งอังกฤษและฝั่งอเมริกา
โดยทางฝั่งของอังกฤษจัดขึ้นที่ ที่สนามเวมบลีย์ กรุงลอนดอน ซึ่งมีผู้ชม 72,000 คน และทางฝั่งอเมริกาจัดขึ้นที่สนามเจเอฟเค ในเมืองฟิลดาเดลเฟีย มีผู้ชมกว่า 100,000 คน และคาดว่ามีผู้ชมอีกเกือบ 2 พันล้านคนทั่วโลกใน 110 ประเทศที่เฝ้าชมผ่านทีวี ณ ตอนนั้น โดยทั้งหมดถ่ายทอดสดผ่านดาวเทียมยาวนานต่อเนื่อง 16 ชั่วโมง
( นี้มันงานเฟสติวัลของสมัยนี้ดีๆนี้เอง )
ส่วนไลน์อัพของงานนี้ก็ไม่ธรรมดา เพราะรวมเอาเหล่า ศิลปินชื่อดังทั่วฟ้าเมืองอังกฤษและอเมริกามาร่วมกันอย่างคับคั่ง อย่างเช่น Paul McCartney อดีตสมาชิกวง The Beatles, Beach Boys วงป๊อบชื่อดังจากแคลิฟอร์เนีย, David Bowie ศิลปินหนุ่มสุดติส, Mick Jagger นักร้องนำวง Rolling Stone
Paul McCartney
Beach Boys
David Bowie
Mick Jagger
แล้วยังมี หม่อมป้า Elton John, เจ๊ Madonna, Bob Dylan, Cliff Richard, Eric Clapton, U2, Dire Straits, Tina Turner, Sting,
Elton John
Madonna
Cliff Richard
Eric Clapton
แล้วก็ BB King, Joan Baez, Santana, Judas Priest, Duran Duran, Bryan Adams, Crosby Stills Nash & Young และอีกมากมายตบเท้ากันเข้ามาช่วยงานอภิมหากุศลในครั้งนี้ (แค่ไล่ชื่อไลน์อัพก็เหนื่อยล่ะครับ ขออนุญาตลงรูปไม่ครบนะครับ)
และที่ดูจะเป็นไฮท์ไลท์พิเศษของงานคงจะเป็น...ไม่ใช่วง Queen ครับไม่ต้องคิดเลย ฮ่าๆๆๆ วง Queen นี้เป็นตัวประกอบไปเลย มาแจมกับเค้าก็จริงแต่มาแบบเหงาๆ หงอยๆ คนไม่ค่อยให้ความสนใจซักเท่าไหร่ ทั้งๆที่ก็มีเพลงดังๆเยอะนะ น่าสงสารจริงๆ
และไฮท์ไลท์พิเศษของงานนี้ก็คือ การ Reunion ของโคตรวงร็อคในตำนานอย่าง The Who / และการกลับมา Reunion ในรอบ 7 ปีของวง Black Sabbath โดยมี ไลน์อัพดั้งเดิมพร้อม Ozzy Osbourne นักร้องนำ
The Who
Black Sabbath
และพ่วงด้วยการกลับมา Reunion ในรอบ 5 ปี ของ Led Zeppelin โดยจะมี Phil Collins มาเป็นมือกลองให้ แทนที่ John Bonham ที่เสียชีวิตไป (ลงทุนบินหลังโชว์จากอังกฤษเสร็จ เพื่อมาเล่นให้ที่ อเมริกาเลยนะเนี่ย )
Led Zeppelin
ซึ่งเป็นที่แน่นอนว่า ทุกคนก็ต้องจัดเต็มกราฟกับคอนเสิร์ตใหญ่นี้แบบ ชนิดที่ว่าไม่มีใครยอมใคร แบบที่ว่า ฆ่าได้ฆ่า และแถมในช่วงนั้นเฟรดดี้ของเรายังมาคออักเสบอย่างหนัก จนหมอห้ามใช้เสียงอีก (ช่วงนี้เริ่มป่วยแล้วแหละแต่พี่แกยังไม่รู้ตัว) ซวยจริงๆ
แต่ไม่ว่าปัญหาจะหนักซักแค่ไหน เฟรดดี้ก็คือเฟรดดี้ Queen ก็ยังเป็น Queen พวกเค้ามองได้ทะลุว่า Live Aid นี้ไม่ใช่คอนเสิร์ตธรรมดาที่ใครๆ เคยเห็นมาแต่มันคือปรากฎการณ์ใหม่ที่เวทีคือโลกทั้งใบ ผู้ชมคือคนทั้งโลกที่ดูผ่านหน้าจอทีวีในสมัยนั้น และแล้ว ปฏิบัติการทวงคืน บัลลังก์ของราชาในนามของราชินี ก็เริ่มขึ้น ++!!
