14 ส.ค. 2020 เวลา 21:27 • ปรัชญา
“กิเลสทำให้ใจทุกข์ ธรรมทำให้ใจไม่ทุกข์”
ธรรมะรุ่งอรุณ ☀️
๑๕ สิงหาคม ๒๕๖๓
การปฏิบัติมันจะกำจัดกิเลสไปเรื่อย ๆ มันจะเห็นโทษของกิเลสว่า กิเลสนี่แหละที่ทำให้ใจทุกข์ และธรรมนี่แหละเป็นตัวที่จะทำให้ใจไม่ทุกข์ ที่บอกว่าใจนี้สำคัญก็คือให้เรามาดูแลรักษาใจ อย่าไปดูแลรักษาอย่างอื่น อย่างลูกไม่ต้องไปรักษามันหรอก เลี้ยงมันให้มันโตก็จบแล้ว ทรัพย์สมบัติข้าวของเงินทองก็รักษาได้ก็รักษาไป แต่รักษาอย่างไรมันก็รักษาไม่ได้ มันก็ต้องจากกันไป ลาภยศ สรรเสริญ ความสุขทางตาหูจมูกลิ้นกาย ที่พวกเราที่มนุษย์ทั้งโลกนี้ รักกันหวงกันแย่งกัน ฆ่ากันก็เพื่อสิ่งนี้ แต่แทนที่จะทำให้ใจเราสุขกลับทำให้ใจเราทุกข์ใหญ่ นี่ไม่ใช่เป็นวิธีรักษาใจ
วิธีรักษาใจต้องทิ้งทุกอย่าง เพราะของทุกอย่างนี้มันทำให้ใจเราวุ่นวาย ถ้าไม่ยุ่งกับมันแล้วสบาย ให้รู้ว่าใจเป็นสิ่งที่สำคัญและต้องรู้จักวิธีรักษาใจว่ารักษาอย่างไร วิธีที่จะรักษาใจก็คือต้องทิ้งทุกอย่าง ไม่เอาอะไรเลย พระพุทธเจ้าเป็นลูกของกษัตริย์ ทิ้งหมดไปอยู่ในป่าคนเดียว ไปรักษาใจเพียงอย่างเดียว ใจยังถูกข้าศึกศัตรูรุมทำร้ายอยู่ ข้าศึกศัตรูของใจก็คือกิเลสตัณหา ความโลภความอยากต่าง ๆ ก็ต้องสร้างธรรมขึ้นมา สร้างสติ สร้างสมาธิ สร้างปัญญา พอมีสติ มีสมาธิ มีปัญญา ก็มีอาวุธ
ท่านเรียกว่า “ธรรมาวุธ” อาวุธที่จะมาทำลายข้าศึกศัตรูของใจที่จะมาคอยสร้างความทุกข์ทรมานให้กับใจ ก็คือกิเลสตัณหานี่เอง พอมีธรรมาวุธ มีสติ มีสมาธิ มีปัญญา ก็จะทำลายกิเลสตัณหาให้หมดไปจากใจได้ พอหมดกิเลสตัณหาสงครามก็สงบ สันติภาพก็กลับคืน สันติสุขก็เกิดขึ้น
สันติสุขก็นิพพาน นิพพานัง ปรมัง สุขัง ตราบใดที่ยังมีสงครามมีการต่อสู้อยู่ ความสงบก็ยังมีไม่ได้ ตราบใดที่การต่อสู้ได้สิ้นสุดลงแล้ว ข้าศึกศัตรูได้ถูกทำลายล้างหมดแล้ว เวลานั้นสันติภาพก็เกิดขึ้น สันติสุขก็เกิดตามมา แล้วสันติภาพที่ไหนก็สู้สันติภาพที่ใจไม่ได้ สันติภาพที่อื่น ภายนอกเช่น สันติภาพที่ประเทศโน้นประเทศนี้ เวลาเขาทำสงครามกันแล้วเขาเลิก แต่ใจก็ยังทุกข์อยู่เหมือนเดิม เพราะใจก็ยังมีกิเลสมีตัณหาอยู่
