Blockdit Logo
Blockdit Logo (Mobile)
สำรวจ
ลงทุน
คำถาม
เข้าสู่ระบบ
มีบัญชีอยู่แล้ว?
เข้าสู่ระบบ
หรือ
ลงทะเบียน
สรุปให้
•
ติดตาม
14 ส.ค. 2020 เวลา 23:30 • หนังสือ
สรุปหนังสือ หลักคิดที่คนญี่ปุ่น พกไปทำงานทุกวัน
หนังสือดีมาก อยากให้ซื้อมาอ่านกัน
ขอบคุณสำนักพิมพ์ Welearn ที่แปลหนังสือดีๆมาให้อ่านครับ
Cr. เซ็นเซแป๊ะ
1
Gross National Income หรือ GNI รายได้เฉลี่ยของประชากรในแต่ละประเทศของปี 2018 ที่ทำโดย world bank บอกเราว่า
ญี่ปุ่นชาติที่โดนระเบิดนิวเคลียร์ 2 ลูกแพ้สงครามต้องใช้หนี้หัวโต
มีรายได้เฉลี่ยต่อเดือนต่อคน อยู่ราว 110,000 บาท มากกว่าไทย ที่ได้ 16,650 บาทโดยเฉลี่ย ราวๆ 6 เท่า
1
ชาติที่ 75 ปีที่แล้วติดลบวันนี้ก้าวสู้สังคมผู้สูงอายุเต็มตัว
ทำไมเขายังมั่งคั่งกว่า มีคุณภาพชีวิตที่ดีกว่าเรา
คำตอบคือ คนญี่ปุ่น ตั้งใจทำงานมาก
“ทำเรื่องธรรมดาให้ดีที่สุด”
กับ ทุกเรื่องใน ทุกวันและ ทุกคน
4
หนังสือเล่มนี้บอกเล่าหลักคิดที่ทำให้พวกเขา
ประสบความสำเร็จระดับโลก ไปเรียนรู้กัน
3
( 1 ) หนังสือ
หลักคิดที่คนญี่ปุ่นพกไปทำงานทุกวัน
สอนหลักคิดการทำงานและการใช้ชีวิต
หนา 184 หน้า ราวๆ 35,700 คำ
สามารถอ่านจบได้ในร้านกาแฟดีๆ
และมีเวลาให้มันสัก 3 ชั่วโมง
ราคา 195 แลกกับความรู้ที่อัดแน่น
คุ้มฮะ (รวมค่ากาแฟด้วยยังคุ้มเลย 555)
1
ความรู้สึกหลังอ่านจบคือ ดีไม่แพ้ IKIKATA
หนังสือ Super Best Seller ของคุณ Kazuo Inamori
ตำนานอีกคนของญี่ปุ่นเลย
อ่านไม่ยาก คิดตามได้เรื่อยๆ ให้แง่คิดทุกหน้า
ใครชอบความรู้สึกของการที่มีคุณลุงใจดี
ที่ผ่านประสบการณ์ชีวิตโชกโชนมานั่งเล่า
วิธีทำให้ชีวิตประความสำเร็จไม่ควรพลาด
( 2 ) นักเขียน
4
คุณ Komiya Kazuyoushi
เกิดปี 1957 ปัจจุบันเป็นที่ปรึกษาด้านการบริหาร
1
เขียนหนังสือมาแล้วหลายเล่ม ดังใช้ได้เลยครับ
หลายเล่มมีวางจำหน่ายใน Amazon เช่น
「1秒!」で財務諸表を読む方法
―仕事に使える会計知識が身につ
2
แปลไทยว่าวิธีอ่านงบการเงินใน 1 วินาที
คุณ Komiya Baby Boomer
ของญี่ปุ่นบอกว่าตัวเองเป็นคนแปลกของยุคสมัยเขา
เพราะเปลี่ยนงานถึง 3 รอบ (ส่วนใหญ่ทำงานเดียวตลอดชีวิต)
ไม่ใช่เพราะงานไม่ดี หลักฐานคือเขาขยันและทำงานดี
จนได้รับทุนจากธนาคารโตเกียว (ตอนนี้ชื่อ โตเกียว มิตซูบิชิ ยูเอฟเจ)
ไปเรียนต่อ MBA มหาวิทยาลัย ดาร์ตมัธ USA
1
แต่เขาคิดว่า เขายังสามารถพัฒนาตัวเองได้อีก
จึงตัดสินใจลาออกเปลี่ยนอาชีพจนเปิดบริษัทตัวเอง
