15 ส.ค. 2020 เวลา 02:09 • ปรัชญา
“เสือ จิ้งจอก แกะ”
เรื่องราวของสัตว์สามชนิดที่ฉันไม่เคยได้สนใจมันดีนัก
กระทั่งวันหนึ่งฉันได้คุยกับพี่ชาย (ก่อนวันที่ฉันจะต้องนำเสนองานสำคัญ)ในขณะที่ฉันเตรียมตัว และกำลังรู้สึกกังวลใจกับงานที่จะมาถึง
✨✨✨คำพูดจากพี่คือ “ลองดูว่าในสถานการณ์นั้น
เราจะเป็น เสือ จิ้งจอก หรือแกะ”✨✨✨
“เสือ” ลำตัวใหญ่น่าเกรงขาม เป็นจ้าวแห่งนักล่า
มีพละกำลังเหนือสัตว์ใด ๆ
หากเราปฏิบัติตัวในที่ทำงาน หรือในการนำเสนองาน ตามสันชาตญาณ “เสือ” จะเป็นยังไงนะ .... เป็นหัวหน้า วางอำนาจ แสดงพละกำลังของตนเหนือสัตว์อื่น
 
ประโยคหนึ่งจากพี่ “ในห้องที่เราจะไปเสนองาน
จะมีเสือกี่ตัวนะ”
🐅🐅🐅🐅🐅🐅🐅🐅🐅
“จิ้งจอก”  สัตว์ลำตัวเล็ก จมูกแหลม ฟันกรามแข็งแรงและแหลมคม เป็นสัตว์รักสงบ แต่จะดุร้ายเมื่อมีภัยเข้ามาจวนตัว แม้ลำตัวจะเล็ก แต่มีชั้นเชิงในการล่าและเคลื่อนไหวร่างกายตามสนามแม่เหล็ก
“เป็น จิ้งจอก ก็ไม่เลวนะ มีความสงบในตัว แต่ก็ซ่อนเขี้ยวแหลมคมไว้เมื่อต้องสู้”
🐕🐕🐕🐕🐕🐕🐕🐕🐕
“แกะ” สัตว์ขนาดเล็กขนปุย กินหญ้าเป็นอาหาร
ไม่ได้มีกรงเล็บ หรือเขี้ยวแหลมคมใด ๆ อาจโดนล่า หรือตกเป็นเหยื่อได้โดยง่าย อย่างไรก็ตามหลาย ๆ ส่วนของแกะ ไม่ว่าจะเป็น ขน หนัง เนื้อและนม
ล้วนแต่เป็นประโยชน์ทั้งสิ้น
“เป็นแกะ ใช้ชีวิตของตน ทำงานดี เป็นประโยชน์ต่อผู้อื่น ... หากแต่อาจหนีไม่พ้นที่จะโดน เสือ และจิ้งจอกทำร้ายเอา”
🐑🐑🐑🐑🐑🐑🐑🐑🐑
ในแต่ละช่วงของชีวิต แต่ละสิ่งที่เราต้อเผชิญ
เราล้วนมีบทต้องเล่น
เราไม่สามารถจะเป็น “เสือ” ได้ในทุก ๆ สถานการณ์ ... พลัง อำนาจ ไม่สามารถใช้ได้กับทุกสิ่ง
เราไม่สามารถเป็น “จิ้งจอก” ได้ทุกที่ทาง การรักความสงบเป็นเรื่องดี แต่การรอให้ภัยมาถึงตัวก่อน อาจไม่ทันกาลในการคิดต่อสู้
เราไม่สามารถเป็น “แกะ” ไปได้ตลอด การทำการใด เพื่อสรรค์สร้างประโยชน์ให้กับผู้อื่นนับเป็นเรื่องดี
แต่หากเราต้องบาดเจ็บ สูญเสีย ในทุกครั้งแล้วนั้น
เราจะเหลือกำลังไว้สร้างสรรค์สิ่งดีต่อไปได้อย่างไร
เราอาจจำเป็นต้องปรับเปลี่ยนเป็นได้ทั้ง
“เสือ จิ้งจอก แกะ” ตามแต่ละสถานการณ์
วันนี้คุณใช้สันชาตญาณไหนกันอยู่คะ?
🐅🐕🐑🐅🐕🐑🐅🐕🐑🐅🐕🐑

ดูเพิ่มเติมในซีรีส์

โฆษณา