ดังนั้นอย่าไปหาหรือไปต้องการอะไรในโลกนี้ มันไม่มีคุณค่าราคาเหมือนกับการหาธรรมเพื่อมารักษาใจของเรา เพราะใจเราเป็นใหญ่ ความสุขความทุกข์ของใจเรานี้มันยิ่งใหญ่กว่าความสุขความทุกข์ทางร่างกาย ถ้าใจมีความสุขแล้ว ความทุกข์ของร่างกายจะไม่มีความหมายอะไร ถ้าใจมีความทุกข์แล้ว ความสุขของร่างกาย ก็ไม่มีความหมายอะไร ต่อให้เป็นพระราชามหากษัตริย์ มหาเศรษฐี มีความสุขของพระราชาของมหาเศรษฐี แต่ถ้าใจทุกข์แล้วความสุขเหล่านั้นเหมือนถูกกลบไปหมดเลย หายไปหมดเลย อยู่ในวังก็ร้อน อยู่ในคฤหาสน์ร้อยล้านพันล้านก็ร้อน ใจทุกข์ ใจร้อน ในทางตรงกันข้าม ถ้าใจสงบใจเย็นสบายแล้ว อยู่ในป่าอยู่โคนไม้อยู่คนเดียวก็ไม่เดือดร้อน พระพุทธเจ้าอยู่โคนไม้ได้ อยู่ในป่าคนเดียวได้ เพราะท่านสามารถทำใจให้สงบได้ ทำใจให้สุขได้
ดังนั้นมาให้ความสำคัญต่อการสร้างความสุขดับความทุกข์ของใจ อย่าไปให้ความสำคัญกับร่างกายมากจนเกินไป ร่างกายก็ทำได้ไม่ยากหรอก ไม่ต้องการมาก ความสุขของร่างกายนี้ข้าวมื้อหนึ่งก็สุขแล้ว กินอาหารวันละมื้อนี้ก็พอแล้ว มีผ้ามีเครื่องนุ่งห่มอยู่ชุดเดียวก็อยู่ได้แล้ว มีเสื้อผ้าอยู่ชุดหนึ่งนี้ก็ได้แล้ว อยู่ได้ ผ้า ๓ ผืน ผ้าไตรจีวร ที่อยู่อาศัยอยู่ตรงไหนก็ได้ พอหลบแดดหลบฝนได้ ยารักษาโรคก็ตามมีตามเกิด มีอะไรก็กินไปรักษาไป หายก็หาย ไม่หายก็อยู่กับมันไป อยู่ไปจนกว่ามันจะตายจากกันไป เรื่องการดูแลร่างกายนี้มันง่ายมากเหมือนเลี้ยงหมาตัวหนึ่ง เลี้ยงหมามันง่ายไหม ให้ข้าวมันกินวันละมื้อ มันก็อยู่ได้แล้ว เสื้อผ้ามันก็ไม่ต้องมี หมามันดีกว่าคน เสื้อผ้าก็ไม่ต้องมี บ้านมันก็ไม่ต้องมี นอนใต้ถุน นอนที่ไหนมันก็นอนได้ เวลาไม่สบาย มันก็ไม่เห็นต้องไปโรงพยาบาล ไม่เห็นต้องกินยา มันก็อยู่ของมันได้ มันก็ตายเหมือนกัน อยู่ไม่ได้มันก็ตายเหมือนกัน คนมีบ้านมีเสื้อผ้ามีอาหาร มียารักษาโรคมีโรงพยาบาล มันก็ตายเหมือนกัน