ในปี 1996 ขณะอายุ 39
หนึ่งเรื่องที่ผมทึ่งประธานบริษัทญี่ปุ่นมากๆคือ
พวกเขาชอบทำอะไรที่ชาวโลกไม่ทำกัน
คุณ Komiya มักทำสิ่งแรกของคือขัดห้องน้ำชายให้สะอาดที่สุด
การขัดห้องน้ำ เกี่ยวอะไรกับงานประธานและหลักคิดในหนังสือเล่มนี้กันนะ
หน้าถัดไปมีคำตอบครับ ^^
ถ้าใครได้หยิบหนังสือเล่มจริงมาอ่าน
จะพบว่ามันมีอะไรแปลกอยู่ในนั้น
ปกติ Salary Man ของญี่ปุ่น
มักมีธรรมเนียมปฏิบัติอยู่ 1 อย่างคือ
พกกระเป๋าหนังเหลี่ยมๆไปทำงานด้วย
แต่กระเป๋าที่หน้าปกไม่ได้ใกล้เคียงเลยฮะ
เพราะมันเป็นตัวอักษร ABC ที่คนออกแบบตั้งใจ
วางเอาไว้ให้สะดุดตา
ABC คือแก่นของหนังสือเล่มนี้
ย่อมาจากประโยคหนึ่งที่คุณ Komiya ได้เรียนรู้มาจาก
ประธานบริษัทท่านหนึ่งขณะทำงานด้วย
“当たり前のことをバカになってちゃんとやる”
อ่านออกเสียงได้ว่า
Atarimae No Koto Wo Baka Ni Natte Chanto Yaru
คำแรกของแต่ละ วรรค รวมกันเป็น ABC พอดี
แปลไทยได้ว่า
(ถ้าอยากประสบความสำเร็จจง)
ทุ่มเททำเรื่องธรรมดาให้ดีที่สุด
3
( 4 ) เนื้อหาในหนังสือ
แบ่งเป็น 4 บท
1.ชีวิตของมนุษย์เปรียบเหมือน “ท่อ”
2.คาถา A.B.C. คือสิ่งที่ต้องมีในการทำงาน
3.การทุ่มสุดตัวทำกันอย่างไร
4.วิธีกำหนดโชคชะตา
บทที่ 1 เล่าวิธีคิดและใช้ชีวิต
บทที่ 2 ที่มาและการขยายความหลักคิด A.B.C
บทที่ 3 ตัวอย่างและผลลัพธ์ที่ได้จากการทุ่มสุดตัว
บทสุดท้าย ให้วิธีกำหนดชะตาชีวิตตัวเอง
1
เช่นเคยผมยังคงแนะนำให้ซื้อมาอ่าน
เพราะสิ่งที่ผมสรุป เป็นมุมมองของผม
ซึ่งอาจจะเพียงย่นย่อให้เข้าใจภาพบางส่วน
เล่มนี้มีประโยคดีๆที่ให้แง่คิดเยอะมาก
เรียกว่ากระตุ้นต่อมความคิดได้ดีสุดๆ
สรุปรอบนี้ขอเน้นไปที่ บทที่ 1,2,3 และ
ประโยคดีๆที่ได้จากหนังสือเล่มนี้นะครับ
( 4-1-1 ) ชีวิตมนุษย์เปรียบเหมือนท่อ
ดีหรือร้ายขึ้นอยู่กับว่าเราคิดอย่างไร
ยิ่งอ่านหนังสือเยอะมากเท่าไหร
ผมก็ยิ่งได้เรียนรู้ว่าทั้งศาสตร์
ฝั่งตะวันตกหรือตะวันออก
สูตรสำเร็จของชีวิตที่ประสบความสำเร็จ
มันไม่ต่างกัน
หนังสือเล่มนี้คุณ Komiya เปรียบเปรยว่า
ชีวิตมนุษย์เหมือนกับการเดินในท่อ
ท่อเป็นสิ่งที่พระเจ้า(จักรวาล)กำหนดมาให้
สั้นยาว ใหญ่เล็ก ตรงหรือคดเคี้ยว
เราไม่สามารถเลือกได้
สิ่งที่เราทำได้คือการเลือกจะอยู่ตรงไหนของท่อที่ว่า
คนที่ประสบความสำเร็จจะเลือกไม่ยอมแพ้ต่ออุปสรรค
ที่พระเจ้ากำหนดมาและพาตัวเองไปให้ถึงจุดสูงสุดของท่อ
1
เข้ากับสมการของ Jack Canfield นักเขียน
