เมื่อปีที่แล้วในการแข่งขันฟุตบอลเยาวชนระดับอายุไม่เกิน 13 ปี “ช้าง จูเนียร์ คัพ 2019” ซึ่งมีทีมสมัครเข้าร่วมแข่งขันทั่วประเทศกว่า 300 ทีม ปรากฏว่าทีมโรงเรียนจากภาคอีสานตอนบนอย่างโรงเรียนพิชญบัญฑิต ซึ่งขณะนั้นยังแทบไม่เป็นที่รู้จัก หรือกล่าวได้ว่าเป็นทีมนอกสายตา กลับสามารถสร้างผลงานโดดเด่นเหนือความคาดหมาย นับตั้งแต่การฝ่าด่านรอบคัดเลือกโซนภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ซึ่งประกอบด้วยคู่แข่งทั้งหมด 48 ทีม เข้าสู่รอบชิงแชมป์ประเทศไทย แล้วพบกับบรรดาทีมเยาวชนอะคาเดมีชื่อดังในรอบแบ่งกลุ่ม นักเตะรุ่นจิ๋วจากพิชญบัณฑิตสร้างความฮือฮาด้วยการเอาชนะทีมเยาวชนกิเลนผยอง เอสซีจี เมืองทอง ยูไนเต็ด อย่างขาดลอยถึง 4-0 ประตู ไม่เพียงเท่านั้นพวกเขายังชนะทีมบุรีรัมย์ ยูไนเต็ด อะคาเดมี เสมอกับทีมเยาวชนสุพรรณบุรี เอฟซี จนทะลุเข้าสู่รอบ 8 ทีมสุดท้าย แล้วล้มทีมดังอย่างโรงเรียนอัสสัมชัญศรีราชา 0-1 ประตู
กระทั่งถึงการแข่งขันรอบ 4 ทีมสุดท้าย ที่สนามกีฬากองทัพบก เมื่อวันที่ 22 มิถุนายน 62 โรงเรียนพิชญบัณฑิตถึงคราวสะดุด เมื่อพ่ายให้กับทีมเยาวชนมาตรฐานสูงอย่างบุรีรัมย์ ยูไนเต็ด แต่พวกเขากลับมากู้ชื่อวันรุ่งขึ้น ในการแข่งขันชิงที่ 3 เมื่อสามารถเอาชนะทีมยักษ์ฟิตเนส พรตพิทยพยัต 1-0 ด้วยประตูโทนในนาทีที่ 59 ของแข้งจิ๋วเบอร์ 2 ยุทธจักร ใจกล้า
เมื่อเสียงนกหวีดสิ้นสุดการแข่งขันนัดนั้นดังขึ้น นักเตะรุ่นเยาว์ของพิชญบัณฑิตกรูเข้าแสดงความยินดีกันอย่างร่าเริงยิ้มแย้ม แม้ว่าไม่สามารถพิชิตอันดับหนึ่ง แต่ก็ถือว่าเด็กกลุ่มนี้มาไกลมากแล้ว และสามารถภาคภูมิใจที่ได้อันดับ 3 มาครอง
ทั้งยังส่งให้โรงเรียนพิชญบัณฑิตกลายเป็นที่รู้จักในแวดวงฟุตบอลเยาวชนของไทย และถูกจับตาว่าเป็นอะคาเดมีระดับคุณภาพที่สามารถปลุกปั้นเยาวชนแดนอีสานให้เติบโตเป็นนักฟุตบอลฝีเท้าดีในอนาคต
โรงเรียนพิชญบัณฑิตตั้งอยู่ที่จังหวัดหนองบัวลำภู จังหวัดเล็กๆ ในภาคอีสาน ซึ่งเดิมเคยเป็นเพียงอำเภอหนึ่งของจังหวัดอุดรธานี ก่อนถูกยกฐานะขึ้นเป็นจังหวัดเมื่อปี พ.ศ. 2536 โดยที่โรงเรียนพิชญบัณฑิตเป็นอะคาเดมีที่อยู่ภายใต้การดูแลของทีมฟุตบอลประจำจังหวัด คือ สโมสรฟุตบอลหนองบัว พิชญ ซึ่งปัจจุบันเล่นอยู่ในไทยลีก 2