ดังนั้นอยู่แบบหมาดีกว่า หัดอยู่แบบหมาแล้วจะสบาย อยู่แบบหมากินแบบหมา พระกินแบบหมา เอาอาหารคลุกในบาตร เวลาจะคลุกให้ข้าวหมากัน พระท่านก็กินอย่างนั้น ท่านไม่ต้องกินแบบคนเพราะมันวุ่นวาย มันยุ่งยาก กินแบบหมานี้มันง่าย อะไรก็ได้ใส่แล้วคลุก เดี๋ยวมันก็เข้าไปรวมกันในท้องอยู่ดี จะแยกกันเป็นจาน ๆ หวาน คาว ขนมเครื่องดื่มเดี๋ยวมันก็ไปรวมกันในท้องอยู่ดี ไปรวมในท้องแล้วควักออกมาอยากจะกินเข้าไปไหม อยู่แบบหมา กินแบบหมา อยู่แบบขอทาน กินแบบขอทานแล้วมันไม่วุ่นวาย มันสบาย เหมือนโยมก็อยากจะให้เรากินแบบพระ ดื่มน้ำต้องมีถ้วยน้ำ ถ้ากินจากขวดไม่เหมาะสม เป็นพระต้องมีถ้วย ต้องเป็นถ้วยที่มีลายครามถึงจะเหมาะสมกับความเป็นพระ แต่เขาไม่รู้ว่าพระจริงเป็นอย่างไร พระจริงเขาอยู่แบบขอทาน เขาอยู่แบบหมากัน เขากินแบบหมา นอนกับดินกินกับทราย พระธุดงค์อยู่ที่ไหน พระธุดงค์ขนเตียงขนหมอนไปได้ที่ไหนล่ะ ท่านก็เอากลดเอาบาตรไปเท่านั้นเอง
นั่นแหละชีวิตคนที่ให้ความสำคัญต่อใจ ท่านจึงไม่ค่อยให้ความสำคัญต่อร่างกาย พระธุดงค์ท่านทุ่มเทชีวิตจิตใจ เพื่อสร้างความสุขทางใจ ท่านก็เลยไม่มาเสียเวลากับการสร้างความสุขทางร่างกาย เพราะความสุขทางร่างกายมันก็นิดเดียว ทำให้ดีขนาดไหนอยู่บ้านร้อยล้านพันล้านมันก็นิดเดียว มันก็เหมือนตุ่มน้ำเล็ก ๆ ตุ่มหนึ่ง คนจะกินร้อยบาทพันบาท มันก็เต็มตุ่มเหมือนกัน พอท้องมันอิ่ม มันก็อิ่มเหมือนกัน
ดังนั้นเรื่องความสุขทางร่างกายนี้ สำหรับผู้ที่รู้ความจริงว่าใจสำคัญกว่าก็จะไม่เสียเวลา พยายามให้เวลากับมันน้อยที่สุดเท่าที่จำเป็นจริง ๆ ให้มันเท่าที่จำเป็นจริง ๆ กินก็กินมื้อเดียว นอนก็นอนตามมีตามเกิด ที่ไหนที่หลบแดดหลบฝนได้ก็ตามถ้ำ ตามเงื้อมผา ตามเรื้อนร้าง ตามโคนไม้ พระสมัยพุทธกาลท่านอยู่กันอย่างนี้ อาหารก็บิณฑบาตมื้อหนึ่ง ผ้าก็เอาผ้าขี้ริ้วไปเอาผ้าที่เขาทิ้งในป่าช้า ทิ้งในกองขยะมารวบรวมไว้ ชิ้นเล็กชิ้นน้อยมารวบรวมแล้วก็มาปะมาเย็บให้มันเป็นผืนใหญ่ขึ้นมา แล้วก็ซักย้อมเอาแก่นไม้มาต้มน้ำ แล้วเอาน้ำแก่นไม้นี้มาซักย้อมก็ได้ผ้ากาสาวพัสตร์ขึ้นมา
นี่แหละผู้ที่เขาแสวงหาความสุขทางใจ ผู้ที่เห็นความสำคัญของใจ เขาไม่ค่อยจะมาเสียเวลากับเรื่องของร่างกาย ไม่เหมือนพวกที่ไม่รู้แล้วก็เลยเห็นความสำคัญของทางร่างกาย ดูเขากินอาหารกัน อาหารมื้อหนึ่งนี้จานกี่ใบ ช้อนกี่อัน ซ่อมกี่อัน แก้วกี่แก้ว แก้วน้ำแก้วเหล้า แก้วกาแฟ ช้อนตักซุป