ชื่อดังฝั่งตะวันตกที่ว่า
E+R=O
Event + Response = Outcome
เราเปลี่ยนเหตุการณ์ (Event) ไม่ได้
ถ้าอยากเปลี่ยนผลลัพธ์ (Outcome)
ต้องเปลี่ยนวิธีตอบสนอง (Response)
1
Ford Henry กับประโยคหนึ่งที่ผมชอบมากๆ
“Whether You Think You Can,
or Think You Can't ... You're Right”
ไม่ว่าคุณจะคิดว่าทำได้
หรือทำไม่ได้ คุณคิดถูกทั้งนั้น
1
เห็นด้วยไหมครับ
( 4-1-2 ) ชีวิตเหมือนกับรถยนต์
คุณ Komiya เปรียบเทียบว่า รถยนต์
อธิบายความสำเร็จของการใช้ชีวิตได้ดี
เครื่องยนต์ = Passion ความรู้สึก
พวงมาลัย = เหตุผลในการใช้ชีวิต
2
อยากประสบความสำเร็จ
ต้องมี Passion ที่แรงกล้าวิ่งฝ่าอุปสรรคได้
ในขณะเดียวกันก็ต้องควบคุมให้ไปในทางที่ถูก
ต้องรู้ว่าจังหวะไหนควรเลี้ยวควรเดินหน้าถอยหลัง
ถ้าเราหักพวงมาลัยไปทางขวา รถย่อมเลี้ยวขวา
หักซ้ายย่อมเลี้ยวซ้าย ถ้าทิศที่เราบังคับไปนั่น
นำไปสู่ความสำเร็จ ชีวิตย่อมประสบความสำเร็จ
1
( 4-1-3 ) ความสำเร็จและความสุขคือ
การทำให้คนอื่นมีความสุข
ถ้าอ่านหนังสือแนวพัฒนาตัวเองที่เขียนโดย
คนญี่ปุ่นรุ่นอายุ 50-60 จะพบว่า
หลายๆคนได้แรงบันดาลใจ
มาจากไอดอลอยู่ไม่กี่ท่าน
Shoichiro Honda ผู้ก่อตั้งบริษัท Honda
Kazuo Inamori ผู้ก่อตั้งบริษัท Kyocera
และ
3. Matsushita Konosuke เจ้าของบริษัท Panasonic
สิ่งที่ทั้งสามท่านนี้มีคือ จิตสำนึกต่อส่วนรวม
คุณ Komiya ก็ได้แรงบันดาลใจจากคุณ Matsushita
เรื่องเกี่ยวกับความสำเร็จว่ามันคือ การทำให้คนอื่นมีความสุข
คนที่มีจิตสำนึกต่อประโยชน์ส่วนรวม
ย่อมมีโอกาสจะก้าวไปถึงจุดสูงสุดของชีวิต
เหตุผลหนึ่งที่คนญี่ปุ่นนับถือคนรุ่นนี้ก็น่าจะเป็นเพราะ
เป็น Self Made ที่มีจุดเริ่มชีวิตที่ยากลำบาก
อย่างคุณ Matsushita เองก็มีคุณพ่อที่ติดการพนัน
ไม่ได้เรียนหนังสือ ต้องเริ่มทำงานช่วยครอบครัวตั้งแต่
9 ขวบ
ทั้งที่มีชีวิตลำบากแต่ตอนที่ประสบความสำเร็จกลับ
มีจิตใจที่นึกถึงผู้อื่น ปี 1930 ยอดขายของบริษัท
ย่ำแย่ เขาตัดสินใจลดกำลังการผลิตลงครึ่งหนึ่ง
โดยไม่ไล่พนักงานออกจนบริษัทกลับมาสร้างยอดได้
อย่างก้าวกระโดดตอนที่เศรษฐกิจฟื้นตัว
ประโยคติดปากของคุณ Matsushita คือ
“จงทิ้งประโยชน์และความต้องการส่วนตน”
มีคิดถึงผู้อื่นก่อนความสุขจะตามมาเอง
ทำไม่ง่ายแต่ทำได้น่าจะไม่น้อยนะครับ
ลองดูกันไหมฮะ ^^
( 4-1-4 ) เสนอ+โต้แย้ง = โลกที่สร้างสรรค์
โลกที่สร้างสรรค์คือโลกที่ทุกคนเติบโต