สถานการณ์ตอนนั้นก็ไม่ได้เข้าข้าง Queen ซักเท่าไหร่ ไหนจะต้องประชันกับพวกบิ๊กเนมทั้งหน้าเก่าหน้าใหม่ ไหนจะโดนจัดคิวเล่นก่อนหลังประกบตัวท๊อปๆ ก่อนหน้า Queen ก็เป็นวงหน้าใหม่ไฟแรงอย่าง U2 ที่ตอนนั้นก็กำลังพีคสุดๆแสดงสดได้สุดยอด
เรียกว่าหนีเสือปะจระเข้เลยก็ว่าได้
U2
แต่ถึงแม้ Queen จะอยู่ในช่วงขาลง แต่ถ้าวัดกันที่การ Entertain แล้วพวกเค้าก็ไม่ได้น้อยหน้าใครเหมือนกัน ดั่งนั้น Queen เจาะจงขอเล่นในช่วงเวลา 6 โมงเย็น ซึ่งเป็นช่วงกลางของคอนเสิร์ตที่ศิลปินส่วนใหญ่หลีกเลี่ยงเพราะคิดว่าถ้าเล่นช่วงท้ายๆ จะสร้างความประทับใจได้มากกว่า แต่ Queen เล็งแล้วว่า 6 โมงเย็นเป็นช่วงที่มีคนดูทีวีสูงที่สุดในอังกฤษ และเป็นช่วงเวลาที่เริ่มการถ่ายทอดสดผ่านดาวเทียมไปที่สหรัฐพอดี ซึ่งแปลว่า Queen จะเป็นวงแรกที่คนดูผ่านทีวีที่อเมริกาจะได้ดู แล้วความสำคัญอีกอย่างหนึ่งของจังหวะเวลาคือ คอนเสิร์ตนี้เริ่มมาตั้งแต่เวลาเที่ยงวันแล้ว ถ้าเล่นดึกเกินไป คนดูก็จะเหนื่อยเกินไปไม่มีอารมณ์ร่วมแน่นอน
นอกจากการเลือกเวลาอันชาญฉลาดแล้ว การจัดสคริปเพลง Queen ก็ทำออกมาได้อย่างดีเยี่ยม พวกเค้ารู้ว่าเค้ามีเวลาแค่ 20 นาทีมันไม่ใช่เวลาที่จะมาโชว์เพลงใหม่ รึ เล่นเพลงโลกสวย เพราะผู้ชมทั้งหมดไม่ใช่แฟนเพลงตัวยงของวง Queen เค้ารู้ในจุดนี้ดี Queen จึงจัดชุดใหญ่ไฟกระพริบ ขนมาแต่เพลงฮิตที่สุด มันที่สุด คนร้องตามได้ เลือกเพลงที่ผู้ชมมีอารมณ์ร่วม
Queen จึงเก็บตัวซ้อมถึง 3 วันเต็มๆ ซ้อม ซ้อม แล้วก็ซ้อม ราวกับว่านี้จะเป็นคอนเสิร์ตครั้งสุดท้ายของวง ทั้งหมดก็เพื่อโชว์ให้โลกได้เห็นว่านี่แหละคือ Queen ราชาในนามของราชินี