เดิมทีสโมสรแห่งนี้ใช้ชื่อ กฟผ. หนองบัวลำภู ยูไนเต็ด ต่อมาเปลี่ยนชื่อเป็น หนองบัวลำภู เอฟซี ในปี 2554 กระทั่งหลังปี 2557 สโมสรมีการเปลี่ยนแปลงครั้งสำคัญ เมื่อ สุเทพ ภู่มงคลสุริยะ เจ้าของวิทยาลัยพิชญบัณฑิต และโรงเรียนพิชญบัณฑิต ได้เข้ามาเป็นผู้บริหารทีมคนใหม่ จึงเปลี่ยนชื่อสโมสรเป็นหนองบัว พิชญ เอฟซี และลงแข่งภายใต้ชื่อใหม่เป็นครั้งแรกในปี 2558 กระทั่งทีมได้เลื่อนชั้นสู่ไทยลีก 2 ในปี 2560
“ผมเข้ามาทำทีมฟุตบอลหนองบัวพิชญ เอฟซี ตั้งแต่ปี พ.ศ. 2558 ซึ่งเราไม่ได้มุ่งเน้นเพียงแค่ความสำเร็จของทีมชุดใหญ่ หากแต่เรายังมีอะคาเดมีให้เยาวชนได้เล่นฟุตบอลควบคู่ไปกับการเรียนการศึกษา เพื่อพัฒนาให้เขาก้าวขึ้นมาเป็นนักกีฬาอาชีพอย่างมีประสิทธิภาพ ทุกวันนี้เรามีเยาวชนในอะคาเดมีกว่า 500 คน ซึ่งถือว่ามากที่สุดแห่งหนึ่งในเมืองไทยเลยก็ว่าได้ วันนี้เริ่มผลิดอกออกผล เยาวชนของเราหลายคนก้าวไปติดทีมชาติไทย บางรายก็ผ่านการคัดเลือกไปฝึกซ้อมยังต่างประเทศ ทั้งหมดทั้งมวลคือรากฐานแห่งความสำเร็จของสโมสรเรา”
สุเทพ ภู่มงคลสุริยะ ประธานสโมสรหนองบัว พิชญ เอฟซี ให้สัมภาษณ์สื่อมวลชน เผยแนวคิดการทำทีมที่ให้ความสำคัญกับการสร้างนักเตะเยาวชนในท้องถิ่น
จากจุดเริ่มต้นของการก่อตั้งอะคาเดมีที่พบอุปสรรคและปัญหามากมาย โดยเฉพาะไม่ได้รับความสนใจจากเด็กที่เล่นฟุตบอลเก่งหรือมีแววดี เด็กที่เข้ามารุ่นแรกบางคนยังเล่นฟุตบอลแทบไม่เป็น แต่ด้วยความมุ่งมั่นตั้งใจของทีมงาน อะคาเดมีจึงพัฒนามาเป็นลำดับ
ถึงวันนี้นักเตะเยาวชนในสังกัดโรงเรียนพิชญบัณฑิตมีจำนวนหลายร้อยคน แบ่งออกเป็น 9 รุ่นตามอายุ 11-19 ปี โดยมีโค้ชประจำรุ่นคอยดูแลอบรมสั่งสอนศาสตร์ฟุตบอลด้านต่างๆ อย่างใส่ใจ ภายในสภาพแวดล้อมของโรงเรียนที่พรั่งพร้อมด้วยสนามฝึกซ้อม ทั้งสนามหญ้าจริงและสนามหญ้าเทียม อาคารหอพักนักกีฬา และสิ่งอำนวยความสะดวกครบครัน
เด็กๆ เหล่านี้ไม่เพียงได้รับการฝึกฟุตบอล มีที่พักอาศัยและอาหารโดยไม่ต้องเสียค่าใช้จ่าย หากใครมีฝีเท้าโดดเด่นในรุ่นจะได้รับมอบสัญญาและเงินเดือนจากสโมสรหนองบัว พิชญ เอฟซี ตั้งแต่อยู่ทีมเยาวชนอีกด้วย
ในภาวะที่วิกฤติไวรัสโควิด-19 ส่งผลกระทบต่อสภาพเศรษฐกิจของทุกภาคส่วน แนวทางของโรงเรียนพิชญบัณฑิตจึงมีความน่าสนใจและมีประโยชน์อย่างยั่งยืน เพราะวันใดที่นักเตะดาวรุ่งของอะคาเดมีแห่งนี้เติบโตแข็งแกร่งพร้อมใช้งาน เท่ากับทีมหนองบัว พิชญ เอฟซี จะมีนักเตะคุณภาพจากผลผลิตของตนเอง
สิ่งที่สำคัญกว่านั้นเห็นจะได้แก่การให้โอกาสกับเยาวชนท้องถิ่น โดยใช้กีฬาพัฒนาพวกเขาให้เติบโตเป็นคนที่มีคุณค่า และยังเป็นการใช้กีฬาฟุตบอลเพื่อพัฒนาจังหวัดหนองบัวลำภูให้โดดเด่นเป็นที่รู้จักมากกว่าเดิม