และช่วยให้ทุกสิ่งดีขึ้น
2
ทฤษฏี Aufheben ของ เฮเบน นักปรัชญาชาวเยอรมัน
กล่าวไว้ได้น่าสนใจว่า
บทสรุปเกิดจากการบทเสนอ (Thesis)
และบทแย้ง (Antithesis) มาปฎิสัมพันธ์กัน
โลกใบนี้ดีขึ้นได้ด้วยการเห็นต่าง
และแข่งขัน
1
ถ้าทำงานดีบริษัทก็สินค้าดี
ถ้าทำสินค้าดีลูกค้าก็ได้ของดี
ลูกค้าได้ของดีก็บอกต่อให้เพื่อน
เพื่อนก็มาซื้อของเพิ่มยอดขายเพิ่ม
ยอดขายเพิ่มเงินเดือนก็น่าจะเพิ่มตาม
ถ้าพวกเราอ่านสรุปหนังสือ
“ทิ้งนิสัยไม่แล้วจะมีความสุข”ที่ผมรีวิวไว้
มีนิสัยหนึ่งที่คุณ Godo Tokio พูดถึง
“เป็นคนดี (เกินไป)” จนไม่กล้าโต้แย้ง
หนังสือเล่มนั้นเชิญชวนให้ทุกคน
เชื่อในความคิดของตัวเองและโต้แย้งอย่างสร้างสรรค์
และสิ่งนั้นจะทำให้เกิดผลงานใหม่ได้
ลองมาเป็นคนเสนอและคนแย้งกันนะครับ
เพื่อบทสรุปที่ดีกว่า และโลกที่สร้างสรรค์
( 4-2-1 ) 3-30 Hours Rule
สมัยเข้าทำงานที่ธนาคารโตเกียวใหม่ๆ
คุณ Komiya ถูกส่งมาให้เรียนรู้งาน
ที่แผนกบริการรับฝากเงิน
เขาถูกตำหนิจากหัวหน้างานว่า
ตัวอักษรของเขาหวัดมากจนคนทำงานต่อ
อ่านไม่ออกว่า ตัวเลขที่เขียนคืออะไร
คุณ Komiya ที่เรียนจบมาทางด้าน
นิติศาสตร์จากมหาวิทยาลัยดังตัดสินใจ
ใช้เวลา 3 ชั่วโมงฝึกคัดลายมือใหม่อีกครั้ง
เพราะตระหนักได้ว่าสำหรับอาชีพพนักงาน
ธนาคารนั้น การเขียนตัวเลขทางการเงินสำคัญมาก
หนังสือเขียนไว้ว่า อย่าเสียดายเวลา 3 ชั่วโมง
ในการจะเรียนรู้อะไรใหม่ๆที่จะเปลี่ยนแปลงชีวิตของตัวเอง
และคุณ Komiya เล่าประสบการณ์ให้ฟังต่อว่า
ส่วนใหญ่แล้วทักษะทำงานใดๆก็ตามส่วนใหญ่
มักเรียนรู้จนนำไปใช้งานได้จริงภายใน 30 ชั่วโมง
เป็นที่มาของ กฎ 3-30 ที่ผมเชื่อมโยงขึ้นมาฮะ ^^
ลองหาดูสิว่าเรามีทักษะอะไรที่จะเปลี่ยนชีวิตเราได้
และหาเวลาลงมือทำกัน
1
( 4-2-2 ) ถ้าไม่เช็ดโต๊ะจะสะอาดได้อย่างไร
ขณะที่ประธานบริษัทอย่างคุณ Komiya
ขัดห้องน้ำอย่างทุ่มเท
พนักงานบริษัททุกท่านก็ทำความสะอาดโต๊ะตัวเอง
อย่างดีที่สุดเช่นกัน
เขาบอกข้อดีของการขัดเกลาตัวเอง
ผ่านการทำความสะอาดไว้ว่า
เมื่อเช็ดโต๊ะอย่างตั้งใจไปสักครึ่งหนึ่ง
จะเห็นได้ชัดเจนว่าอะไรที่ยังไม่สะอาดเยอะขึ้น
ยิ่งเมื่อทำความสะอาดครบถ้วนแล้ว
มีสิ่งสกปรกสักนิดเดียวก็จะมองเห็นได้ทันที
เป็นการฝึกฝนความช่างสังเกต
ในฐานะบริษัทที่ปรึกษาให้เฉียบคมยิ่งขึ้น
1
ผมชอบประโยคหนึ่งในหนังสือที่ว่า
“ถ้าไม่เช็ดโต๊ะจะสะอาดได้อย่างไร”