และเมื่อมาถึงวัน ณ สนามเวมบลีย์ เนื่องแน่นไปด้วยผู้ชม 72,000 คน เฟรดดี้ วิ่งนำออกมาจากหลังเวทีด้วยชุดเสื้อกล้ามสีขาว กางเกงยีน พร้อมกับไบรอัน เมย์ สะพายกีต้าร์คู่ใจออกมา และตามมาด้วย จอห์น ดีคอน มือเบส และโรเจอร์ เทเลอร์ เพื่อนซี้ของเค้า มือกลอง
เฟรดดี้ไม่รอช้า เข้าไปนั่งประจำตำแหน่งที่เปียโน พร้อมกับปรับจูนเล็กน้อยแล้วเริ่มบรรเลงเพลงแรกทันที เป็นเพลงระดับตำนานที่ทุกคนคุ้นหู เพลง Bohemian Rhapsody เรียกเสียงร้องตามกระหึ่มทั้งสเตเดียม และเมื่อเล่นมาถึงท่อนสำคัญ เฟรดดี้ลุกจากเปียโนไปคว้าขาไมค์ครึ่งท่อน คนฟังทุกคนรู้ว่าในอึดใจต่อไปจะต้องเป็นท่อนโอเปร่าที่โครตบรรเจิด ..แต่ควีนก็หักมุขไปเล่นเพลง Radio Ga Ga เพลงดังของวงในขณะนั้นแบบต่อเนื่องไปไม่ขาดตอน สร้างความประหลาดใจที่สนุกสนานให้คนฟัง เฟรดดี้ทั้งร้องทั้งกระโดดโลดเต้นไปทั่วทั่งเวที ไม่มีใครในสนามสามารถอยู่นิ่งได้อีกต่อไป และเมื่อถึงท่อนปรบมือของเพลง ผู้ชม 72,000 คนปรบมือและชูมือตามการให้จังหวะของเฟรดดี้พร้อมกัน Queen เอาคนดูทั้งสนามอย่างอยู่หมัด
Ay-Ohhhhh เสียงเฟรดดี้ ร้องจากกลางเวที แล้วดึงให้คนทั้งสนามเปล่งเสียงตามราวกับต้องมนต์สะกด Alright !! คือสัญญาณการเข้าเพลงต่อไปของ Queen อย่างไม่รอช้าเพลง Hammer To Fall และเพลง Crazy Little Thing Called Love ถูกซัดออกมาเป็น Combo คนทั้งสนามอยู่กันไม่ถูกแล้วตอนนี้ทุกคนต่างต้องมนตร์สะกดที่วง Queen ร่ายออกมา ตอนนี้คนทั้งสนามขึ้นไปอยู่ในจุดที่พีคที่สุด เฟรดดี้ทำท่าจะทุ่มกีต้าร์เหมือนจะจบการแสดง
นี่คือวันที่ดีที่สุดของ Queen
แต่มันก็ยังไม่จบ เมื่อมีเสียงกลองอันเป็นเอกลักษณ์ของเพลง We Will Rock You ดังขึ้น ผู้คนพากันปรบมือตามจังหวะและร้องตามด้วยอารมณ์พีคสุดๆ แล้ววง Queen ก็ปิดท้ายอย่างยิ่งใหญ่ด้วยเพลงที่เป็นมรดกโลกอย่าง We Are The Champions !