ช้อนตักขนม ช้อนตักอะไร โอ๊ย ร้อยแปดพันประการ คนที่จะกินต้องไปเรียน ไม่รู้จะใช้ช้อนไหน ใช้ผิดช้อนก็โดนเขาด่าอีก หาว่าเชยว่าโง่ ความจริงไม่รู้ใครโง่กันแน่ คนที่เชยก็คือเอามือกิน พระกรรมฐานท่านไม่ใช้ช้อน เวลาท่านฉันในบาตรนี้ฉันด้วยมือ นี่แหละช้อนวิเศษ หยิบได้ทุกอย่างทุกชนิดไม่ต้องเปลี่ยนช้อน กินแบบฝรั่งมื้อหนึ่งนี้ โอโฮ อาหาร ๓ - ๔ จานช้อนก็ต้องใช้แต่ละชุด แก้วก็ต้องแต่ละชุด กินเสร็จต้องมานั่งล้างกันอีก เหนื่อยนะ ก่อนจะกินก็ต้องมาเตรียมมาตั้งโต๊ะมาจัด เวลากินก็ต้องมาแต่งเนื้อแต่งตัวให้หรูหราอีก แล้วมันจะทำไปทำไม ความสุขชั่วปลายลิ้นใช่ไหม กินเสร็จอิ่มแล้วก็จบแล้ว เดี๋ยวมื้อต่อมาก็หิวอีกแล้ว อยากจะกินอีกแล้ว ทุกข์อีกแล้ว แต่ถ้ามีความสุขทางใจนี้กินมื้อเดียวก็อิ่ม อดบ้างก็ไม่เดือดร้อน อดมื้อกินมื้อก็อยู่ได้ ใจมีความสุขแล้วความทุกข์ทางร่างกายนี้มันเบามาก ความสุขทางใจมันมีกำลังมากกว่า มันเลยทำให้ไม่รู้สึกเดือดร้อนกับความทุกข์ทางร่างกาย
พระพุทธเจ้า พระอรหันต์เวลาท่านตายท่านไม่ร้องโอดครวญ ท่านเฉย ๆ ไม่รู้สึกอะไรเลย รู้ว่ามันเจ็บ แต่มันไม่เจ็บแบบคนที่ไม่รู้ว่ามันไปเจ็บที่ใจ เจ็บด้วยความกลัว พอมีอะไรเจ็บนิดหนึ่งกลัวขึ้นมาแล้ว ความกลัวความเจ็บนี้มันร้ายกาจกว่าความเจ็บอีก หมอบอกจะฉีดยาเข็มเดียวนี้ใจกลัวไปแล้ว ใจเจ็บไปก่อนแล้ว
ใจเป็นใหญ่ใจเป็นประธานก็คือว่า ใจเป็นของที่สำคัญที่สุด ที่เราต้องให้ความสำคัญ คำว่าอยากก็เป็นของที่สำคัญเป็นประธานเป็นของที่ดีที่สุดสุดยอด ของสิ่งต่าง ๆ ที่มีอยู่ในโลกนี้ แต่ใจของเราตอนนี้มันเป็นใจที่ถูกกิเลสตัณหาเหยียบย่ำ มันก็เลยไม่มีคุณค่าราคาไม่ได้ให้ความสุขกับเรา เราก็เลยไปหาความสุขจากสิ่งอื่นแทน แทนที่จะหาความสุขจากใจเราก็เลยไปหาความสุขจากลาภยศ สรรเสริญ หาความสุขจากรูป เสียง กลิ่น รสกัน แต่ความสุขเหล่านี้เป็นความทุกข์เพราะว่ามันไม่เที่ยง มันไม่ถาวร ได้มาแล้วก็หมดไป หมดไปก็ต้องหาใหม่ แล้วพอหาไม่ได้ก็ทุกข์ อยากกินพอได้กินก็สุข ถ้าอยากกินแล้ว ไม่ได้กินก็ทุกข์ แต่ถ้าใจนี้สงบ นี้กินก็ได้ไม่กินก็ได้ ไม่กินอย่างมากก็แค่ตาย แต่ใจไม่ทุกข์กับการอดยากขาดแคลน