1
มันหมายความว่า สุดท้ายอยากได้อะไร
เราหนีไม่พ้นการ ลงมือทำ
อยากประสบความสำเร็จ
จะเอาแต่ใช้มันสมองอันปราดเปรื่องอย่างเดียวไม่ได้
ต้องทำให้มือเปื้อนฝุ่นและคราบสกปรกด้วย
ไปเช็ดโต๊ะทำงานกันครับ 555
( 4-2-3) คำถามที่ช่วยตัดสินว่านี่คืองานที่เราชอบไหม
อยากที่บอกว่าคุณ Komiya มองตัวเอง
ว่าเป็นคนที่ค่อนข้างแปลกในรุ่นของเขา
เพราะเปลี่ยนงานถึง 3 ครั้ง
จากพนักงานธนาคาร
มีทำบริษัทที่ปรึกษา
ย้ายไปดูลบริษัทให้เข้าตลาดหลักทรัพย์
ก่อนมาเปิดบริษัทของตัวเองตอนอายุ 39
ถ้ารู้สึกว่า นี่ไม่ใช่ที่ของตัวเอง
และเราน่าจะยังพัฒนาตัวเองได้มากกว่านี้อีก
แล้วลังเล
ให้ลองใช้คำถามนี้คุยกับตัวเองดู
“ถ้าเกิดใหม่ได้อีกครั้ง
จะยังอยากทำงานนี้หรือไม่“
แชร์ประสบการณ์ส่วนตัวครับ
คำถามนี้ถ้าถามต่างช่วงต่างเวลา
เราจะได้คำตอบไม่เหมือนกัน
ตอนผมเด็กๆยังไม่มีครอบครัว
ผมคิดว่า การทำงานในบริษัทรถยนต์ระดับโลก
ได้เจอคนเก่งๆได้ประสบการณ์ที่ท้าทาย
ต่อให้เกิดใหม่ก็อยากทำนะ
แต่ผมมีครอบครัว ผมก็พบว่าคำตอบมันเปลี่ยนไป
ตอนนี้บนวัย 37 ปี
ผมคิดว่าอาชีพ วิทยากรและนักเขียนใช่สุดๆ
เกิดใหม่ก็ยังอยากประกอบวิชาชีพนี้
แต่อีก 10 ปีข้างหน้า คำตอบก็อาจจะเปลี่ยนก็ได้นะครับ
1
ตราบได้ที่คำตอบ“ยังอยากทำ“อยู่ จงทำให้ดีที่สุด
ส่วนถ้าคำตอบชัดเจนว่า “ไม่” ก็จงอย่ารอช้า
หาลู่ทางเปลี่ยนแปลงดูนะครับ
เหมือนที่ Steve Jobs พูดไว้ว่า
““ถ้าวันนี้เป็นวันสุดท้ายของชีวิต
ผมอยากจะทำในสิ่งที่ผมกำลังจะทำในวันนี้หรือไม่
และเมื่อไหร่ที่คำตอบก็คือ ” ไม่ ” ติดๆ กันหลายวัน
ผมรู้ว่าผมต้องเปลี่ยนอะไรบางอย่าง ”
คุยกับตัวเองดูนะครับ เอาชนะความกลัวในใจกัน
( 4-3-1) ไม่มีใครเดินเล่นอยู่ดีๆแล้วแวะปีนภูเขาไฟฟูจิได้
ผมเคยแบ่งปันประสบการณ์ปีนภูเขาไฟฟูจิกันไปแล้ว
การปีนภูเขาที่มีความสูงกว่า 3.7 กิโลเมตร
ปีนกันกว่า 6 ชั่วโมงนั้นไม่สามารถเลยที่อยู่จะนึกว่า
“ไหนก็ผ่านมาทางนี้แล้วแวะปีนฟูจิซังกันดีกว่า”
ถ้าคนที่ไปปีนฟูจิซํงนั่นล้วนเตรียมตัว เตรียมใจ
และออกจากบ้านด้วยความคิดว่า จะไปพิชิตภูเขา
คนที่อยากประสบความสำเร็จ
ก็ควรออกจากบ้านด้วยเป้าหมายที่ชัดเจนเช่นกัน
อีกประโยคที่ชวนให้คิดตามได้ดีเลยคือ
“ถ้าไม่ตั้งเป้าว่าจะไปที่ไหน
สุดท้ายแล้วเราก็จะได้แค่เดินเล่นไปเรื่อยๆตลอดชีวิต
โดยไปไม่ถึงที่ไหนเลยสักที่“
โดนสุดๆฮะ
( 4-3-2) สมุดบันทึกแห่งอนาคต