ภาพคลื่นมหาชนนับ 7 หมื่นคนโบกมือไปตามจังหวะเพลงในวันนั้นได้พิสูจน์แล้วว่า ความใหญ่โตของเวมบลีย์ สเตเดี้ยม ที่เคยกลืนกินวงดนตรีมานับไม่ถ้วน กลับไม่เป็นปัญหาสำหรับ Queen เลยแม้แต่น้อย พลังจากเฟรดดี้บนเวทีส่งไปถึงทุกคนตั้งแต่หน้าเวทีไปจดจรดกำแพงหลัง ตรึงคนดูเรือนหมื่นที่ไม่ใช่แฟนเพลงของตัวเองให้ร้องตามขยับตาม และสะกดคนอีกพันล้านทั่วโลกที่ดู Queen ผ่านการถ่ายทอดสดในวันนั้น และอีกหลายล้านคนในอนาคตที่ดูคอนเสิร์ตนี้ผ่าน Youtube ให้รู้สึกว่านี่แหละ คือ หนึ่งในการแสดงสดที่ดีที่สุดที่เคยมีมาบนโลกใบนี้
Queen ก่อนขึ้นเวทีเป็นเหมือนตัวประกอบที่ไม่มีใครสนใจแต่หลังจากที่เค้าแสดงเสร็จพวกเค้ากลับเดินลงมาอย่างราชินี สง่างามหมดจรด จนมีเรื่องเล่าหลังเวทีว่า
Elton John ถึงกับรีบวิ่งมาด่าพวกเฟรดดี้ว่า You bastard, you stole the show! แปลกันเอาเองนะครับ ฮ่าๆๆๆ
การเล่นคอนเสิร์ตนี้ ได้ชุบชีวิตวง Queen ขึ้นมาใหม่ ความนิยมทั่วโลกพุ่งขึ้นอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน ยอดขายแผ่นเพิ่มขึ้นเป็น 5 เท่าตัว และได้มีผลสำรวจความคิดเห็นจากศิลปิน นักข่าวสายดนตรี และผู้คร่ำหวอดในวงการดนตรีรวม 60 คน แล้วมีความเห็นเป็นเอกฉันท์ว่า การแสดงของ Queen บนเวที Live Aid นั้นเป็น The Greatest Live Rock Performance Of All Time
และในปี 1986 Queen ได้ปล่อยอัลบั้มใหม่มาในอัลบั้ม
A KIND OF MAGIC
ในช่วงนี้เฟรดดี้ได้ล้มป่วยลง เค้าได้เข้าไปตรวจและพบว่าตัวเค้าเองนั้นติดเชื้อ HIV แต่ผลการตรวจนั้นก็ยังปักใจเชื่อไม่ได้มากนัก เค้าจึงเก็บเรื่องนี้ไว้เป็นความลับคนเดียว
ในปี 1988 นี้มีอัลบั้มเดี่ยวของเฟรดดี้ถูกปล่อยออกมา เป็นอัลบั้มที่ทำตั้งแต่ช่วงพักวงในช่วงก่อนหน้า
BARCELONA
และในปี 1989 วง Queen ก็ได้ปล่อยอัลบั้มเพิ่มมาอีกครั้งในอัลบั้ม THE MIRACLE
THE MIRACLE
ในปี 1989 เฟรดดี้ได้ตัดสินใจอีกครั้งเพื่อเข้าไปตรวจอีกครั้งเพื่อการันตีให้แน่ชัดว่าสิ่งที่เค้ากำลังเจออยู่นั้นเป็นจริงอย่างที่เค้าคิดใช่หรือไม่ และเมื่อผลตรวจออกมามันก็คือสิ่งที่เค้าคิดมาตลอดคือเค้าเป็นผู้ป่วย HIV
เค้าได้บอกผู้ใกล้ชิดทั้งหมด คนในครอบครัวรวมถึงสมาชิกภายในวง
สุขภาพของเค้าเริ่มทรุดโทรมลงอย่างมากจนต้องยกเลิกการทัวร์คอนเสิร์ตทั้งหมด
ช่วงนี้เองที่เค้าเริ่มปลีกตัวออกมาใช้ชีวิตคนเดียวเลิกเป็นบุคคลสาธารณะ ย้ายไปอยู่ London และ Switzerland
Freddie 1990-1991
ณ ตอนนี้หมอเริ่มสั่งห้ามเค้าอย่างเด็ดขาดไม่ให้เค้าร้องเพลง เพราะเชื้อเริ่มลุกลามไปที่ปอด และ ส่วนสำคัญต่างๆ ของร่างกายแล้ว
เฟรดดี้ปรากฎตัวครั้งสุดท้าย เมื่อตอนออกมาถ่าย MV เพลง These Are The Days Of Our Lives ซึ่งอยู่ในอัลบั้ม INNUENDO ปี 1991
INNUENDO
และในวันที่ 23 พฤศจิกายน ปี ค.ศ 1991 ได้ออกมาประกาศให้โลกรู้ว่าตัวเค้านั้นเป็นผู้ป่วยโรคเอดส์ และหลังจากนั้น 1 วัน...