อดมื้อกินมื้อ พระพุทธเจ้าอดได้ตั้ง ๔๙ วันใจไม่หิว ใจมีความสงบ เพียงแต่ตอนนั้นความสงบยังไม่ได้ เป็นความสงบที่ถาวรเท่านั้นเอง เป็นความสงบที่จะต้องเข้าไปในสมาธิ พอออกจากสมาธิมาก็ทุกข์ ตอนหลังพบวิธีทำให้ใจไม่ทุกข์ด้วยการไม่ต้องเข้าไปในสมาธิ เพราะไปค้นต้นเหตุของความทุกข์เจอว่า คือความอยากต่าง ๆ
พอหยุดความอยากได้ก็จะไม่ทุกข์กับอะไร ไม่ต้องเข้าไปในสมาธิ ร่างกายเจ็บก็ไม่ต้องเข้าไปในสมาธิก็ได้ รู้ว่าความทุกข์เกิดจากความกลัวความเจ็บ ความอยากให้ความเจ็บหายไป ก็หยุดมันเท่านั้นเอง ทำใจเฉย ๆ สักแต่ว่ารู้ ความทุกข์ใจก็จะไม่มีก็เหลือแต่ความทุกข์ทางร่างกายที่ไม่รุนแรงไม่สาหัสอะไร อยู่กับมันได้ อันนี้เป็นการตรัสรู้ของพระพุทธเจ้า ก่อนหน้านั้นทุกคนเวลาจะหนีความทุกข์ก็หลบความทุกข์ ก็ต้องเข้าไปในสมาธิ เวลาเจ็บไข้ได้ป่วย ทนไม่ไหวก็นั่งสมาธิทำใจให้สงบ พอใจสงบก็หยุดความอยากได้ชั่วคราว แต่ไม่รู้ว่าที่ทำสมาธินี้ทำเพราะหยุดความอยาก ก็คิดว่าทำเพื่อให้ใจสงบ ไม่รู้ว่าความสงบของใจนี้ มันทำให้ความอยากมันสงบตัวลงไปด้วย ไม่รู้ว่าเวลาออกจากความสงบมา ความอยากมันก็โผล่ตามมาด้วย พระพุทธเจ้าแยกความอยากออกจากความไม่สงบของใจได้ เห็นว่าเวลาสงบ ความอยากก็สงบ เวลาใจไม่สงบ ความอยากมันก็ออกมา พอแยกตัวความอยากนี้ออกไปได้ ไม่ต้องสงบก็ได้ ใจให้เฉย ๆ ให้รู้เฉย ๆ คิดเรื่องอะไรก็ได้ อย่าไปคิดถึงเรื่องที่ทำให้เราอยากเท่านั้นเอง มันก็ไม่ทุกข์แล้ว
เช่นทุกข์กับลูกนี้ พอไปคิดเรื่องอื่นปั๊บนี้มันก็ลืมแล้ว ก็ไม่ทุกข์กับมันแล้ว หรือถ้าคิดแบบปัญญาได้ก็ช่างหัวมัน ตัวใครตัวมัน เราทำอะไรไม่ได้เราไม่ใช่เขา นี่ก็คือธรรมะของพระพุทธเจ้า ธรรมะที่จะมาดูแลรักษาใจของเรา ให้สงบให้ปราศจากความทุกข์ต่าง ๆ ด้วยการไปทำร้ายข้าศึกศัตรูของใจ ก็คือกิเลสตัณหาความโลภ ความอยากต่าง ๆ พอความโลภ ความอยากต่าง ๆ ความโกรธ ความหลงต่าง ๆ หายไปหมด ใจก็จะสงบ ใจก็จะไม่มีความทุกข์อีกต่อไป
สนทนาธรรมบนเขา
วันที่ ๓๐ สิงหาคม พ.ศ. ๒๕๕๙
พระอาจารย์สุชาติ อภิชาโต
วัดญาณสังวรารามฯ จังหวัดชลบุรี
ณ จุลศาลา เขตห้ามล่าสัตว์ป่าเขาชีโอน
โฆษณา