วิธีการหนึ่งที่อยู่ในหนังสือเล่มนี้
เกี่ยวกับการมีเป้าหมายที่ชัดเจน
คือการจดบันทึกในสมุด Tablet
บางอย่าง
คุณ Komiya ได้รู้จักกับลูกค้าคนหนึ่ง
ที่อายุ 50 แต่กลับเขียนเป้าหมาย
ไว้อย่างชัดเจนว่า อายุ 60,70 อยากทำอะไร
และได้แรงบันดาลใจจากคุณดัง ฟุมิ ดาราหญิงชื่อดัง
ว่าเธอจดบันทึกทุกวัน
คุณ Komiya จึงเขียนบันทึกง่ายๆ 7-8 บรรทัดทุกวัน
เป็นเวลากว่า 17 ปีแล้ว
ข้อดีที่เขาบอกคือได้ทบทวนตัวเอง
เห็นความเปลี่ยนแปลงบ้างอย่าง (เขาจดน้ำหนักตัว
และความดันไว้ด้วย)
1
สมัยนี้อาจจะใช้ Application ในมือถือช่วยได้
ผมเองแม้ไม่ได้จดบันทึกทุกวันแต่ก็เขียนบทความ
และอัดพอดแคสลงทุกวัน
ถ้าอยากรู้ว่าช่วงไหนคิดอย่างไรอินกับเรื่องไหนอยู่
ก็แค่ย้อนกลับไปฟังได้เลย
( 4-3-3) หน้าต่างแห่งความสุข
อีกหนึ่งสิ่งที่ผมชอบมากๆในหนังสือเล่มนี้
คนที่มีความสุขส่วนใหญ่ล้วนประกอบไปด้วย
ความคิดที่ดี และ ความรู้ที่ดี
ถ้าเราแบ่งคนออกเป็น 4 กลุ่ม
A : คิดถูก+มีความรู้
B : คิดถูก+ไม่มีความรู้
C : คิดไม่ถูก+มีความรู้
D : คิดไม่ถูก+ไม่มีความรู้
คนที่ประสบความสำเร็จและมีความสุขส่วนใหญ่
คือคนในกลุ่ม A ที่มีทั้งวิธีคิดที่ถูกต้องและมีความรู้มากพอ
ความคิดที่ถูก = หันหน้าไปยังเป้าหมายถูกทาง
ความรู้ที่มากพอ = ความสามารถในการพาตัวเองไปยังเป้าหมาย
คนอีกกลุ่มที่ยังพอมีโอกาสดีที่จะประสบความสำเร็จได้คือ D
คนที่มีวิธีคิดถูกต้อง เพราะแม้จะไม่มีความรู้พอ แต่เขาก็มีความสุข
ระหว่างเดินทางไปยังเป้าหมาย และวันหนึ่งเขาอาจจะสะสมความรู้
จนมากพอก็ได้
สรุปง่ายๆว่า ความคิดและทัศนคติสำคัญไม่แพ้ความรู้นั่นเอง
จุดเด่นของหนังสือเล่มนี้คือ มีประโยคดีๆให้แง่คิดเยอะมาก
“สิ่งสำคัญที่ช่วยให้มนุษย์ประสบความสำเร็จไ
ด้มีเพียงอย่างเดียวเท่านั้นคือ การมีจิตใจที่ซื่อตรง”
โดยคุณ Konosuke Matsushita
“หากเอาแต่มองข้อเสียของคนอื่น
สุดท้ายมันจะกลายเป็นข้อเสียของเราเอง”
แต่ที่ชอบที่สุดและเป็นคำตอบของหนังสือเล่มนี้ว่า
ทำไมเราควรต้องทุ่มเททำเรื่องธรรมดาให้ดีที่สุด
ประโยคนี้เลยครับ
“คนที่แค่งานธรรมดายังทำออกมาให้ดีไม่ได้
ย่อมยากที่จะมีคนไว้ใจให้ทำงานสำคัญ”
353 บันทึก
341
35
392
353
341
35
392
โฆษณา
ดาวน์โหลดแอปพลิเคชัน
© 2024 Blockdit
เกี่ยวกับ
ช่วยเหลือ
คำถามที่พบบ่อย
นโยบายการโฆษณาและบูสต์โพสต์
นโยบายความเป็นส่วนตัว
แนวทางการใช้แบรนด์ Blockdit
Blockdit เพื่อธุรกิจ
ไทย