วันที่ 24 พฤศจิกายน ปี ค.ศ 1991
Freddie Mercury ได้จากไปอย่างสงบในวัย 45 ปี ด้วยอาการปอดบวม อันมีผลเนื่องมาจากเชื้อ HIV ที่เค้าได้รับ เค้าเสียชีวิตอยู่ที่เมือง เคนซิงตัน ประเทศ อังกฤษ ที่เป็นจุดเริ่มต้นเล็กๆของวง Queen และเป็นจุดจบของเค้า
ข่าวการตายเฟรดดี้นั้นเป็นที่ช็อกอย่างมาก เพราะการที่แฟนได้รับรู้อาการป่วยเพียง 1 วัน แล้ววันถัดมาก็มาจากไปอย่างกระทันหัน มันเกินกว่าที่แฟนเพลงของ Queen จะทำใจได้จริงๆ แต่ถึงแม้ตำนานราชินีจะจบลงแต่มรดกที่เค้าทิ้งไว้ให้คนรุ่นหลังมันก็คุ้มค่ากับวงการดนตรีเป็นอย่างมาก
2
หลังจากนั้นในปี 1992 อัลบั้มรวมเพลงได้ถูกปล่อยออกมาเพื่อเป็นเกียรติและรำลึกถึงเฟรดดี้เพื่อนำรายได้ไปจุนเจือการกุศล
และในปีเดียวกันนั้น วง Queen ได้จัดคอนเสิร์ตรำลึกถึงเฟรดดี้ โดยมีวงดนตรีชั้นแนวมาร่วมแสดงมากมายเพื่อเป็นให้เกียรติและรำลึกครั้งใหญ่ หากวัดจากสเกลและตัวศิลปินจะจัดว่าเป็นคอนเสิร์ตในตำนานอีกงานก็ว่าได้
Freddie Mercury Tribute Concert 1992
Freddie Mercury Tribute Concert 1992
ในภายหลังวงก็ยังเดินหน้าทำเพลงต่อไป ในอัลบั้มที่ชื่อว่า Made In Heaven ซึ่งเป็นอัลบั้มที่รวบรวมเพลงตกค้าง ที่เฟรดดี้ได้ประพันธ์ทิ้งไว้ และ ได้บันทึกเสียงไว้ก่อนที่เค้าจะเสียชีวิตนำมันเอามาสานต่อให้สำเร็จ และถูกปล่อยออกมาในปี 1995 เป็นอันปิดตำนานราชินีของเพลงร็อคอย่างสมบูรณ์แบบ
Queen - Made in Heaven
หลังเฟรดดี้จากไปเค้ายกบ้านกลางใจกรุงลอนดอนมูลค่า 80 ล้านปอนด์ ให้กับ แมรี่ ออสติน ครอบครองแต่เพียงผู้เดียว (ในส่วนนี้ผมจะไม่เล่าถึง Jim Hutton นะครับ)
รวมถึงลิขสิทธิ์เพลงทั้งหมดที่เฟรดดี้เป็นผู้ประพันธ์ ก็ให้ แมรี่เป็นผู้รับผลประโยชน์แต่เพียงผู้เดียว นี้เองที่แสดงให้เห็นว่าเฟรดดี้นั้นรักแมรี่มากมายถึงเพียงใด
Freddie Mercury house Garden Lodge
ขณะที่เถ้ากระดูกของเค้าหลังเสียชีวิต เค้าก็ให้แมรี่ เป็นเพียงคนเดียวที่เก็บเอาไว้
เฟรดดี้ กับ แมรี่ จึงเป็นเคสตัวอย่างที่แสดงให้เห็นว่า
ความรัก ในบางสถานะการณ์ มันก้าวข้ามคำว่าเพศไปแล้ว
และบางครั้งความรักมันก็เกิดขึ้นกับแค่คนบางคนเท่านั้น โดยไม่ที่สำคัญเลยว่าเค้าจะเป็นเพศอะไร
"I Still Love You "
THE END
ยาวหน่อยนะครับ ขอบคุณที่อ่านจนจบ ฝากกดติดตามกด Like เป็นกำลังใจให้ด้วยนะครับ ✍🏻💜
โฆษณา